ครบรอบหนึ่งปี ที่โจรงัดบ้าน ปวดร้าวไม่เคยจาง

เขียนจากเรื่องจริง วันนี้เวลานี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว...

บ้านของเราอยู่ในชนบทแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ให้กับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง เราอยู่ที่นี่มาสามสิบกว่าปีกับพ่อและแม่ และมีลูกชายอยู่หนึ่งคน (ณ วันนั้นเด็กชายครบสองขวบพอดิบพอดี) อากาศเย็นๆ หลังฝนตกในช่วงเย็น ประกอบกับไฟฟ้าดับทั้งหมู่บ้าน เป็นธรรมดาที่ทุกคนต่างก็รีบเข้านอน บ้านเราก็เช่นกัน ประมาณสามทุ่มก็แยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อนนอนฟังเสียงฝนเปาะแปะ

หลังจากนั้นไม่นานไฟฟ้าก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ พ่อของเราขึ้นไปนอนบนบ้าน ส่วนเรา ลูกชายและแม่นอนห้องแอร์อีกห้องข้างบ้านที่ชั้นล่าง เสียงสุดท้ายก่อนที่ผล็อยหลับไปคือเสียงเหมือนคนหรือสุนัขเดินสะดุดบางอย่างที่หลังบ้าน ซึ่งก็นับว่าค่อนข้างปกติ เพราะบ้านนอกนั้น รั้วรอบขอบชิดก็มิได้แน่นหนามากไปกว่าการบอกอาณาเขตบ้าน ยังมีช่องให้สุนัขหมาแมวเข้ามาได้บ้าง

ยังจำได้ดี เสียงแม่ละล่ำละลักตะโกนเรียกให้ตื่นจากความฝัน บอกว่า ตื่นเร็วๆๆ ทำไงดี เสียงแม่ขาดเป็นห้วงๆ ด้วยความตกใจ

"บ้านเราโดยขโมยมางัดหลังบ้าน เงินกับทองแม่เก็บไว้หายหมดเลย" พอตื่นขึ้น มองนาฬิกาเป็นเวลายังไม่ถึงเที่ยงคืน เรายังใจชื้น เพราะคิดไปว่าแม่เรียกเพราะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อหรือพ่อป่วยเสียอีก ยังโชคดีที่พ่อและแม่ยังอยู่ดี

แม่ร้องไห้ พร้อมๆ กับหาไฟฉาย เรารีบวิ่งออกมาจากห้อง ใจยังห่วงลูกชายที่ยังคงนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่ในห้องเพียงลำพัง

ไปที่ประตูหลังบ้าน บ้านถูกงัดอย่างง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์ที่คาดว่าเป็นเพียงมีดหรืออะไรก็ตามที่เปื้อนดินโคลนของวันฝนตก ร่องรอยที่ยังจะคงอยู่ไปตลอดกาลทั้งที่ประตูไม้บานเก่าและในใจของทุกคนในบ้านหลังนี้

แม่ยังเข้มแข็ง แม้เรารู้ว่าแม่เจ็บปวดเพียงใด เงินสดที่เก็บออมมาอย่างดีทั้งหมดที่มีอยู่กับตัวนับหลายหมื่น สร้อยคอทองคำทั้งของแม่และของเรารวมห้าบาท อันตรธานหายไปหมดสิ้น พ่อรีบโทรแจ้งตำรวจที่เป็นคนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก กำลังตำรวจก็เดินทางมาถึงที่บ้านประมาณหกเจ็ดนายก็มาถึง

แม่กับพ่อยังคงอึ้ง อึดอัด อื้ออึง โทษตัวเอง เราเข้าใจความรู้สึกนั้นได้อย่างดี ความสูญเสียแม้จะเป็นทรัพย์นอกกาย ที่สักวันอาจหามาทดแทนได้ แต่ความรู้สึกที่เสียไป ความรู้สึกว่าบ้านที่เคยอยู่อย่างปลอดภัยมายาวนาน ได้ถูกทำให้เชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่ามีคนที่ไม่ประสงค์ดีได้เข้ามาบุกรุกและฉกฉวยสิ่งที่เราหวงแหนนั้นไปได้เสียแล้ว ตำรวจสอบปากคำและหาหลักฐาน แต่พวกเราก็ได้แต่พูดไปอย่างไร้ความหวัง...

ณ วันนั้นเรากลัว กลัวและชิงชังโจรอย่างที่สุด สิ่งที่ทำคืออยากปกป้องลูกชายตัวน้อยให้ดีที่สุด หากว่าแม่หรือพ่อมาเจอกับโจรจังๆ ที่ในบ้าน จะเกิดอะไรขึ้นหนอ หากโจรทำอะไรลูกเราจะทำอย่างไรหนอ คิดไปต่างๆ นานา คิดวนซ้ำๆ หากใครที่ไม่เจอเหตุการณ์กับตัวเองก็จะไม่รู้เลยว่าจะรู้สึกเช่นไร เวลาผ่านไปเป็นเดือน หลายเดือน ไม่มีความคืบหน้าของการจับโจร มีเพียงความสงสัยในตัวใครบางคนที่พวกเรารู้จักเป็นอย่างดี (แต่มีหลักฐานเพียงน้อยนิด เช่นกล่องใส่สร้อยคอทองคำสีแดงใหม่เอี่ยมพร้อมป้ายทองสองบาทที่ถูกทิ้งอยู่ปลายนาทางเข้าหมู่บ้านหลังจากวันเกิดเหตุสองสามวัน) พวกเราต้องติดตั้งประตูเหล็กดัดให้แน่นหนา ติดกล้องวงจรปิด และที่สำคัญคืออาการนอนไม่หลับ สะดุ้งผวาตอนกลางคืนมาเป็นของแถมที่สลัดไม่หลุดจนถึงทุกวันนี้...

แม้ว่าวันนี้จะครบรอบหนึ่งปีที่เกิดเหตุการณ์ แต่พวกเราก็ยังคงจำได้ไม่ลืม หากมีใครได้อ่าน อย่าลืมดูแลความปลอดภัยภายในบ้านก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างที่บ้านเราประสบพบเจอ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ

ขออนุญาตแท็กสวนลุมพินี สุขภาพจิต ด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่