★มรรค8(โลกียมรรค)...สาสวะสัมมาทิฎฐิ(สัมมาทิฎฐิที่ยังมีอาสวะเป็นโลกียะ)

[[[มหาจัตตารีสกสูตร
......[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ....]]]
-----------------------------------------------------------------------
☆☆สัมมาทิฎฐิที่เป็นสาสวะ(ระดับโลกียะยังมีอาสวะอยู่)
จะเห็นว่ายังเป็น "สัสตทิฎฐิ "ร้องไห้ความเห็นว่ามีตัวตนเวียนว่ายตายเกิด)
ถือว่ายังเป็น มิจฉาทิฎฐิ ทางฝ่ายโลกุตระ
และพระพุทธองค์ยังไม่ทรงยอมรับว่าเป็นองค์มรรค
แต่ที่จัดว่าเป็นสัมมาทิฎฐิทางโลกียะนั้น
เพราะจะทำให้กลัวบาปเห็นบุญ
เป็นแนวทางที่จะทำกุศลกรรมเพื่อสะสมบุญ
และมีความหวังที่จะปฎิบัติธรรมเดินมรรคต่อไป

  ××× แต่จุดพลิกผันของสาสวะสัมมาทิฎฐินี้ที่ต้องระว้งก็มีเช่น
การมุ่งหลงบุญสะสมบุญอย่างเดียวเช่นการทำทานต่างๆอย่างเดียว
เพื่อหวังผลการเกิดในภพชาติที่สูงขึ้นเมี่อตายลง
หรือเกิดในภพภูมิมนุษย์ตามเดิมแต่มีความสุขสบายมากขึ้นในชาติหน้า
และไม่ต้องการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้
เนื่องจากเห็นว่ายังมีเวลาที่จะปฎิบัติเพื่อบรรลุธรรมในชาติต่อไปอีกมาก
หรือค่อยปฎิบัติในภพภูมิที่สุขสบายและสูงขึ้นเมื่อตายลงเช่นในสวรรค์ชั้นต่างๆ
หรือค่อยไปปฎิบัติในยุคพระศรีอารฯ ที่ทุกคนจะบรรลุหมด เป็นต้น
ฯลฯ
ส่วนในชาตินี้ก็ขอสะสมบุญไปก่อน
ซึ่งทิฎฐิที่พลิกผันไปทำนองนี้
เราพบเห็นมากมายทั่วไปในสังคมบ้านเรา
นี่ทำให้เกิดความประมาทที่จะไม่เดินมรรค
เพื่อความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้
จัดเป็น "หมอกขาว" ที่บดบังดวงตาเห็นธรรมทำให้ไม่เห็นพระนิพพานครับ☆☆
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่