Day 5:
วันนี้เราตื่นกันสายโด่ง เพราะว่าได้ตั๋วไปคาวากูชิโกะตอน 13:15 น.
ยังไงๆวันนี้ก็ต้องหอบกระเป๋าใบเบ้อเริ่ม check-out ออกจากที่พักแล้วด้วย เราคงแวะที่ไหนไม่ได้ แพลนวันนี้เราเลยนอนให้พอ ตื่นมาก็ไปขึ้นรถกันเลยละกัน
การ check-out สำหรับ airbnb ที่นี่คือแค่ lock ห้องไว้ แล้วเอากุญแจใส่ไว้ในตู้เก็บที่ดับเพลิงเหมือนเดิม อาจจะ chat บอกเจ้าของบ้านหน่อยเพื่อความสบายใจ 555
เราออกบ้านกันประมาณ 11 โมงกว่าๆ นี่เราว่าเผื่อเวลาแล้วนะ
พอไปถึงสถานที่ขึ้นรถ ที่ Shinjuku Bus Express Terminal นั่นเอง
ลูกไผ่: “เหมือนวันที่มาซื้อตั๋วไผ่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นรถบัสวนมาจอดตรงชั้น 3 นะคะ
พี่ปุ่น: “ใช่เหรอไผ่ แต่ว่าป้ายมันเป็นชั้น 4 นะ”
เราก็เดินลากกระเป๋าเดินวนกันไปเรื่อยอยู่ใน Bus Terminal สุดท้ายสายจ้าาาา ลากกระเป๋าวิ่งอีกแล้วค่าาาา
คือต้องเข้าใจว่ารถที่ญี่ปุ่นนี่ตรงเวลามากกก พอถึงเวลาปุปออกเลย
สำหรับเราในครั้งนี้ last minute อีกแล้วค่า อย่างหอบ แถมยังไม่ได้ทานอะไรเลย หิ้วท้องกันไป ณ จุดนี้
รถวิ่งจาก Tokyo ไป Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึง Kawaguchiko Station แล้ว เย้!
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงคือ ทานข้าวค่าาา หิวมากกก รู้สึกได้ว่าไส้เกือบจะขาดแล้ว โชคดีที่ข้างในสถานีมีร้านกาแฟที่ขายข้าวแกงกระหรี่ด้วย สั่งอย่างไม่รอช้า และซัดโฮกทันใด ณ จุดนี้ มันอร่อยมากกก ฟินสุดๆ
ท้องของคาวอิ่มแล้ว จริงๆอยากทานของหวานต่อมาก แต่ต้องตัดใจไปด้วยอากาศ 3 องศาตอนนี้ พี่กินไอติมเข้าไปไม่ไหวจริงๆ เราก็เลยเดินลากกระเป๋าไปหาซื้อตั๋วรถบัสสำหรับใช้ 2 วันใน Kawaguchiko
ตั๋วรถบัสแบบ 2 วันที่นี่มี 2 แบบ คือ
ราคา 1,200 เยน สามารถใช้ขึ้นได้ 2 สาย คือสายสีแดง และสีเขียว
ราคา 1,500 เยน สามารถใช้ขึ้นได้ 3 สาย คือสายสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน
พี่ปุ่น: “เอาแบบไหนดีอ่ะ”
ลูกไผ่: “นั่นสิคะ แล้วจริงเราต้องนั่งไปตรงไหนบ้างอ่ะค่ะ”
เอาแผนที่มากางดู
พี่ปุ่น: “ก็ซื้อ 1,5000 เยนไปเลยมั้ย ต่างกันแค่ 100 บาทเอง”
ลูกไผ่: “อื้อ ซื้อไปเหอะเนอะ”
พี่ปุ่น: “โอเค”
สรุปเราก็ได้ตั๋วรถบัสสำหรับนั่งได้ 3 สายมาครอบครอง ที่นี่หาทางไปโรงแรมกัน
เราต้องลากกระเป๋าออกมายืนต่อแถวรอรถบัสที่หน้าสถานี ไอตอนทานข้าวกับซื้อตั๋วก็ยังพอไหวอยู่หรอก เพราะอยู่ข้างใน ยังอุ่นๆ พอต้องออกมารอรถข้างนอกเท่านั้นแหละ แข็งค่า เมื่อไหร่รถจะม๊าาาาา.....
พอรถมาก็รีบเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นรถอย่างทุลักทุเล มันใบใหญ่อ่ะนะ นั่งๆแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว
ระหว่างนั่งรถ เราจะเป็นว่าคนญี่ปุ่นขับรถกันช้ามาก ด้วยความเร็วคงที่เท่ากันเด๊ะ แถมเว้นช่วงห่างต่อคันไว้เยอะมากประมาณ 1 ช่วงรถได้
ลูกไผ่: “โห พี่ปุ่นดูสิคะ เค้าเว้นช่วงไว้เยอะมาก แถมเว้นไว้เท่ากันทุกคันเลยอ่ะ”
พี่ปุ่น: “อย่างนี้แหละ บ้านเค้า Safety first ไง”
ที่คาวาเราพักที่โรงแรม Fuji Royal Hotel Kawaguchiko เป็นโรงแรมแบบเรียวกัง
อ๊าาา พอเป็นโรงแรมนี่มันสบายจริงๆ ช่างต่างกับพัก airbnb อย่างเห็นได้ชัด ที่นอนนุ่ม แถมในห้องก็อุ่นสบาย ดีจุงงง
เราเข้าโรงแรมมาแค่โยนๆของไว้แล้วรีบออกมาเดินเล่นกัน เพราะนี่ก็เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะมืดซะก่อน
จากโรงแรมเดินข้ามถนนไปก็เป็นทะเลสาป วิวสวยมากก แต่ลมก็แรงและอากาศก็หนาวมากเช่นกัน เรียกได้ว่ากดชัตเตอร์กันแทบไม่ไหวเลย
แต่ด้วยวิวที่โคตรจะสวย เราก็แข็งใจกดมาได้หลายรูปอยู่เหมือนกัน
เราถ่ายเวิ้งนี้อยู่ซักพัก
พี่ปุ่น: “ปะ ไปขึ้นรถไปริม Lake กัน เดี๋ยวร้านจะปิดซะก่อน”
เราเลยเดินมารอรถที่ป้ายรถบัส ซึ่งอยู่เยื้องกับโรงแรมเรานี่เอง
นั่งแค่อึดใจเดียว ก็มาถึงริม Lake
พี่ปุ่น: “เนี่ย ส่วนใหญ่เค้าก็ทานข้าวแถวนี้กัน มันจะมีพวกร้านข้าวอะไรงี้อยู่”
ริม Lake จะมีลานจอดรถกว้างๆ และมีร้านขายของอยู่ ตอนเราไปถึงพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี บรรยากาศก็เลยเป็นสีส้มไปหมด
เราเดินเล่นกันอยู่พักใหญ่เลย จนฟ้าเริ่มจะมืด ตอนนั้นประมาณ 6 โมงกว่าๆ ได้
พี่ปุ่น: “ปะ ไปหาข้าวทานกัน”
เราแวะที่ร้านขายของฝากตรงข้ามถนนก่อน
ลูกไผ่: “น่ากินทั้งนั้นเลยอ่ะค่ะพี่ปุ่น ซื้อไปทานที่ห้องๆ”
พี่ปุ่น: “อื้อ ไผ่เลือกเลย”
ได้ขนมเอาไว้ไปทานเล่นที่ห้องแล้ว ก็ได้เวลาไปหาข้าวทานก่อนกลับเข้าโรงแรมกัน แต่ว่า....
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนร้านอาหารก็ปิดหมดแล้ว แงงง
คนที่นี่ปิดบ้าน ปิดร้านเร็วมาก คงมีส่วนให้นักท่องเที่ยวที่มาพักโรงแรมเรียวกังที่นี่ จะสั่งอาหารเย็นทานที่โรงแรมกันไปเลย ส่วนเราวันนี้ เดชะบุญที่มี Lawson ร้านใหญ่เปิดไฟสว่างอยู่ท่ามกลางแสงสลัวๆ ในยามโพล้เพล้ พอเดินเข้าไปข้างใน เจอนักท่องเที่ยวเต็มเลยจ้า คงไม่มีที่ทานเหมือนกันสินะ 555
เราตุนเสบียงจากที่นี่ไว้เยอะพอสมควรเลย
นอกจากร้านข้าวที่ปิดเร็วแล้ว รถบัสประจำทางที่วิ่งให้บริการในเมืองนี้ก็เลิกเร็วเช่นกันจ้า รู้สึกว่ารอบสุดท้ายจะหมดตอน 5 โมงเย็น
พี่ปุ่น: “รถบัสหมดแล้วล่ะไผ่ ต้องเดินแล้วล่ะ”
ลูกไผ่: “โอเคค่า หนาวมากกก”
ใช่ อุณหภูมิตอนนั้นลดลงเรื่อยๆ จาก 3 องศา ตอนนี้ลดลงเหลือ 2 และมีทีท่าว่าจะเหลือ 1 ในไม่ช้า
ดีที่เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก พอจะเดินได้ เราเดินพักใหญ่ก็มาถึงโรงแรมซักที เย้!
ได้เวลาทานข้าวเย็นกันแล้ววว
พี่ปุ่น: “เราลงไปแช่ออนเซ็นดีกว่า”
ลูกไผ่: “อ๊ะ ไผ่ไปด้วย”
ที่โรงแรมนี้มีชุดยูกาตะให้เราเปลี่ยนไว้ใส่เดินไปบ่อออนเซ็น ซึ่งเปิดบริการถึงเที่ยงคืน แยกฝั่งชายหญิง หน้าทางเข้าออนเซ็นจะมีตู้นมให้แขกสามารถมากดดื่มได้
นี่เป็นประสบการณ์การแช่ออนเซ็นของเรา พอเดินเข้าไปห้องแรกที่เจอคือห้องแต่งตัว มีตะกร้าเตรียมไว้หลายใบ สำหรับให้เราถอดและวางชุดยูกาตะของเราไว้ อีกฝั่งจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งยาวๆ ซึ่งมีไดร์เป่าผมหลายอันวางบริการอยู่
เมื่อถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นจนเปลือยล่อนจ้อนแล้ว เราก็เดินเข้าไปส่วนที่ 2 ต่อ ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับให้เราอาบน้ำสระผม และมีบ่อออนเซ็นเล็กๆในห้องนี้ 1 บ่อ
เราเดินเข้าไปอาบน้ำล้างตัวก่อน ตอนนั้นในห้องนั้นมีคุณแม่ชาวจีนและลูกสาวกำลังอาบน้ำอยู่ และมีคุณป้าอีก 2 คน แช่อยู่ในบ่อ มันก็จะมีความเขินๆ ก้มหน้าก้มตาอาบน้ำไป พยายามไม่เหลียวไปมองคนรอบตัวเรา 5555
ล้างตัวเสร็จ เราก็ลองลงไปแช่ในบ่อดู ก่อนมาพี่ปุ่นขู่ไว้เยอะว่าน้ำมันร้อนมาก ไม่รู้ไผ่จะลงไหวรึเปล่า เพราะปกติขนาดน้ำอุ่นไผ่ยังไม่ค่อยชอบอาบเลย ตอนเท้าจุ่มลงไปครั้งแรก เฮ้ยยย ร้อนจี๋เลยจริงๆด้วย แต่เราก็ เอาวะ ไหนๆมาแล้วต้องลองลงไปแช่สิ แข็งใจนิดนึงแล้วจุ่มลงไปทั้งตัว ซักพักพอร่างกายเริ่มปรับอุณหภูมิได้ เฮ้ย สบายดีแฮะ เพิ่งจุ่มลงไปได้แปปนึงก็ได้ยินเสียงสาวๆญี่ปุ่นลอยมาเป็น The gang แล้วเปิดประตูเข้ามาจากอีกฝั่ง อ้าววว นี่เค้ามีบ่อกลางแจ้งข้างนอกด้วยนี่นา โง่นั่งแช่อยู่ในนี้ตั้งนาน
ข้างนอกมีอีก 2 บ่อ เป็นบ่อที่เหมือนสระว่ายน้ำไม่ใหญ่มาก มีหลังคายื่นมาถึง ส่วนอีกบ่อเป็นบ่อกลางแจ้งเลย ไม่มีหลังคาและเป็นบ่อแบบธรรมชาติ ตรงพื้นเป็นหิน รอบข้างเป็นต้นไม้ เฮ้ยย มันฟินมาก การแช่ออนเซ็นร้อนๆ ท่ามกลางอากาศ 1 องศา เงยหน้ามองดาวไป และที่สำคัญที่บ่อข้างนอกนี้มีแค่สาวญี่ปุ่นอีกคนที่แช่อยู่กับเรา ส่วนตัวมาก
เราแช่อยู่พักใหญ่เลยเพราะพี่ปุ่นบอกว่า “เราน่าจะแช่นานนะ”
พอเดินออกมาเจอพี่ปุ่นเดินไปเดินมา รออยู่หน้าห้อง
พี่ปุ่น: “โห ไผ่ แช่นานมากอ่ะ นี่เราออกมารอตั้งนานแล้ว”
ลูกไผ่: “อ้าว ไผ่ก็นึกว่าพี่ปุ่นจะแช่นานนี่นา”
พี่ปุ่น: “นี่ก็นานมากแล้วนะ นี่เจอสาวๆน่ารักๆเดินออกมาเต็มเลย”
ลูกไผ่: “เจอะ เจ๊อะ มีสาวนมตู้ม ขาวจั๊วะ แช่พร้อมไผ่ด้วยยยย”
พี่ปุ่น: “เชอะ!”
ลูกไผ่: “นี่ พี่ปุ่นๆ มีนมให้กินหลังแช่ออนเซ็นเหมือนที่ไผ่อ่านมาในหนังสือเลยอ่ะค่ะ”
เราก็เลยกดนมมากินคนละขวด เฮ้ยยย มันอร่อยมากกกก
Day 6:
พี่ปุ่น: “ไผ่ มาดูนี่สิ”
เราสลึมสลือตื่นขึ้นด้วยเสียงปลุกของพี่ปุ่น แล้วเดินสโหล่สเหล่ไปที่หน้าต่างที่พี่ปุ่นยืนอยู่
พอมองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแหละ ตื่นเลย!
ฟูจิซังขนาดมหึมา มองเห็นจากหน้าต่างห้องชัดมาก แถมไม่มีเมฆบังซักแอะ
เรารีบแต่งตัว เก็บของ ทานเสบียงที่ซื้อมาจาก Lawson เย็นเมื่อวาน แล้วลากกระเป๋าไป Check out ด้านล่างแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม วันนี้เป้าหมายแรกของเราคือนั่งกระเช้าขึ้นไปดูฟูจิซังและวิวเมืองจากมุมสูง
เรานั่งรถบัสสายสีแดงไปลงตรง Kawaguchigo Ropeway อยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับริม Lake ที่เรามาเดินเล่นเมื่อวาน ตอนนั้นที่ Ropeway เริ่มมีคนบ้างแล้ว
พี่ปุ่น: “เนี่ย จริงๆมาเที่ยวอย่างนี้มันต้องออกเช้าๆรู้มั้ย ไม่งั้นไผ่ก็จะเจอคนเยอะอย่างงี้”
ลูกไผ่: “ค่าาาา”
ขี้บ่นสุดๆ 555
ก่อนอื่นเราก็มาต่อคิวซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติ ค่าขึ้น Ropeway คนละ 1,560 เยน
ระหว่างทางที่ต่อคิว จะมีภาพทานูกิกับกระต่ายเป็นเรื่องเล่าอยู่ตามผนังด้วยล่ะ
ต่อแถวพักใหญ่เราก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว เย้!
พอกระเช้าเริ่มขึ้นสูง วิวก็เริ่มมาก มันสวยมาก เป็นวิวทะเลสาปจากมุมสูง Ropeway ที่นี่เป็นระยะทางสั้นๆ แปปเดียวก็ถึงแล้ว
ลูกไผ่: “อ้าว สั้นจุง”
พี่ปุ่น: “ใช่ มีแค่นี้แหละ เดี๋ยวเราเดินไปถ่ายรูปข้างบนกัน”
ด้านบนจะเป็นลาน ที่มีมุมให้ถ่ายรูปฟูจิซังอยู่ ตอนที่เราขึ้นมาถึงข้างบนนี้ ฟูจิซังเริ่มโดนเมฆบังไปบ้างซะแล้ว
พี่ปุ่น: “นี่เค้าปิดก่อสร้างอะไรซักอย่างอีกแล้ว ตอนเรามาคราวก่อนยังไม่ปิดเลย”
ลูกไผ่: “แงงง ปิดอีกแล้วเหรอคะ”
แต่ก็ยังดีที่ยังมีร้านขายขนมอยู่ ข้างบนนี้มีขนมดังโงะที่มีขายเป็นไม้ และขายป็นเซตคู่กับชาเขียวอยู่
ไม้ละ 350 เยน ถ้าเอาแบบเซ็ตก็ 400 เยน
เราซื้อแบบเซ็ตมาแบ่งกันทาน มันก็คือขนมดังโงะที่มีน้ำร้านรสชาติหวานๆ เค็มๆ นั่งทานตอนร้อนๆ ตรงแดดอุ่นๆ ค่อยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นมานิดนึง
ข้างบนนี้ไม่ได้กว้างมาก คนแค่มาถ่ายรูปตรงจุดชมวิว ละก็ทานขนมดังโงะก็กลับลงไปกันแล้ว
[CR] ตะลุยญี่ปุ่น 17 วัน 8 เมือง - EP.2 เมืองแห่งภูเขาไฟฟูจิ คาวากูชิโกะ
Day 5:
วันนี้เราตื่นกันสายโด่ง เพราะว่าได้ตั๋วไปคาวากูชิโกะตอน 13:15 น.
ยังไงๆวันนี้ก็ต้องหอบกระเป๋าใบเบ้อเริ่ม check-out ออกจากที่พักแล้วด้วย เราคงแวะที่ไหนไม่ได้ แพลนวันนี้เราเลยนอนให้พอ ตื่นมาก็ไปขึ้นรถกันเลยละกัน
การ check-out สำหรับ airbnb ที่นี่คือแค่ lock ห้องไว้ แล้วเอากุญแจใส่ไว้ในตู้เก็บที่ดับเพลิงเหมือนเดิม อาจจะ chat บอกเจ้าของบ้านหน่อยเพื่อความสบายใจ 555
เราออกบ้านกันประมาณ 11 โมงกว่าๆ นี่เราว่าเผื่อเวลาแล้วนะ
พอไปถึงสถานที่ขึ้นรถ ที่ Shinjuku Bus Express Terminal นั่นเอง
ลูกไผ่: “เหมือนวันที่มาซื้อตั๋วไผ่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นรถบัสวนมาจอดตรงชั้น 3 นะคะ
พี่ปุ่น: “ใช่เหรอไผ่ แต่ว่าป้ายมันเป็นชั้น 4 นะ”
เราก็เดินลากกระเป๋าเดินวนกันไปเรื่อยอยู่ใน Bus Terminal สุดท้ายสายจ้าาาา ลากกระเป๋าวิ่งอีกแล้วค่าาาา
คือต้องเข้าใจว่ารถที่ญี่ปุ่นนี่ตรงเวลามากกก พอถึงเวลาปุปออกเลย
สำหรับเราในครั้งนี้ last minute อีกแล้วค่า อย่างหอบ แถมยังไม่ได้ทานอะไรเลย หิ้วท้องกันไป ณ จุดนี้
รถวิ่งจาก Tokyo ไป Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึง Kawaguchiko Station แล้ว เย้!
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงคือ ทานข้าวค่าาา หิวมากกก รู้สึกได้ว่าไส้เกือบจะขาดแล้ว โชคดีที่ข้างในสถานีมีร้านกาแฟที่ขายข้าวแกงกระหรี่ด้วย สั่งอย่างไม่รอช้า และซัดโฮกทันใด ณ จุดนี้ มันอร่อยมากกก ฟินสุดๆ
ท้องของคาวอิ่มแล้ว จริงๆอยากทานของหวานต่อมาก แต่ต้องตัดใจไปด้วยอากาศ 3 องศาตอนนี้ พี่กินไอติมเข้าไปไม่ไหวจริงๆ เราก็เลยเดินลากกระเป๋าไปหาซื้อตั๋วรถบัสสำหรับใช้ 2 วันใน Kawaguchiko
ตั๋วรถบัสแบบ 2 วันที่นี่มี 2 แบบ คือ
ราคา 1,200 เยน สามารถใช้ขึ้นได้ 2 สาย คือสายสีแดง และสีเขียว
ราคา 1,500 เยน สามารถใช้ขึ้นได้ 3 สาย คือสายสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน
พี่ปุ่น: “เอาแบบไหนดีอ่ะ”
ลูกไผ่: “นั่นสิคะ แล้วจริงเราต้องนั่งไปตรงไหนบ้างอ่ะค่ะ”
เอาแผนที่มากางดู
พี่ปุ่น: “ก็ซื้อ 1,5000 เยนไปเลยมั้ย ต่างกันแค่ 100 บาทเอง”
ลูกไผ่: “อื้อ ซื้อไปเหอะเนอะ”
พี่ปุ่น: “โอเค”
สรุปเราก็ได้ตั๋วรถบัสสำหรับนั่งได้ 3 สายมาครอบครอง ที่นี่หาทางไปโรงแรมกัน
เราต้องลากกระเป๋าออกมายืนต่อแถวรอรถบัสที่หน้าสถานี ไอตอนทานข้าวกับซื้อตั๋วก็ยังพอไหวอยู่หรอก เพราะอยู่ข้างใน ยังอุ่นๆ พอต้องออกมารอรถข้างนอกเท่านั้นแหละ แข็งค่า เมื่อไหร่รถจะม๊าาาาา.....
พอรถมาก็รีบเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นรถอย่างทุลักทุเล มันใบใหญ่อ่ะนะ นั่งๆแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว
ระหว่างนั่งรถ เราจะเป็นว่าคนญี่ปุ่นขับรถกันช้ามาก ด้วยความเร็วคงที่เท่ากันเด๊ะ แถมเว้นช่วงห่างต่อคันไว้เยอะมากประมาณ 1 ช่วงรถได้
ลูกไผ่: “โห พี่ปุ่นดูสิคะ เค้าเว้นช่วงไว้เยอะมาก แถมเว้นไว้เท่ากันทุกคันเลยอ่ะ”
พี่ปุ่น: “อย่างนี้แหละ บ้านเค้า Safety first ไง”
ที่คาวาเราพักที่โรงแรม Fuji Royal Hotel Kawaguchiko เป็นโรงแรมแบบเรียวกัง
อ๊าาา พอเป็นโรงแรมนี่มันสบายจริงๆ ช่างต่างกับพัก airbnb อย่างเห็นได้ชัด ที่นอนนุ่ม แถมในห้องก็อุ่นสบาย ดีจุงงง
เราเข้าโรงแรมมาแค่โยนๆของไว้แล้วรีบออกมาเดินเล่นกัน เพราะนี่ก็เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะมืดซะก่อน
จากโรงแรมเดินข้ามถนนไปก็เป็นทะเลสาป วิวสวยมากก แต่ลมก็แรงและอากาศก็หนาวมากเช่นกัน เรียกได้ว่ากดชัตเตอร์กันแทบไม่ไหวเลย
แต่ด้วยวิวที่โคตรจะสวย เราก็แข็งใจกดมาได้หลายรูปอยู่เหมือนกัน
เราถ่ายเวิ้งนี้อยู่ซักพัก
พี่ปุ่น: “ปะ ไปขึ้นรถไปริม Lake กัน เดี๋ยวร้านจะปิดซะก่อน”
เราเลยเดินมารอรถที่ป้ายรถบัส ซึ่งอยู่เยื้องกับโรงแรมเรานี่เอง
นั่งแค่อึดใจเดียว ก็มาถึงริม Lake
พี่ปุ่น: “เนี่ย ส่วนใหญ่เค้าก็ทานข้าวแถวนี้กัน มันจะมีพวกร้านข้าวอะไรงี้อยู่”
ริม Lake จะมีลานจอดรถกว้างๆ และมีร้านขายของอยู่ ตอนเราไปถึงพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี บรรยากาศก็เลยเป็นสีส้มไปหมด
เราเดินเล่นกันอยู่พักใหญ่เลย จนฟ้าเริ่มจะมืด ตอนนั้นประมาณ 6 โมงกว่าๆ ได้
พี่ปุ่น: “ปะ ไปหาข้าวทานกัน”
เราแวะที่ร้านขายของฝากตรงข้ามถนนก่อน
ลูกไผ่: “น่ากินทั้งนั้นเลยอ่ะค่ะพี่ปุ่น ซื้อไปทานที่ห้องๆ”
พี่ปุ่น: “อื้อ ไผ่เลือกเลย”
ได้ขนมเอาไว้ไปทานเล่นที่ห้องแล้ว ก็ได้เวลาไปหาข้าวทานก่อนกลับเข้าโรงแรมกัน แต่ว่า....
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนร้านอาหารก็ปิดหมดแล้ว แงงง
คนที่นี่ปิดบ้าน ปิดร้านเร็วมาก คงมีส่วนให้นักท่องเที่ยวที่มาพักโรงแรมเรียวกังที่นี่ จะสั่งอาหารเย็นทานที่โรงแรมกันไปเลย ส่วนเราวันนี้ เดชะบุญที่มี Lawson ร้านใหญ่เปิดไฟสว่างอยู่ท่ามกลางแสงสลัวๆ ในยามโพล้เพล้ พอเดินเข้าไปข้างใน เจอนักท่องเที่ยวเต็มเลยจ้า คงไม่มีที่ทานเหมือนกันสินะ 555
เราตุนเสบียงจากที่นี่ไว้เยอะพอสมควรเลย
นอกจากร้านข้าวที่ปิดเร็วแล้ว รถบัสประจำทางที่วิ่งให้บริการในเมืองนี้ก็เลิกเร็วเช่นกันจ้า รู้สึกว่ารอบสุดท้ายจะหมดตอน 5 โมงเย็น
พี่ปุ่น: “รถบัสหมดแล้วล่ะไผ่ ต้องเดินแล้วล่ะ”
ลูกไผ่: “โอเคค่า หนาวมากกก”
ใช่ อุณหภูมิตอนนั้นลดลงเรื่อยๆ จาก 3 องศา ตอนนี้ลดลงเหลือ 2 และมีทีท่าว่าจะเหลือ 1 ในไม่ช้า
ดีที่เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก พอจะเดินได้ เราเดินพักใหญ่ก็มาถึงโรงแรมซักที เย้!
ได้เวลาทานข้าวเย็นกันแล้ววว
พี่ปุ่น: “เราลงไปแช่ออนเซ็นดีกว่า”
ลูกไผ่: “อ๊ะ ไผ่ไปด้วย”
ที่โรงแรมนี้มีชุดยูกาตะให้เราเปลี่ยนไว้ใส่เดินไปบ่อออนเซ็น ซึ่งเปิดบริการถึงเที่ยงคืน แยกฝั่งชายหญิง หน้าทางเข้าออนเซ็นจะมีตู้นมให้แขกสามารถมากดดื่มได้
นี่เป็นประสบการณ์การแช่ออนเซ็นของเรา พอเดินเข้าไปห้องแรกที่เจอคือห้องแต่งตัว มีตะกร้าเตรียมไว้หลายใบ สำหรับให้เราถอดและวางชุดยูกาตะของเราไว้ อีกฝั่งจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งยาวๆ ซึ่งมีไดร์เป่าผมหลายอันวางบริการอยู่
เมื่อถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นจนเปลือยล่อนจ้อนแล้ว เราก็เดินเข้าไปส่วนที่ 2 ต่อ ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับให้เราอาบน้ำสระผม และมีบ่อออนเซ็นเล็กๆในห้องนี้ 1 บ่อ
เราเดินเข้าไปอาบน้ำล้างตัวก่อน ตอนนั้นในห้องนั้นมีคุณแม่ชาวจีนและลูกสาวกำลังอาบน้ำอยู่ และมีคุณป้าอีก 2 คน แช่อยู่ในบ่อ มันก็จะมีความเขินๆ ก้มหน้าก้มตาอาบน้ำไป พยายามไม่เหลียวไปมองคนรอบตัวเรา 5555
ล้างตัวเสร็จ เราก็ลองลงไปแช่ในบ่อดู ก่อนมาพี่ปุ่นขู่ไว้เยอะว่าน้ำมันร้อนมาก ไม่รู้ไผ่จะลงไหวรึเปล่า เพราะปกติขนาดน้ำอุ่นไผ่ยังไม่ค่อยชอบอาบเลย ตอนเท้าจุ่มลงไปครั้งแรก เฮ้ยยย ร้อนจี๋เลยจริงๆด้วย แต่เราก็ เอาวะ ไหนๆมาแล้วต้องลองลงไปแช่สิ แข็งใจนิดนึงแล้วจุ่มลงไปทั้งตัว ซักพักพอร่างกายเริ่มปรับอุณหภูมิได้ เฮ้ย สบายดีแฮะ เพิ่งจุ่มลงไปได้แปปนึงก็ได้ยินเสียงสาวๆญี่ปุ่นลอยมาเป็น The gang แล้วเปิดประตูเข้ามาจากอีกฝั่ง อ้าววว นี่เค้ามีบ่อกลางแจ้งข้างนอกด้วยนี่นา โง่นั่งแช่อยู่ในนี้ตั้งนาน
ข้างนอกมีอีก 2 บ่อ เป็นบ่อที่เหมือนสระว่ายน้ำไม่ใหญ่มาก มีหลังคายื่นมาถึง ส่วนอีกบ่อเป็นบ่อกลางแจ้งเลย ไม่มีหลังคาและเป็นบ่อแบบธรรมชาติ ตรงพื้นเป็นหิน รอบข้างเป็นต้นไม้ เฮ้ยย มันฟินมาก การแช่ออนเซ็นร้อนๆ ท่ามกลางอากาศ 1 องศา เงยหน้ามองดาวไป และที่สำคัญที่บ่อข้างนอกนี้มีแค่สาวญี่ปุ่นอีกคนที่แช่อยู่กับเรา ส่วนตัวมาก
เราแช่อยู่พักใหญ่เลยเพราะพี่ปุ่นบอกว่า “เราน่าจะแช่นานนะ”
พอเดินออกมาเจอพี่ปุ่นเดินไปเดินมา รออยู่หน้าห้อง
พี่ปุ่น: “โห ไผ่ แช่นานมากอ่ะ นี่เราออกมารอตั้งนานแล้ว”
ลูกไผ่: “อ้าว ไผ่ก็นึกว่าพี่ปุ่นจะแช่นานนี่นา”
พี่ปุ่น: “นี่ก็นานมากแล้วนะ นี่เจอสาวๆน่ารักๆเดินออกมาเต็มเลย”
ลูกไผ่: “เจอะ เจ๊อะ มีสาวนมตู้ม ขาวจั๊วะ แช่พร้อมไผ่ด้วยยยย”
พี่ปุ่น: “เชอะ!”
ลูกไผ่: “นี่ พี่ปุ่นๆ มีนมให้กินหลังแช่ออนเซ็นเหมือนที่ไผ่อ่านมาในหนังสือเลยอ่ะค่ะ”
เราก็เลยกดนมมากินคนละขวด เฮ้ยยย มันอร่อยมากกกก
Day 6:
พี่ปุ่น: “ไผ่ มาดูนี่สิ”
เราสลึมสลือตื่นขึ้นด้วยเสียงปลุกของพี่ปุ่น แล้วเดินสโหล่สเหล่ไปที่หน้าต่างที่พี่ปุ่นยืนอยู่
พอมองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแหละ ตื่นเลย!
ฟูจิซังขนาดมหึมา มองเห็นจากหน้าต่างห้องชัดมาก แถมไม่มีเมฆบังซักแอะ
เรารีบแต่งตัว เก็บของ ทานเสบียงที่ซื้อมาจาก Lawson เย็นเมื่อวาน แล้วลากกระเป๋าไป Check out ด้านล่างแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม วันนี้เป้าหมายแรกของเราคือนั่งกระเช้าขึ้นไปดูฟูจิซังและวิวเมืองจากมุมสูง
เรานั่งรถบัสสายสีแดงไปลงตรง Kawaguchigo Ropeway อยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับริม Lake ที่เรามาเดินเล่นเมื่อวาน ตอนนั้นที่ Ropeway เริ่มมีคนบ้างแล้ว
พี่ปุ่น: “เนี่ย จริงๆมาเที่ยวอย่างนี้มันต้องออกเช้าๆรู้มั้ย ไม่งั้นไผ่ก็จะเจอคนเยอะอย่างงี้”
ลูกไผ่: “ค่าาาา”
ขี้บ่นสุดๆ 555
ก่อนอื่นเราก็มาต่อคิวซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติ ค่าขึ้น Ropeway คนละ 1,560 เยน
ระหว่างทางที่ต่อคิว จะมีภาพทานูกิกับกระต่ายเป็นเรื่องเล่าอยู่ตามผนังด้วยล่ะ
ต่อแถวพักใหญ่เราก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว เย้!
พอกระเช้าเริ่มขึ้นสูง วิวก็เริ่มมาก มันสวยมาก เป็นวิวทะเลสาปจากมุมสูง Ropeway ที่นี่เป็นระยะทางสั้นๆ แปปเดียวก็ถึงแล้ว
ลูกไผ่: “อ้าว สั้นจุง”
พี่ปุ่น: “ใช่ มีแค่นี้แหละ เดี๋ยวเราเดินไปถ่ายรูปข้างบนกัน”
ด้านบนจะเป็นลาน ที่มีมุมให้ถ่ายรูปฟูจิซังอยู่ ตอนที่เราขึ้นมาถึงข้างบนนี้ ฟูจิซังเริ่มโดนเมฆบังไปบ้างซะแล้ว
พี่ปุ่น: “นี่เค้าปิดก่อสร้างอะไรซักอย่างอีกแล้ว ตอนเรามาคราวก่อนยังไม่ปิดเลย”
ลูกไผ่: “แงงง ปิดอีกแล้วเหรอคะ”
แต่ก็ยังดีที่ยังมีร้านขายขนมอยู่ ข้างบนนี้มีขนมดังโงะที่มีขายเป็นไม้ และขายป็นเซตคู่กับชาเขียวอยู่
ไม้ละ 350 เยน ถ้าเอาแบบเซ็ตก็ 400 เยน
เราซื้อแบบเซ็ตมาแบ่งกันทาน มันก็คือขนมดังโงะที่มีน้ำร้านรสชาติหวานๆ เค็มๆ นั่งทานตอนร้อนๆ ตรงแดดอุ่นๆ ค่อยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นมานิดนึง
ข้างบนนี้ไม่ได้กว้างมาก คนแค่มาถ่ายรูปตรงจุดชมวิว ละก็ทานขนมดังโงะก็กลับลงไปกันแล้ว