รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ว่า  แผนดังกล่าวมาจากฐานข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง   แผนยุทธศาสตร์ระบุว่าประเทศไทย ประชากรมีรายได้ปานกลาง  ต้องยกระดับให้เป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้สูง  แต่ความจริงคือประเทศเรา คนส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยถึงน้อยมาก

แสดงว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติมองข้ามคนเหล่านี้ไปแล้ว เพราะตอนคำนวณ เขาเอาคนจนที่สุด ไปบวกกับคนรวยที่สุด หารค่าเฉลี่ย ปรากฏว่าประเทศไทยมันมีความเหลื่อมล้ำสูง เมื่อคุณเอา 1 ไปบวก 100 หาร 2 มันก็ได้ 50 เท่ากับอยู่ตรงกลาง เป็นรายได้ปานกลาง  ไม่สนใจว่ามีคนจนกี่คน  คนรวยกี่คน และ ใครเป็นคนส่วนมากที่ต้องเร่งช่วยเหลือ  เพราะค่าที่ออกมาคือ ประเทศไทย  คนมีรายได้ปานกลาง  จากนี้ก็จะหาทางช่วยเหลือคนที่มีรายได้ปานกลางที่เชื่อว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้มั่งคั่งมากขึ้นไปอีก แล้วก็ทอดทิ้งคนจน

รศ.พิชาย กล่าวต่อว่า การทอดทิ้งคนจน ให้อยู่ข้างหลังแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อแผนเริ่มเดินหน้าสู่การปฏิบัติ  เพราะคณะกรรมการทั้ง 28 ท่านที่เห็นชื่ออยู่ตอนนี้ เป็นนายทหาร คนในรัฐบาล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน มีภาคประชาชนเพียง 1 คน  ทั้งหมด ล้วนนั่งบริหารในห้องแอร์ สร้างความมั่นคงให้องค์กร  หลายคนมุ่งทำกำไรให้ได้มากที่สุด ไม่เคยเป็นคนจนมาก่อน แผนยุทธ์ศาสตร์ชาติที่มีคนกลุ่มนี้คอยบริหาร ก็น่าจะเป็นชาติที่มั่นคง มุ่งทำเงิน ต้องการเห็นภาพรวมที่สวยหรูเท่านั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาปากท้องประชาชน

สิ่งที่น่ากังวลต่อมาคือ แผนดังกล่าวหวังให้ไทยเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตรงนี้ขัดแย้งกับนิสัยของคนไทย การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์  คนไทยต้องมีเหตุผลเป็นที่ตั้ง มีความคิดสร้างสรรค์  กล้าเดินออกนอกกรอบ ทว่าคนไทยนั้น อุดมไปด้วยความเชื่อ แล้วมันจะพัฒนาวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร  ยิ่งไปมองที่คณะกรรมการมีแต่คนอายุ 60-70 เต็มไปหมด คนพวกนี้ หมดวัยสร้างสรรค์แล้ว เป็นอนุรักษ์นิยม  ขืนเดินแผนนี้ต่อไป มีแต่จะตามหลังประเทศเพื่อบ้าน สิ่งที่อยากแนะนำคือ เราต้องปรับแผน มุ่งเป็นเลิศทางวัฒนธรรม นำวัฒนธรรมออกมาขาย ระหว่างนั้นก็พัฒนาในเรื่องของการศึกษา ฝึกให้คนไทยรู้จักใช้เหตุผล เมื่อถึงจุดหนึ่ง ค่อยคิดเรื่องความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์

เมื่อถามว่า มาถึงตอนนี้สามารถปรับแผนได้หรือไม่ รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า รัฐบาลชุดหน้ามีโอกาสที่จะปรับแก้ ต่อให้มีนายกฯชื่อพลเอกประยุทธ์ เข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการอัตโนมัติ แต่ตำแหน่งอื่นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดใหม่ ไม่มีทางคิดเหมือนคนรุ่นก่อน  

สุดท้ายต้องมีการปรับแต่งแผนบ้าง ทั้งนี้ หากเลือกตั้ง ได้นายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายการเมืองจริงๆ คนกลุ่มนี้ต้องการโชว์นโยบายของตัวเอง  ไม่ต้องการยึดตามแผนใคร มีความเป็นไปได้ที่จะขอเสียงสนับสนุนในสภาฉีกแผนทิ้งไปเลย  เพื่อให้ทำนโยบายได้ง่ายขึ้น ต่อให้มี ส.ว. มาค้าน แต่ถ้าฝ่ายการเมืองจับมือกันได้ ส.ว. ก็ไร้ความหมาย