หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ข่าวการปรากฏตัวของสองนายตำรวจที่ไปถามหาธีรเดชกับอชิร ก็รู้ไปถึงหูของพิมพ์ศิริ ซึ่งมันยิ่งเพิ่มความกังวลใจ เมื่อเห็นคำว่า ให้อภัย จากบิดานั้น กำลังลอยห่างออกไป และเฝ้าโทษตัวเอง ว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของเธอเพียงคนเดียว สร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้างจนลามไปถึงผู้เป็นประมุขของตระกูล บิดาคงจะโกรธและเกลียดเธอมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้น..
จากการที่หญิงสาวทำงานหนักอยู่แล้ว ก็ยิ่งทุ่มเทมากขึ้นไปอีก เพราะรู้ว่า งาน คือสิ่งเดียวที่ยังสามารถแสดงตัวตนให้บิดาพอจะมองเห็นเธอบ้าง..และ หลายครั้ง อนาวินต้องคอยสั่งให้เธอได้หยุดพักผ่อนบ้าง แต่ดูเหมือนคำสั่งของเขาไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าพลังของเธอได้เลย รวมทั้งเขาเป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัย เพราะเธอมักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง โดยไม่ยอมให้ใครคอยติดตาม ส่วนเสือนั้น ก็ยังถูกศราสั่งขังไว้ไม่ยอมปล่อยเสียทีและยังคงเมินเฉยต่อลูกสาวไม่มีทีท่าว่าจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ จนเป็นเขาเองที่ต้องสั่งให้ลูกน้องฝีมือดีคอยติดตามคุ้มครองเธออยู่ห่างๆ
แต่ดูเหมือนปัญหามันยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อไม่กี่วันต่อมา..
ลูกน้องโทรมารายงานว่า พิมพ์ศิริแวะร้านขายสมุนไพรจีนถึงสามร้าน ซึ่งลูกน้องของเขารอจนญาติสาวออกจากร้าน จึงเข้าไปขอกึ่งบังคับกับคนจัดยาไล่จดชื่อสมุนไพรพร้อมขนาดที่เธอซื้อไปตามหลัง
อนาวินอ่านชื่อของสมุนไพร ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ตัวด้วยความสงสัย ว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงต้องแยกซื้อถึงสามร้าน จึงลองตรวจสอบดู ซึ่งสมุนไพรแต่ละชนิดเป็นประเภทฤทธิ์ร้อน สรรพคุณเน้นในการขับเลือด ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ทันที
“บ้าจริง!”
แล้วก็หันไปตะโกนเรียกหาบอดี้การ์ดคนสนิทลั่น ก่อนรีบขับรถตรงไปยังห้องชุดของญาติสาว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขานัก
.............................................................................
พิมพ์ศิรินั่งมองถ้วยยาที่เริ่มอุ่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำใจดื่มมันลงไปได้เสียที พลัน! ท้องไส้ผะอืดผะอม ต้องรีบลุกพรวดเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียนอย่างหนักจนเจ็บเกร็งไปทั่วท้อง..หลายวันที่ผ่านมา เธอพยายามอย่างหนักในการกู้สายสัมพันธ์กับบิดา แต่อาการแพ้ท้องมันก็เริ่มแสดงอาการหนักขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ บ่อยครั้งที่เธอเกือบเป็นลมในขณะที่กำลังทำงาน หรืออาการคลื่นเหียนอยากอาเจียน จนพวกวิศวกรเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ สร้างความกังวลว่า ความสงสัยนี้ จะรู้ไปถึงหูของบิดา และคราวนี้บิดาคงโกรธจนถึงขั้นตัดขาดเป็นแน่
และหลังจากนั้น..ชีวิตของธีรเดช บิดาก็คงจะเรียกคืนไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น ! ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานจากไฟนรก เธอก็ขอเลือกที่จะรับมัน ขอแค่ให้เขาได้มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น..เพราะเขาคือชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ..
หญิงสาวมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา..เมื่อก่อน เธอมี เสือ คอยอยู่เคียงข้าง คอยรับฟังให้ได้ระบายความทุกข์ตรมออกไปบ้าง..แต่ในขณะนี้ เธอกำลังวนเวียนอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพัง บ่อยครั้งที่รู้สึกหวาดกลัวกับการอยู่โดดเดี่ยว จนต้องลุกขึ้นมาพูดกับตัวเองในกระจก ด้วยหวังว่ามันจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น และเรียกพลังความแข็งแกร่งให้ตัวเองด้วยการพูดย้ำๆ กับตัวเองในกระจกถึงสิ่งที่ต้องกระทำมากที่สุด นั่นคือความ เข้มแข็ง เพราะมันจะสามารถพาเธอหลุดพ้นจากห้วงวิกฤตินี้ได้
“เธอต้องเข้มแข็งสิขวัญ ถ้าไม่อยากให้เขาตาย..เธอต้องเข้มแข็ง..ต้องเข้มแข็ง..”
เสียงพูดของเธอมันก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ความรู้สึกเลือนๆยามเดินกลับออกมามองถ้วยยาอยู่เพียงครู่ ก็หยิบมันขึ้นมาดื่มพร้อมๆกับหยาดน้ำตาร่วงริน ทว่า..หัวใจของเธอมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ผ่านมา ทุกอย่างว่างเปล่าขาวโพลน..ต่อจากนี้ไป ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีก แค่รอเวลาอีกหน่อยเท่านั้น บิดาจะหายโกรธจนยกโทษให้เธอ ส่วนเขา..ก็ยังคงมีลมหายใจต่อไปอีกนานแสนนาน..
จู่ๆ รู้สึกอยากหัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผล ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อท้นด้วยน้ำตา..และยิ่งเธอหัวเราะมากขึ้นเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งทะลักทลายมากขึ้นเท่านั้น
เสียงหัวเราะมันน่าจะหมายถึงความสุขสิ แต่ทำไม..ภายในหัวใจของเธอมันกลับแห้งแล้งเสียเหลือเกิน จนต้องเปล่งเสียงหัวเราะให้ดังขึ้น หวังเรียกชีวิตชีวาให้กลับคืน..แต่เสียงที่ได้ยิน มันไม่ต่างอะไรกับเสียงกรีดร้องเลย
ในฉับพลัน ! ดวงตาพร่าพรายดำมืด ร่างทรุดฮวบ ศีรษะกระแทกพื้นเสียงสนั่น ไม่กี่อึดใจ..เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลแผ่เป็นวงกว้างบนพื้นแกรนิตสีขาว..
(ต่อค่ะ)
ซีรี่ย์ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่าหา (บทที่ ๒๘)
หลังจากนั้น..
จากการที่หญิงสาวทำงานหนักอยู่แล้ว ก็ยิ่งทุ่มเทมากขึ้นไปอีก เพราะรู้ว่า งาน คือสิ่งเดียวที่ยังสามารถแสดงตัวตนให้บิดาพอจะมองเห็นเธอบ้าง..และ หลายครั้ง อนาวินต้องคอยสั่งให้เธอได้หยุดพักผ่อนบ้าง แต่ดูเหมือนคำสั่งของเขาไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าพลังของเธอได้เลย รวมทั้งเขาเป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัย เพราะเธอมักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง โดยไม่ยอมให้ใครคอยติดตาม ส่วนเสือนั้น ก็ยังถูกศราสั่งขังไว้ไม่ยอมปล่อยเสียทีและยังคงเมินเฉยต่อลูกสาวไม่มีทีท่าว่าจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ จนเป็นเขาเองที่ต้องสั่งให้ลูกน้องฝีมือดีคอยติดตามคุ้มครองเธออยู่ห่างๆ
แต่ดูเหมือนปัญหามันยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อไม่กี่วันต่อมา..
ลูกน้องโทรมารายงานว่า พิมพ์ศิริแวะร้านขายสมุนไพรจีนถึงสามร้าน ซึ่งลูกน้องของเขารอจนญาติสาวออกจากร้าน จึงเข้าไปขอกึ่งบังคับกับคนจัดยาไล่จดชื่อสมุนไพรพร้อมขนาดที่เธอซื้อไปตามหลัง
อนาวินอ่านชื่อของสมุนไพร ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ตัวด้วยความสงสัย ว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงต้องแยกซื้อถึงสามร้าน จึงลองตรวจสอบดู ซึ่งสมุนไพรแต่ละชนิดเป็นประเภทฤทธิ์ร้อน สรรพคุณเน้นในการขับเลือด ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ทันที
“บ้าจริง!”
แล้วก็หันไปตะโกนเรียกหาบอดี้การ์ดคนสนิทลั่น ก่อนรีบขับรถตรงไปยังห้องชุดของญาติสาว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขานัก
.............................................................................
พิมพ์ศิรินั่งมองถ้วยยาที่เริ่มอุ่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำใจดื่มมันลงไปได้เสียที พลัน! ท้องไส้ผะอืดผะอม ต้องรีบลุกพรวดเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียนอย่างหนักจนเจ็บเกร็งไปทั่วท้อง..หลายวันที่ผ่านมา เธอพยายามอย่างหนักในการกู้สายสัมพันธ์กับบิดา แต่อาการแพ้ท้องมันก็เริ่มแสดงอาการหนักขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ บ่อยครั้งที่เธอเกือบเป็นลมในขณะที่กำลังทำงาน หรืออาการคลื่นเหียนอยากอาเจียน จนพวกวิศวกรเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ สร้างความกังวลว่า ความสงสัยนี้ จะรู้ไปถึงหูของบิดา และคราวนี้บิดาคงโกรธจนถึงขั้นตัดขาดเป็นแน่
และหลังจากนั้น..ชีวิตของธีรเดช บิดาก็คงจะเรียกคืนไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น ! ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานจากไฟนรก เธอก็ขอเลือกที่จะรับมัน ขอแค่ให้เขาได้มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น..เพราะเขาคือชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ..
หญิงสาวมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา..เมื่อก่อน เธอมี เสือ คอยอยู่เคียงข้าง คอยรับฟังให้ได้ระบายความทุกข์ตรมออกไปบ้าง..แต่ในขณะนี้ เธอกำลังวนเวียนอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพัง บ่อยครั้งที่รู้สึกหวาดกลัวกับการอยู่โดดเดี่ยว จนต้องลุกขึ้นมาพูดกับตัวเองในกระจก ด้วยหวังว่ามันจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น และเรียกพลังความแข็งแกร่งให้ตัวเองด้วยการพูดย้ำๆ กับตัวเองในกระจกถึงสิ่งที่ต้องกระทำมากที่สุด นั่นคือความ เข้มแข็ง เพราะมันจะสามารถพาเธอหลุดพ้นจากห้วงวิกฤตินี้ได้
“เธอต้องเข้มแข็งสิขวัญ ถ้าไม่อยากให้เขาตาย..เธอต้องเข้มแข็ง..ต้องเข้มแข็ง..”
เสียงพูดของเธอมันก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ความรู้สึกเลือนๆยามเดินกลับออกมามองถ้วยยาอยู่เพียงครู่ ก็หยิบมันขึ้นมาดื่มพร้อมๆกับหยาดน้ำตาร่วงริน ทว่า..หัวใจของเธอมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ผ่านมา ทุกอย่างว่างเปล่าขาวโพลน..ต่อจากนี้ไป ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีก แค่รอเวลาอีกหน่อยเท่านั้น บิดาจะหายโกรธจนยกโทษให้เธอ ส่วนเขา..ก็ยังคงมีลมหายใจต่อไปอีกนานแสนนาน..
จู่ๆ รู้สึกอยากหัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผล ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อท้นด้วยน้ำตา..และยิ่งเธอหัวเราะมากขึ้นเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งทะลักทลายมากขึ้นเท่านั้น
เสียงหัวเราะมันน่าจะหมายถึงความสุขสิ แต่ทำไม..ภายในหัวใจของเธอมันกลับแห้งแล้งเสียเหลือเกิน จนต้องเปล่งเสียงหัวเราะให้ดังขึ้น หวังเรียกชีวิตชีวาให้กลับคืน..แต่เสียงที่ได้ยิน มันไม่ต่างอะไรกับเสียงกรีดร้องเลย
ในฉับพลัน ! ดวงตาพร่าพรายดำมืด ร่างทรุดฮวบ ศีรษะกระแทกพื้นเสียงสนั่น ไม่กี่อึดใจ..เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลแผ่เป็นวงกว้างบนพื้นแกรนิตสีขาว..
(ต่อค่ะ)