ภายในห้องชุดหรูหราของอนาวิน ห้องนอนสำหรับต้อนรับแขกถูกดัดแปลงเป็นห้องพักฟื้นชั่วคราว อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นถูกจัดหามาให้ มูลี่ทุกบานเลื่อนเปิดขึ้นให้ความสว่างปลอดโปร่ง ในขณะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้าง..
อนาวินกอดอกยืนอยู่มุมห้อง มองดูนายแพทย์วัยกลางคนกำลังปรับสายน้ำเกลือ ก่อนจะเดินมาหาเขา
“เขาเป็นไงบ้างครับ”
“ซี่โครงหักไป 4 ซี่ และทิ่มปอด ตอนนี้ระบายเลือดออกจากผนังปอดแล้ว โชคดีที่อาการไม่สาหัสมาก ไม่อย่างนั้นคงต้องพาตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล ตอนนี้ก็เหลือแต่รอดูอาการอีกทีว่ามีภาวะแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า..ส่วนเรื่องที่จะลุกขึ้นมาวิ่งได้เมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับระดับความดื้อของคนไข้ว่ามีมากน้อยแค่ไหนครับ” นายแพทย์ตอบยิ้มๆ
คนฟังไหวไหล่
“ถ้าดื้อมากนัก ก็จับมัดติดเตียงไปเลย” และถอนใจยาว “ขอบคุณหมอมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ..แล้วตอนเย็นๆผมจะมาดูอาการของเขาอีกที”
“ครับ”
อนาวินขยับร่างเปิดทางให้นายแพทย์ประจำตัวก้าวออกจากห้อง ก่อนหันกลับมามองผู้ที่ยังนอนนิ่ง พลางตั้งคำถาม ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปกับนายตำรวจคนนี้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มกลับไปสร้างปัญหาให้น้องสาวอีก คงต้องกักตัวไว้สักพัก จนความดื้อรั้นลดลงแล้วนั่นล่ะ ค่อยปล่อยตัวไป
หลังจากที่อนาวินเดินกลับที่พักของตนไปไม่นาน ธีรเดชก็เริ่มรู้สึกตัว และจิตสำนึกสุดท้ายยามอยู่ต่อหน้าสาวคนรัก ทำให้ลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นพร้อมเรียกหาเธอในทันที
“คุณขวัญ !!”
พลัน! นิ่วหน้าเหยเกกับอาการเจ็บจี๊ดบริเวณซี่โครงลามถึงทรวงอกจนหายใจแทบไม่ออก จำต้องทิ้งร่างลงนอนเช่นเดิม และเริ่มหันสำรวจสิ่งรอบตัว เนื้อตัวของเขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวตัวหลวมใส่สบาย และที่แขนมีเข็มน้ำเกลือเสียบอยู่และเขาก็ดึงมันออกอย่างรำคาญและคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขาแล้ว ภาพทิวทัศน์ภายนอกบอกถึงระดับความสูงลิบลิ่วของตัวอาคาร และภายในห้องพักนี้ ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การตกแต่งภายในมันช่างหรูหราเกินกว่าจะเป็นห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลเอกชนเสียอีก
ชายหนุ่มพยายามข่มความเจ็บปวด เพื่อยันกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ในจังหวะนั้น..ประตูห้องถูกเปิดด้วยมือของชายหนุ่มแปลกหน้า ร่างเพรียวแข็งแกร่งสวมสูทลำลองสีดำเดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียง ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรนัก พูดน้ำเสียงห้วน
“ถ้าไม่อยากเจ็บมากไปกว่านี้ คุณควรจะนอนเฉยๆนะ”
“คุณเป็นใคร ?”
ลูกน้องของอนาวินเหลือบสายตามองขวดน้ำเกลือที่ห้อยต่องแต่งไร้ประโยชน์อยู่บนเสา จึงยกมันไปไว้ข้างผนัง พลางตอบคำถาม โดยไม่ได้หันกลับมามองหน้าคู่สนทนา
“ผมได้รับคำสั่งให้คอยดูแลคุณเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอก..นอนเฉยๆ เดี๋ยวตอนเย็น หมอจะมาดูอาการให้อีกที”
ประโยคนั้นคล้ายคำสั่งกลายๆ ก่อนคนพูดจะเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ธีรเดชมองตามอย่างไม่พอใจ เพราะไม่อยากอยู่ในสถานที่ๆเขาไม่รู้จักว่าเป็นมิตรหรือศัตรู และตอนนี้ความกังวลใจเกี่ยวกับพิมพ์ศิริก็มีท่วมท้นใจ ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง..แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าฮึ่มฮั่มกับตัวเอง เพราะขณะนี้ แค่ยันกายลุกขึ้นนั่ง เขายังไม่มีปัญญาเลย!
................................................
พิมพ์ศิริหอบงานที่ยังทำค้างไว้รวมถึงเอกสารสำคัญออกจากห้องทำงานมาใส่รถยนต์และขับออกจากบ้านตรงไปยังห้องชุดของตนเอง ซึ่งนับจากนี้คงจะปักหลักอยู่ประจำ เพราะคิดว่า การที่จะทำให้บิดาอารมณ์ดีขึ้นนั้น คือการไม่เห็นหน้าเธอให้เกะกะรำคาญใจ
จนเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เธอคิดว่าตนเองทุ่มสมาธิทั้งหมดไปที่งาน แต่มันก็ยังมีพื้นที่ว่างพอให้คิดถึงธีรเดชอีกจนได้ ความวิตกกังวลในอาการบาดเจ็บของเขามันก็มีมากมายจนไม่อาจฝืนทำงานต่อไปได้
หญิงสาวเช็คชื่อผู้ป่วยตามโรงพยาบาล แต่เมื่อไม่พบจึงคาดเดาว่า พี่ชายคงเก็บตัวเขาไว้ที่ไหนสักแห่ง และคิดว่าเขาคงปลอดภัยดั่งคำที่พี่ชายให้สัญญา..เพียงแต่..อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเท่านั้น หลังจากนั้น เธอจะไม่ขอรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาอีกเลย
นายแพทย์วสันต์กำลังตรวจดูอาการของธีรเดช และเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ขณะที่เขากำลังจดรายละเอียดของอาการ จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมากดรับโดยไม่ได้ดู
“สวัสดีครับ”
“เอ่อ..สวัสดีค่ะ คุณวสันต์”
คนปลายสายขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่จู่ๆพิมพ์ศิริโทรหาเขา แทนที่จะเป็นนายแพทย์อีกคน
“สวัสดีครับคุณขวัญ..มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกคะ แค่ฉันมีเรื่องอยากถามอะไรคุณหน่อยเท่านั้นเอง”
“อ่อ เรื่องอะไรครับ”
“..คือ..เมื่อวาน เฮียให้คุณไปรักษาผู้ชายคนหนึ่งหรือเปล่าคะ”
นายแพทย์เหลือบสายตามองคนไข้ของตนเอง ซึ่งกำลังเขม็งมองเขาเช่นกัน จึงเลี่ยงเดินออกจากห้อง ก่อนพูดสายต่อ
“ตอนนี้อาการเขาพ้นขีดอันตรายแล้วครับ ถ้าปอดไม่มีอาการติดเชื้อ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก”
พิมพ์ศิริลอบผ่อนลมหายใจ เมื่อรู้ว่าเขาปลอดภัยแล้ว เธอก็สมควรวางสายได้แล้ว ก่อนที่จะยืดเยื้อไปกว่านี้ แล้วเธอจะอดใจไม่ไหวแล่นไปดูอาการเขาด้วยตาตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ ฉันรบกวนแค่นี้ล่ะค่ะ”
นายแพทย์นิ่วหน้าด้วยความฉงนอีกครั้ง..เหตุใดหญิงสาวถึงให้ความสนใจผู้ชายคนนี้ ซึ่งดูแล้ว คงจะไม่ใช่ลูกน้องของอนาวินอย่างที่เข้าใจในครั้งแรก..เขากลับเข้าไปภายในห้องอีกครั้ง ซึ่งคนไข้มีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยจากการพยายามยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง สายตาคู่คมจ้องเขม็งมายังเขา
“คุณขวัญโทรมาถามอาการของผมใช่ไหม”
“ขอถามหน่อย..คุณเป็นใคร”
“ถ้าผมตอบ คุณจะบอกไหมว่าคุณขวัญโทรมาทำไม” ธีรเดชยื่นข้อเสนอ
“ได้สิ มันไม่ใช่ความลับอะไรนี่..เอ้า ว่ามา คุณเป็นใคร”
“ผมเป็นตำรวจ”
คนฟังแทบสำลักลมหายใจ..มิน่า อนาวินถึงเรียกใช้งานเขาบนห้องชุดแห่งนี้ ซึ่งถ้ามองให้ดีๆ มันเหมือนห้องขังมากกว่า เพราะหลังบานประตูห้อง ยังมีคนของอนาวินคอยเฝ้าอยู่ แถมห้องนี้ก็อยู่สูงปานนี้ ไม่มีหนทางให้หนีได้เลย..ส่วนเรื่องเหตุผลที่อนาวินพานายตำรวจคนนี้มารักษาตัวที่นี่ เขาคงไม่จำเป็นที่ต้องรู้
“ว่าไงล่ะ ผมบอกคุณแล้ว ทีนี้ตาคุณบอกผมบ้างสิ” ธีรเดชเอ่ยทวง
“ก็ได้..คุณขวัญโทรมาถามอาการของคุณจริงๆ แต่พอรู้ว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็วางสายไป”
“แค่นั้นเองเหรอ..เขาไม่ได้พูดอะไรอีกเหรอ”
“ไม่ คุณขวัญถามแค่นั้น”
วสันต์ตอบ และเห็นความผิดหวังในสีหน้าของชายหนุ่ม
“คุณควรนอนให้มากๆ ถ้าปวดก็กินยาแก้ปวดที่ผมจัดไว้ให้ แล้วก็ถ้ารู้สึกอยากไอหรือจาม ให้กอดหมอนไว้ จะช่วยลดอาการเจ็บได้..แล้วพรุ่งนี้เช้า ผมจะแวะมาดูอีกที”
“เดี๋ยว” ธีรเดชรีบเรียก ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้เดินไป “ใครเป็นคนให้คุณมารักษาผม..คุณขวัญเรอะ?”
“ไม่ใช่คุณขวัญหรอก..ส่วนจะเป็นใครนั้น ผมขอไม่ตอบนะ” นายแพทย์หนุ่มกล่าวจบ ก็คว้ากระเป๋าล่วมยาเดินออกไป
ธีรเดชได้แต่หงุดหงิดใจ..และเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เขาก็จำต้องหลับตาข่มใจนอนหลับอย่างที่นายแพทย์แนะนำ..อย่างน้อย ในความฝัน ยังคงมีผู้หญิงที่เขารักอยู่ในนั้น แม้ว่าในความทรงจำสุดท้าย เธอจะบอกว่าไม่รักเขา แต่การกระทำทุกอย่างรวมทั้งแววตาของเธอ มันได้บอกความจริงทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว
“ฮึ! คนโกหก”
(ต่อค่ะ)
ซี่รี่ย์ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา (บทที่ ๒๗)
อนาวินกอดอกยืนอยู่มุมห้อง มองดูนายแพทย์วัยกลางคนกำลังปรับสายน้ำเกลือ ก่อนจะเดินมาหาเขา
“เขาเป็นไงบ้างครับ”
“ซี่โครงหักไป 4 ซี่ และทิ่มปอด ตอนนี้ระบายเลือดออกจากผนังปอดแล้ว โชคดีที่อาการไม่สาหัสมาก ไม่อย่างนั้นคงต้องพาตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล ตอนนี้ก็เหลือแต่รอดูอาการอีกทีว่ามีภาวะแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า..ส่วนเรื่องที่จะลุกขึ้นมาวิ่งได้เมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับระดับความดื้อของคนไข้ว่ามีมากน้อยแค่ไหนครับ” นายแพทย์ตอบยิ้มๆ
คนฟังไหวไหล่
“ถ้าดื้อมากนัก ก็จับมัดติดเตียงไปเลย” และถอนใจยาว “ขอบคุณหมอมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ..แล้วตอนเย็นๆผมจะมาดูอาการของเขาอีกที”
“ครับ”
อนาวินขยับร่างเปิดทางให้นายแพทย์ประจำตัวก้าวออกจากห้อง ก่อนหันกลับมามองผู้ที่ยังนอนนิ่ง พลางตั้งคำถาม ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปกับนายตำรวจคนนี้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มกลับไปสร้างปัญหาให้น้องสาวอีก คงต้องกักตัวไว้สักพัก จนความดื้อรั้นลดลงแล้วนั่นล่ะ ค่อยปล่อยตัวไป
หลังจากที่อนาวินเดินกลับที่พักของตนไปไม่นาน ธีรเดชก็เริ่มรู้สึกตัว และจิตสำนึกสุดท้ายยามอยู่ต่อหน้าสาวคนรัก ทำให้ลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นพร้อมเรียกหาเธอในทันที
“คุณขวัญ !!”
พลัน! นิ่วหน้าเหยเกกับอาการเจ็บจี๊ดบริเวณซี่โครงลามถึงทรวงอกจนหายใจแทบไม่ออก จำต้องทิ้งร่างลงนอนเช่นเดิม และเริ่มหันสำรวจสิ่งรอบตัว เนื้อตัวของเขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวตัวหลวมใส่สบาย และที่แขนมีเข็มน้ำเกลือเสียบอยู่และเขาก็ดึงมันออกอย่างรำคาญและคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขาแล้ว ภาพทิวทัศน์ภายนอกบอกถึงระดับความสูงลิบลิ่วของตัวอาคาร และภายในห้องพักนี้ ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การตกแต่งภายในมันช่างหรูหราเกินกว่าจะเป็นห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลเอกชนเสียอีก
ชายหนุ่มพยายามข่มความเจ็บปวด เพื่อยันกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ในจังหวะนั้น..ประตูห้องถูกเปิดด้วยมือของชายหนุ่มแปลกหน้า ร่างเพรียวแข็งแกร่งสวมสูทลำลองสีดำเดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียง ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรนัก พูดน้ำเสียงห้วน
“ถ้าไม่อยากเจ็บมากไปกว่านี้ คุณควรจะนอนเฉยๆนะ”
“คุณเป็นใคร ?”
ลูกน้องของอนาวินเหลือบสายตามองขวดน้ำเกลือที่ห้อยต่องแต่งไร้ประโยชน์อยู่บนเสา จึงยกมันไปไว้ข้างผนัง พลางตอบคำถาม โดยไม่ได้หันกลับมามองหน้าคู่สนทนา
“ผมได้รับคำสั่งให้คอยดูแลคุณเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอก..นอนเฉยๆ เดี๋ยวตอนเย็น หมอจะมาดูอาการให้อีกที”
ประโยคนั้นคล้ายคำสั่งกลายๆ ก่อนคนพูดจะเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ธีรเดชมองตามอย่างไม่พอใจ เพราะไม่อยากอยู่ในสถานที่ๆเขาไม่รู้จักว่าเป็นมิตรหรือศัตรู และตอนนี้ความกังวลใจเกี่ยวกับพิมพ์ศิริก็มีท่วมท้นใจ ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง..แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าฮึ่มฮั่มกับตัวเอง เพราะขณะนี้ แค่ยันกายลุกขึ้นนั่ง เขายังไม่มีปัญญาเลย!
................................................
พิมพ์ศิริหอบงานที่ยังทำค้างไว้รวมถึงเอกสารสำคัญออกจากห้องทำงานมาใส่รถยนต์และขับออกจากบ้านตรงไปยังห้องชุดของตนเอง ซึ่งนับจากนี้คงจะปักหลักอยู่ประจำ เพราะคิดว่า การที่จะทำให้บิดาอารมณ์ดีขึ้นนั้น คือการไม่เห็นหน้าเธอให้เกะกะรำคาญใจ
จนเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เธอคิดว่าตนเองทุ่มสมาธิทั้งหมดไปที่งาน แต่มันก็ยังมีพื้นที่ว่างพอให้คิดถึงธีรเดชอีกจนได้ ความวิตกกังวลในอาการบาดเจ็บของเขามันก็มีมากมายจนไม่อาจฝืนทำงานต่อไปได้
หญิงสาวเช็คชื่อผู้ป่วยตามโรงพยาบาล แต่เมื่อไม่พบจึงคาดเดาว่า พี่ชายคงเก็บตัวเขาไว้ที่ไหนสักแห่ง และคิดว่าเขาคงปลอดภัยดั่งคำที่พี่ชายให้สัญญา..เพียงแต่..อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเท่านั้น หลังจากนั้น เธอจะไม่ขอรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาอีกเลย
นายแพทย์วสันต์กำลังตรวจดูอาการของธีรเดช และเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ขณะที่เขากำลังจดรายละเอียดของอาการ จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมากดรับโดยไม่ได้ดู
“สวัสดีครับ”
“เอ่อ..สวัสดีค่ะ คุณวสันต์”
คนปลายสายขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่จู่ๆพิมพ์ศิริโทรหาเขา แทนที่จะเป็นนายแพทย์อีกคน
“สวัสดีครับคุณขวัญ..มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกคะ แค่ฉันมีเรื่องอยากถามอะไรคุณหน่อยเท่านั้นเอง”
“อ่อ เรื่องอะไรครับ”
“..คือ..เมื่อวาน เฮียให้คุณไปรักษาผู้ชายคนหนึ่งหรือเปล่าคะ”
นายแพทย์เหลือบสายตามองคนไข้ของตนเอง ซึ่งกำลังเขม็งมองเขาเช่นกัน จึงเลี่ยงเดินออกจากห้อง ก่อนพูดสายต่อ
“ตอนนี้อาการเขาพ้นขีดอันตรายแล้วครับ ถ้าปอดไม่มีอาการติดเชื้อ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก”
พิมพ์ศิริลอบผ่อนลมหายใจ เมื่อรู้ว่าเขาปลอดภัยแล้ว เธอก็สมควรวางสายได้แล้ว ก่อนที่จะยืดเยื้อไปกว่านี้ แล้วเธอจะอดใจไม่ไหวแล่นไปดูอาการเขาด้วยตาตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ ฉันรบกวนแค่นี้ล่ะค่ะ”
นายแพทย์นิ่วหน้าด้วยความฉงนอีกครั้ง..เหตุใดหญิงสาวถึงให้ความสนใจผู้ชายคนนี้ ซึ่งดูแล้ว คงจะไม่ใช่ลูกน้องของอนาวินอย่างที่เข้าใจในครั้งแรก..เขากลับเข้าไปภายในห้องอีกครั้ง ซึ่งคนไข้มีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยจากการพยายามยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง สายตาคู่คมจ้องเขม็งมายังเขา
“คุณขวัญโทรมาถามอาการของผมใช่ไหม”
“ขอถามหน่อย..คุณเป็นใคร”
“ถ้าผมตอบ คุณจะบอกไหมว่าคุณขวัญโทรมาทำไม” ธีรเดชยื่นข้อเสนอ
“ได้สิ มันไม่ใช่ความลับอะไรนี่..เอ้า ว่ามา คุณเป็นใคร”
“ผมเป็นตำรวจ”
คนฟังแทบสำลักลมหายใจ..มิน่า อนาวินถึงเรียกใช้งานเขาบนห้องชุดแห่งนี้ ซึ่งถ้ามองให้ดีๆ มันเหมือนห้องขังมากกว่า เพราะหลังบานประตูห้อง ยังมีคนของอนาวินคอยเฝ้าอยู่ แถมห้องนี้ก็อยู่สูงปานนี้ ไม่มีหนทางให้หนีได้เลย..ส่วนเรื่องเหตุผลที่อนาวินพานายตำรวจคนนี้มารักษาตัวที่นี่ เขาคงไม่จำเป็นที่ต้องรู้
“ว่าไงล่ะ ผมบอกคุณแล้ว ทีนี้ตาคุณบอกผมบ้างสิ” ธีรเดชเอ่ยทวง
“ก็ได้..คุณขวัญโทรมาถามอาการของคุณจริงๆ แต่พอรู้ว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็วางสายไป”
“แค่นั้นเองเหรอ..เขาไม่ได้พูดอะไรอีกเหรอ”
“ไม่ คุณขวัญถามแค่นั้น”
วสันต์ตอบ และเห็นความผิดหวังในสีหน้าของชายหนุ่ม
“คุณควรนอนให้มากๆ ถ้าปวดก็กินยาแก้ปวดที่ผมจัดไว้ให้ แล้วก็ถ้ารู้สึกอยากไอหรือจาม ให้กอดหมอนไว้ จะช่วยลดอาการเจ็บได้..แล้วพรุ่งนี้เช้า ผมจะแวะมาดูอีกที”
“เดี๋ยว” ธีรเดชรีบเรียก ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้เดินไป “ใครเป็นคนให้คุณมารักษาผม..คุณขวัญเรอะ?”
“ไม่ใช่คุณขวัญหรอก..ส่วนจะเป็นใครนั้น ผมขอไม่ตอบนะ” นายแพทย์หนุ่มกล่าวจบ ก็คว้ากระเป๋าล่วมยาเดินออกไป
ธีรเดชได้แต่หงุดหงิดใจ..และเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เขาก็จำต้องหลับตาข่มใจนอนหลับอย่างที่นายแพทย์แนะนำ..อย่างน้อย ในความฝัน ยังคงมีผู้หญิงที่เขารักอยู่ในนั้น แม้ว่าในความทรงจำสุดท้าย เธอจะบอกว่าไม่รักเขา แต่การกระทำทุกอย่างรวมทั้งแววตาของเธอ มันได้บอกความจริงทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว
“ฮึ! คนโกหก”
(ต่อค่ะ)