กระทู้นี้ยาวหน่อย (อาจจะไม่หน่อย) เป็นกระทู้เชิงบ่น ระบาย เเละ ขอความเห็นปนๆกันไป
เราตอนนี้ปัจจุบัน อายุ 26 ปีค่ะ (โสด)
เราขอเกริ่นก่อนว่า ความสัมพันธ์ของเรากับ พ่อเเม่ (รวมถึงเครือญาติ ค่อนข้างจะห่างเหินค่ะ คือไม่เกลียด หรือ โกรธ เเต่จะเรียกว่ายังไงดี ไม่สนืทกันล่ะมั้งคะ?)
เรื่องของเรื่องคือ ...
ตอนเด็กๆ ตั้งเเต่จำความได้จนถึงสมัยประถม เราอยู่อพาทเม้นท์กับเเม่ 2 คนค่ะ (โดยพ่อจะเเวะเวียนมาหาอาทิตย์ล่ะครั้ง)
เเม่เรา ดุค่ะ ตอนนั้นคือดุมากๆ
- ทุกเช้าเเม่ จะบังคับ (ใช้คำว่าบังคับนะคะ) ให้เราดื่มนม ผสมน้ำมะเขือเทศ ทุกวัน เช้า - เย็น ..... ซึ่งรสชาติน้ำมะเขือเทศเปล่าว่าเเย่เเล้ว นี่ผสมกับนมอีก เราไม่เคยมีความสุขในตอนเช้าเลยค่ะ ไม่ดื่มก็ไม่ได้ ดุเราหนักมาก อาจจะเพราะเหตุนี้ ปัจจุบันเราเลยเลิกดื่มนม เเละ เป็นคนที่ไม่ทานมะเขือเทศอีกเลย ไม่ว่าใครจะพูดยังไง
- ทุกเช้า เเม่จะทำผมให้ค่ะ เเต่เเม่มือหนักมาก หนักขนาดว่า บางวันมีน้ำตาซึมบ้าง (ถ้าเเม่เห็นจะโดนดุค่ะ) อุปหรณ์ทำผมหน้าตาเเบบนี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คือเจ็บมากสำหรับเด็กๆตอนนั้น เราเคยเอาไปซ่อนค่ะ (โดยโยนวิ้ข้างโต้ะเครื่องเเป้งที่วางติดกับตู้เสื้อผ้า เเละ จะมีช่องเล็กๆ ที่สามารถพอจะโยนมันเข้าไปได้) เเต่เเม่เรารู้ทันค่ะ วันนั้นเเม่ตี เเละไม่ทำผมให้เรา เเม่ตีนะคะ เเต่ ไม่ให้เราร้องไห้ (เเค่เราสะอื้น เเม่ก็ดุว่าให้เราเงียบ) จนวันนั้นครูที่รถโรงเรียนเป็นคนรวบผมให้เรา
- ตอนเด็กๆ เด็กทุกคนกลัวความผิดค่ะ เลยมีโกหกบ้างเล็กๆ น้อยๆ เเต่มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเราไม่ได้ทำ นาฬิกากำเเพงตอนนั้นไม่มีกระจกครอบด้านหน้าค่ะ เราไม่เเน่ใจว่ามันหลุด หรือ เเม่เค้าเเกะออกเพื่อจะได้ปรับเวลาได้ง่าย
วันนั้นนาฬิกามันเวลามันคลาดเคลื่อน เเม่หาว่าเราเป็นคนปรับ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้ปรับ วันนั้นเราถูกตีหนักมาก เป็นรอยทั่วทั้งตัวไปหมด ตามหน้าเเละตามลำตัว เราจำได้ว่า เราวิ่งหนีออกมาจากห้องได้ เเต่เเม่ก็วิ่งตามเเละลากเราไปตีซ็ำ (ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนครั้งอื่นที่ผ่านๆมา เราร้องไห้ เเต่เเม่ก็ดุให้เงียบ เเค่เสียงสะอื่นหลังร้องไห้ยังโดนดุ) วันนั้นเราก็สะดื้นทั้งวันเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำ เเละ ออกไปเล่นไม่ได้ เพราะตามตัวมีเเตรอยถูกตี (ซึ่งก็คือ ถ้าไปเล่นกับเพื่อนก็คงโดนล้อ)
- เราเคยเก็บดินสอที่โรงเรียนได้ค่ะ (ตอนนั้นมีข้อตกลงประจำห้องกันว่า ถ้าใครเก็บของได้ จะใส่ไว้ที่ลิ้นชักโต้ะครู ถ้าใครของหายไปหาที่นั่นว่ามีของตัวเองหรือเปล่า) เราเห็นว่ามันยังใหม่มาก เลยตะโกนถามเพื่อนในห้องว่ามีใครทำของหายหรือเปล่า (ตั้งใจว่า ถ้าไม่มีเจ้าของ ถึงจะหยอดไว้ที่โต๊ะครู) ปรากฏว่า เพื่อนสนิท มาบอกว่า "ของเราเอง เอาไปเถอะเรามีเยอะ" ตอนนั้นเอาจริงๆ คือ เพื่อนให้ ก็รับไว้ ดีใจอ่ะ เพราะเราไม่เคยมีของใหม่ เพราะเเม่ไม่ซื้อให้ (ของเรา สภาพต้องใช้ไม่ได้เเล้วจริงๆ ถึงจะซื้อให้)
ปรากฏว่า เเม่เรามาเจอเเละดุเราว่าไปเอาของใครมา (กลัวว่าเราจะขโมยมา) เราก็บอกตามตรงว่าเพื่อนให้มา เเม่โทรหาเพื่อนคนนั้นทันที เเต่เพื่อนคนนั้นกลับบอกว่า "ไม่ใช่ของหนู" ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ เรามีรอยไม้เรียว 4-5 รอยไปบอกเพื่อนในวันรุ่งขึ้น (เราเปิดให้เพื่อนดูในห้องน้ำเลยนะคะ เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน) เราบอกกับเพื่อนว่า "เเกมาโกหกเราทำไม" เพื่อนเราตอบกลับมาสั้นๆว่า "คราวหน้าเจอของก็เอาไปใส่ไว้โต๊ะครูสิ" .... ด้วยความที่เป็นเด็กเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
- การสอบสมัยประถม จะมีช้อยส์มากสุด 3 ข้อ ทุกครั้งที่มีเเบบฝึกหัด เเม่จะให้ เราท่องทุกข้อ เเละ เขียนด้วย ถ้าเเม่อ่านคำถาม เราต้องตอบได้เลย (เเบบไม่มีช้อยให้เลือก) ถ้าเราตอบผิดหรือตอบไม่ได้ เราจะโดนตีตามจำนวนข้อ (สมมุติว่าเราตอบไม่ได้ ข้อ 10 เราก็โดนตี 10 ที) ซึ่งเเน่นอว่า เราตอบคำถามไป ร้องไห้ไปทุกครั้ง บางครั้งทนไม่ได้ถึงขั้นกรีดร้องออกมาก็มี (ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าคนในอพาทเม้นท์ เค้าได้ยินกันหรือเปล่า)
ภาษาอังกฤษ คำศัพท์ คัดเเละท่อง เหมือนเดิม ถ้าผิดก็โดนตี (ปัจจุบันเลยทำให้ เราพอรู้ศัพท์ จำได้ เเต่ใช้ไม่เป็น)
- สมัยก่อนจะมีนาฬิกาข้อมือดิจิตอลค่ะ เรายังจำได้อยู่เลย เป็นลายตัวตลกสีเหลือง ที่มีปุ่มกดสามารถกดตั้งเวลาได้เองไม่ต้องหาอะไรจิ้ม (สมัยนั้นใครมีนี่คือ ฮือฮามาก) ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้เราถึงมี เเละ เเม่ย้ำกับเราว่า ห้ามกดตั้งค่านาฬิกาเด็ดขาด ..... เเน่นอนค่ะ เราใส่ไปโรงเรียน พอเพื่อนขอดู เราก็ย้ำกับเพื่อนว่า อย่ากดนะ ดูอย่างเดียว เพื่อนก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พอเปิดฝาเท่านั้นเเหละ มันกดทันที เราก็กลับลูปเดิมๆ โดนเเม่ตี โดนเเม่ดุ
- บังคับเรียน ECC , Smart brain , เรียนขิม ซัมเมอร์ฤดูร้อน หรือเรียนพิเศษตอนเย็นก็ไม่เคยพลาด ซึ่งเราไม่ได้ต้องการ เเต่ถูกบังคับให้เรียน (สมัยเราคือ ยุค 90 นะคะ เทคโนโลยี ยังไม่เข้าถึงขนาดนี้ .... การร้องขอคอมฯ คือการเอามาเล่นเกม ไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับพ่อเเม่ยุคนั้น)
นี่เป็นเพียง 0.01% เท่านั้นที่เราถูกปกครองด้วยความรุนเเรงเเละหวาดกลัว ถ้าดูจากเกรดการเรียน การเปลี่ยนเเปลงครั้งที่ 1 น่าจะราวๆ ป.5 เพราะจากเด็กที่สอบได้ที่ 1-2 มาตลอด (ตอนนั้นวัดกันที่อันดับ ... จริงสิ เราสอบได้ที่ 1 ก็จริง เเต่เราเคยถูกตีเพราะว่า ในสมุดพกเขียนว่า เราขาดความรอบคอบ .... จำได้ว่า ประโยคนี้มีทุกเทอม) พอป.5 อันดับเราตกมาเหลือ ที่ 6 .... พอป.6 ตกมา 10 กว่า
อาจจะเพราะตอนนั้น เเม่เรามีปากเสียงกับพ่อค่ะ ถึงขั้นเเยกกันอยู่ (เเต่พ่อยังมาหาเรานะคะ) จากที่พ่อเคยให้เงินใช้ ตอนนี้คือลดลง เเม่เลยเริ่มออกไปทำงานค่ะ (ขายของตามตลาด) เวลาที่จะใช้กวดขันเราน้อยลง (ตัวเราเองพอไม่มีใครคอยกวด ผลการเรียนก็ตกตาม เเละ ชัดเจนตั้งเเต่สมัยนั้นว่า คณิตเราไปไม่รอดเเน่ๆ)
ม.ต้นค่ะ .... เเม่เราทนรับค่าใช้จ่ายในกทม.ไม่ไหว จึงกลับไปอยู่บ้านเกิดที่ ตจว. เพราะยาย ป้า น้าชาย เเละ ญาติฝั่งเเม่อยู่ที่นั่นทั้งนั้น เเต่ด้วยความที่เรากลัวเเม่ เเละติดพ่อ (พ่อจะเป็นคนเก่งค่ะ เจ้าระเบียบเเต่ใจดี ทุกครั้งที่พ่อมา พ่อจะซื้อการ์ตูนมาให้เราดู คอยซื้อหนังสือให้เราอ่าน ว่าง่ายๆ คือสปอยล์ต่างจากเเม่ เเต่เรื่องเรียนก็เข้มงวดเเต่ไม่ขนาดเเม่ค่ะ ในชีวิตเรา เราจำได้ว่าพ่อตีเราครั้งเดียว ..... ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่ยอมลงไปเล่นกับเพื่อน ให้ตังค์เราไปกินหนมด้วยนะคะ 50 บาทเเน่ะ สมัยนั้นคือ เศรษฐีตัวน้อยเลย เเต่ด้วยความที่พ่อเรานานๆ มาที เราก็อยากอยู่กับพ่อ เเต่พ่อก็อยากให้เราไปเล่านตามประสาเด็ก พอเราไม่ยอมไปตอนนั้นถูกตีเฉย บอกว่าเราเอาไปเเต่ใจ)
เราเลยอ้างกับเเม่ว่า เราไม่อยากไปกับเเม่ เพราะเราอยากเรียนที่นี่ (กทม.) ..... พ่อเลยให้เราไปอยู่บ้านญาติฝ่ายพ่อค่ะ
ประกอบด้วย อาม่า อาสาว(น้องพ่อ) ลุง เเละ ลูกพี่ลูกน้อง (อายุน้อยกว่าเรา) 2 คน (ชาย 1 หญิง 1)เป็นครอบครัวคนจีนค่ะ
- อาม่า จะค่อนข้างติดพนัน ไม่เชิงติดคือ เรียกว่าเหมือนไปสังสรรค์ (พ่อเราให้เงินใช้ทุกเดือน) กับเพื่อนฝูงมากกว่า เเต่เคยได้ข่าวว่าเป็นหนี้เหมือนกัน
- อาสาว เป็นน้องของพ่อค่ะ (เเต่งงานกับลุง) ครอบครัวคนจีนจะปากจัดค่ะ คือกับเเม่เราเหมือนดุ ตวาด ตะคอก เเต่ของน้านี่คือ ด่าอ่ะ อี... ไอ้... ประมาณนี้ เเละ ทั้ง 2 คน จะตามใจลูกชายมาก เเละ ลูกชายเค้า อายุน่าจะน้อยกว่าเรา ประมาน7-8 ปี พูดคำหยาบก็ไม่ตักเตือน เอาเเต่ใจ ไม่รู้จักเด็ก จักผู้ใหญ่ ใครพูดเถียงคำไม่ตกฟาก ขี้ขโมย (ไม่ได้ขโมยร้ายเเรงนะคะ เหมือนเเคะกระทุกตัวเองบ้าง พี่ตัวเองบ้าง เอาเงินไปใช้)
เราไม่มีความสุขเลยค่ะ ตลอด ม.1 - ม.6
- เรากลับเย็นก็บ่น โทรฟ้องพ่อก็มี (ตอนมัธยมเราอยู่วงดนตรีสากลค่ะ เข้าตามเพื่อนไม่ได้ชอบหรอก ก็มีกลับถึงบ้าน6 โมง ทุ่มนึง รวมรถติด)
- เราคุยโทรศัพท์ (ตอนนัน้มีมือถือเป็นของตัวเองค่ะ คือพ่อให้ไว้เพื่อไว้โทรถามสารทุกข์สุขดิบ) ยอมรับว่า ก็มีบ้างที่เเบบคุยเพื่อนผู้ชายไรงี้ ก็มีมาเเอบฟัง เอาไปเล่าให้พ่อเราฟัง ใส่สีตีไข่ เพิ่ม อะไรจริง อะไรไม่จริง ซึ่งพ่อเราก็เตือนค่ะ (พ่อจะต่างกับเเม่ เเม่จะตวาด ตะคอก เเต่ พ่อจะเตือน คือโทนเสียงจะต่างกัน)
- ฤดูหนาวมีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคะ เเต่ไม่ให้เราใช้ เราจำได้เลยว่า เราจะตื่นเช้าค่ะ ตี 5 ทุกวัน เพื่อไปโรงเรียนไม่ให้เจอกับรถติด พอเราเดินลงบันไดมาปุ๊ป ปิดประตูห้องน้ำเปิดน้ำอุ่นอาบ ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ น้าเดินตามลงมา สับสวิตน้ำอุ่นหน้าห้องน้ำค่ะ ทำให้เครื่องใช้งานไม่ได้ ให้เหตุผลว่าเปลืองไฟ เเต่ลูกๆเขาใช้ได้ปกติค่ะ
- สารพัดเลยค่ะ ตอนนั้นเราเก็บตัวมาก คือเราไม่ยอมลงมาจากห้องเลย ถ้าไม่ใช่เวลา กินข้าวไปโรงเรียน ฤดูร้อน ไม่มีเเอร์ ห้องนี่เป็นเตาอบเลยค่ะ เราเคยอยู่ในห้องร้อนจนหมดเเรงก็มี เพราะเราไม่อยากลงมาเจอใครค่ะ
เเละสิ่งที่เราจำมาถึงวันนี้คือ ด่าเราใจเเตกบ้าง บ้าผู้ชายบ้าง เป็นเเค่คนมาอาศัยบ้าง ถามว่าโกรธมั้ย โกรธค่ะ ... เเต่ก็ถูก เรามาอาศัย เเต่เพราะพ่อเค้ามีอีกครอบครัวนึง เราเองก็ไม่อยากไปรบกวน (คือตอนนั้นก็โตพอจะเเยกเเยะได้เเล้ว) เเละบ้านพ่อก็ไกลจากโรงเรียนมาก
เราเป้นเเบบนี้จนกระทั่ง ม.4 เริ่มติดเกม ... พอเราให้อาทิตย์ละ 700 เราใช้ไม่พอหรอกค่ะ ติดค่าเกมเยอะเเยะไปหมด เหมือนกับว่า ถ้าวันนี้ไม่มีเงิน เขาก็จะให้เล่นไปก่อนจ่ายทีหลังอะไรเเบบนี้ มันก้ไม่จบไม่สิ้นสักที
เราติ่นมา อาบน้ำเเปรงฟัน เข้าร้านเกม ออกจากร้าน 2-3 ทุ่มประจำค่ะ ชั่วโมงละ 15 บาท 700บาทเอาไม่อยู่ค่ะ
ติดหนักมาก ถ้าพ่อมาหาก็เเอ้บเนียนทำเป็นอยู่บ้าน ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมที่บ้านเขาไม่ฟ้องพ่อเรา หรืออาจจะเพราะ เขาไม่สนใจเราเลยก็ได้ จะอยู่หรือจะไป หรือคิดว่า ต่อให้พ่อพูด ก็คงห้ามเราวัยนั้นไม่ได้
พอจบม.6 เข้ามหาลัย เราไม่เคยสนใจมหาลัยระดับเเนวหน้าเลยค่ะ เพราะ ... เราไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่นเลย ถ้าเป็นกราฟก็ระนาบเดียวเลยค่ะ เเล้วมาลงเหวเรื่องตัวเลข เราสมัครไปหลายที่ ที่ไหนรับเราไปที่นั่น ส่วนพ่อถาม เราบอกเเค่ว่า เราชอบที่นี่ (เอาจริงๆ คือที่นี่เขารับ)
พอเราได้มหาลัยเสร็จ เราเเยกตัวออกมาอยู่หอ วันนั้นเลยค่ะ ทั้งๆ ที่มหาลัยยังไม่เปิด (เพราะเราไม่อยากอยู่บ้านหลังนั้นอีกเเล้ว) พ่อก็เห็นเเก่ความสบายใจของเราเลยให้เราออกมาอยู่หอ (หอกับบ้านหลังนั้น ห่างกันไม่ถึง 5 กิโลด้วยซ้ำ)
พอเราย้ายออกมาอยู่หอ เรากลับไปบ้านหลังนั้นปีละครั้งค่ะ คือวันปีใหม่ เเรกๆ เราก็คิดเเค่ว่า เขาทำกับเรา เราเเค่เข้าไปหาเขาเป็นมารยาทเท่านั้น เเต่พอเราโตมาอีกหน่อย ... บ้านหลังนั้นเองก็มมีปัญหาหลายอย่างทั้งลูกชาย ลูกสาว ที่เข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังทำตัวเหมือนตอนที่ด่าเราเอาไว้ไม่มีผิด (จนลุงต้องหนีไปบวช) เราจึงรู้สึก เลิกเเล้วต่อกันค่ะ ไม่มีความรู้สึกโกรธหรือเกลียดหลงเหลืออยู่เเล้ว
เราเรียนมหาลัยตอนเเรก เข้าซอฟต์เเวร์ค่ะ ทุกอย่างเกือบจะไปได้ด้วยดี ถ้าไม่มีเเคลคูลัส เรามาตกมาตายตรงตัวเลข ที่พอเเค่เห็นหนังสือถึงกับเอ่ยปากว่าไม่ไหวจริงๆ ก่อน จะย้ายไปอยู่ครุศาสตร์เอกจิตวิทยา ในปีที่ 2
เเน่นอนค่ะ ว่ายังคงติดเกมอยู่ พอเราให้เงินใช้อาทิตย์ละพัน กิน-อยู่-เกม ไม่พอหรอกค่ะ เราอาศัยตอนนั้นว่า เราขายของในเกมส์ออนไลน์ด้วยค่ะ เลยพอมีพออยู่
สมัยนั้นน่ารักค่ะ หุ่นกำลังดี มีคนมาติดพัน ... ออกตัวก่อนเลยนะคะ เราไม่ดื่มเหล้า ไม่ดูดบุหรี่ เหล้ายาปลาปิ้ง นี่ไม่เคยค่ะ ถ้าจะมีคือ ... เรียกว่าดูใจดีกว่า ผู้ชายร้านเกมอ่ะนะคะ มันเห็นเราอยู่ร้านเกมทั้งวัน คงคิดว่าเราเงินเหลือๆ เเต่เเท้จริงเเล้ว ก็มีใช้กินไปวันๆ พวกมันก็จะมาเเบบ ... เติมเงินมือถือให้หน่อย ... เติมเวลาเกมให้หน่อย เเน่นอนค่ะ หลอกรับประทานอย่างนี้ เราก็เลิกหมด ไม่เคยคบใครจริงๆจังๆ พอจะคบก็โดนเเฟนเก่าเขา โทรด่าบ้างอะไรบ้าง
มีรุ่นน้องดีๆ มาติดพันนะคะ ... เเต่สมัยก่อน น่ารักเลือกได้ ก็เมินใส่เขาทั้งนั้น (ปัจจุบัน รุ่นน้องคนนั้นเป็นเพื่อนใน Facebook เรารู้สึกว่าตัวเองโง่มากเลยค่ะ ที่ทำให้เขาหลุดมือไป เขาอาจจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนใครๆ เเต่เราเชื่อว่าใครได้เป็นเเฟนต้องมีความสุขเเน่นอน)
ต่อค.ห.1 นะค
อายุ 26 ปี รู้สึกเหมือนเจอทางเเยกของชีวิตค่ะ เราเพิ่งมารู้ตัวเองตอนนี้ ว่าเราอาจจะมีปมกับเเม่ก็ได้
เราตอนนี้ปัจจุบัน อายุ 26 ปีค่ะ (โสด)
เราขอเกริ่นก่อนว่า ความสัมพันธ์ของเรากับ พ่อเเม่ (รวมถึงเครือญาติ ค่อนข้างจะห่างเหินค่ะ คือไม่เกลียด หรือ โกรธ เเต่จะเรียกว่ายังไงดี ไม่สนืทกันล่ะมั้งคะ?)
เรื่องของเรื่องคือ ...
ตอนเด็กๆ ตั้งเเต่จำความได้จนถึงสมัยประถม เราอยู่อพาทเม้นท์กับเเม่ 2 คนค่ะ (โดยพ่อจะเเวะเวียนมาหาอาทิตย์ล่ะครั้ง)
เเม่เรา ดุค่ะ ตอนนั้นคือดุมากๆ
- ทุกเช้าเเม่ จะบังคับ (ใช้คำว่าบังคับนะคะ) ให้เราดื่มนม ผสมน้ำมะเขือเทศ ทุกวัน เช้า - เย็น ..... ซึ่งรสชาติน้ำมะเขือเทศเปล่าว่าเเย่เเล้ว นี่ผสมกับนมอีก เราไม่เคยมีความสุขในตอนเช้าเลยค่ะ ไม่ดื่มก็ไม่ได้ ดุเราหนักมาก อาจจะเพราะเหตุนี้ ปัจจุบันเราเลยเลิกดื่มนม เเละ เป็นคนที่ไม่ทานมะเขือเทศอีกเลย ไม่ว่าใครจะพูดยังไง
- ทุกเช้า เเม่จะทำผมให้ค่ะ เเต่เเม่มือหนักมาก หนักขนาดว่า บางวันมีน้ำตาซึมบ้าง (ถ้าเเม่เห็นจะโดนดุค่ะ) อุปหรณ์ทำผมหน้าตาเเบบนี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คือเจ็บมากสำหรับเด็กๆตอนนั้น เราเคยเอาไปซ่อนค่ะ (โดยโยนวิ้ข้างโต้ะเครื่องเเป้งที่วางติดกับตู้เสื้อผ้า เเละ จะมีช่องเล็กๆ ที่สามารถพอจะโยนมันเข้าไปได้) เเต่เเม่เรารู้ทันค่ะ วันนั้นเเม่ตี เเละไม่ทำผมให้เรา เเม่ตีนะคะ เเต่ ไม่ให้เราร้องไห้ (เเค่เราสะอื้น เเม่ก็ดุว่าให้เราเงียบ) จนวันนั้นครูที่รถโรงเรียนเป็นคนรวบผมให้เรา
- ตอนเด็กๆ เด็กทุกคนกลัวความผิดค่ะ เลยมีโกหกบ้างเล็กๆ น้อยๆ เเต่มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเราไม่ได้ทำ นาฬิกากำเเพงตอนนั้นไม่มีกระจกครอบด้านหน้าค่ะ เราไม่เเน่ใจว่ามันหลุด หรือ เเม่เค้าเเกะออกเพื่อจะได้ปรับเวลาได้ง่าย
วันนั้นนาฬิกามันเวลามันคลาดเคลื่อน เเม่หาว่าเราเป็นคนปรับ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้ปรับ วันนั้นเราถูกตีหนักมาก เป็นรอยทั่วทั้งตัวไปหมด ตามหน้าเเละตามลำตัว เราจำได้ว่า เราวิ่งหนีออกมาจากห้องได้ เเต่เเม่ก็วิ่งตามเเละลากเราไปตีซ็ำ (ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนครั้งอื่นที่ผ่านๆมา เราร้องไห้ เเต่เเม่ก็ดุให้เงียบ เเค่เสียงสะอื่นหลังร้องไห้ยังโดนดุ) วันนั้นเราก็สะดื้นทั้งวันเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำ เเละ ออกไปเล่นไม่ได้ เพราะตามตัวมีเเตรอยถูกตี (ซึ่งก็คือ ถ้าไปเล่นกับเพื่อนก็คงโดนล้อ)
- เราเคยเก็บดินสอที่โรงเรียนได้ค่ะ (ตอนนั้นมีข้อตกลงประจำห้องกันว่า ถ้าใครเก็บของได้ จะใส่ไว้ที่ลิ้นชักโต้ะครู ถ้าใครของหายไปหาที่นั่นว่ามีของตัวเองหรือเปล่า) เราเห็นว่ามันยังใหม่มาก เลยตะโกนถามเพื่อนในห้องว่ามีใครทำของหายหรือเปล่า (ตั้งใจว่า ถ้าไม่มีเจ้าของ ถึงจะหยอดไว้ที่โต๊ะครู) ปรากฏว่า เพื่อนสนิท มาบอกว่า "ของเราเอง เอาไปเถอะเรามีเยอะ" ตอนนั้นเอาจริงๆ คือ เพื่อนให้ ก็รับไว้ ดีใจอ่ะ เพราะเราไม่เคยมีของใหม่ เพราะเเม่ไม่ซื้อให้ (ของเรา สภาพต้องใช้ไม่ได้เเล้วจริงๆ ถึงจะซื้อให้)
ปรากฏว่า เเม่เรามาเจอเเละดุเราว่าไปเอาของใครมา (กลัวว่าเราจะขโมยมา) เราก็บอกตามตรงว่าเพื่อนให้มา เเม่โทรหาเพื่อนคนนั้นทันที เเต่เพื่อนคนนั้นกลับบอกว่า "ไม่ใช่ของหนู" ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ เรามีรอยไม้เรียว 4-5 รอยไปบอกเพื่อนในวันรุ่งขึ้น (เราเปิดให้เพื่อนดูในห้องน้ำเลยนะคะ เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน) เราบอกกับเพื่อนว่า "เเกมาโกหกเราทำไม" เพื่อนเราตอบกลับมาสั้นๆว่า "คราวหน้าเจอของก็เอาไปใส่ไว้โต๊ะครูสิ" .... ด้วยความที่เป็นเด็กเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
- การสอบสมัยประถม จะมีช้อยส์มากสุด 3 ข้อ ทุกครั้งที่มีเเบบฝึกหัด เเม่จะให้ เราท่องทุกข้อ เเละ เขียนด้วย ถ้าเเม่อ่านคำถาม เราต้องตอบได้เลย (เเบบไม่มีช้อยให้เลือก) ถ้าเราตอบผิดหรือตอบไม่ได้ เราจะโดนตีตามจำนวนข้อ (สมมุติว่าเราตอบไม่ได้ ข้อ 10 เราก็โดนตี 10 ที) ซึ่งเเน่นอว่า เราตอบคำถามไป ร้องไห้ไปทุกครั้ง บางครั้งทนไม่ได้ถึงขั้นกรีดร้องออกมาก็มี (ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าคนในอพาทเม้นท์ เค้าได้ยินกันหรือเปล่า)
ภาษาอังกฤษ คำศัพท์ คัดเเละท่อง เหมือนเดิม ถ้าผิดก็โดนตี (ปัจจุบันเลยทำให้ เราพอรู้ศัพท์ จำได้ เเต่ใช้ไม่เป็น)
- สมัยก่อนจะมีนาฬิกาข้อมือดิจิตอลค่ะ เรายังจำได้อยู่เลย เป็นลายตัวตลกสีเหลือง ที่มีปุ่มกดสามารถกดตั้งเวลาได้เองไม่ต้องหาอะไรจิ้ม (สมัยนั้นใครมีนี่คือ ฮือฮามาก) ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้เราถึงมี เเละ เเม่ย้ำกับเราว่า ห้ามกดตั้งค่านาฬิกาเด็ดขาด ..... เเน่นอนค่ะ เราใส่ไปโรงเรียน พอเพื่อนขอดู เราก็ย้ำกับเพื่อนว่า อย่ากดนะ ดูอย่างเดียว เพื่อนก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พอเปิดฝาเท่านั้นเเหละ มันกดทันที เราก็กลับลูปเดิมๆ โดนเเม่ตี โดนเเม่ดุ
- บังคับเรียน ECC , Smart brain , เรียนขิม ซัมเมอร์ฤดูร้อน หรือเรียนพิเศษตอนเย็นก็ไม่เคยพลาด ซึ่งเราไม่ได้ต้องการ เเต่ถูกบังคับให้เรียน (สมัยเราคือ ยุค 90 นะคะ เทคโนโลยี ยังไม่เข้าถึงขนาดนี้ .... การร้องขอคอมฯ คือการเอามาเล่นเกม ไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับพ่อเเม่ยุคนั้น)
นี่เป็นเพียง 0.01% เท่านั้นที่เราถูกปกครองด้วยความรุนเเรงเเละหวาดกลัว ถ้าดูจากเกรดการเรียน การเปลี่ยนเเปลงครั้งที่ 1 น่าจะราวๆ ป.5 เพราะจากเด็กที่สอบได้ที่ 1-2 มาตลอด (ตอนนั้นวัดกันที่อันดับ ... จริงสิ เราสอบได้ที่ 1 ก็จริง เเต่เราเคยถูกตีเพราะว่า ในสมุดพกเขียนว่า เราขาดความรอบคอบ .... จำได้ว่า ประโยคนี้มีทุกเทอม) พอป.5 อันดับเราตกมาเหลือ ที่ 6 .... พอป.6 ตกมา 10 กว่า
อาจจะเพราะตอนนั้น เเม่เรามีปากเสียงกับพ่อค่ะ ถึงขั้นเเยกกันอยู่ (เเต่พ่อยังมาหาเรานะคะ) จากที่พ่อเคยให้เงินใช้ ตอนนี้คือลดลง เเม่เลยเริ่มออกไปทำงานค่ะ (ขายของตามตลาด) เวลาที่จะใช้กวดขันเราน้อยลง (ตัวเราเองพอไม่มีใครคอยกวด ผลการเรียนก็ตกตาม เเละ ชัดเจนตั้งเเต่สมัยนั้นว่า คณิตเราไปไม่รอดเเน่ๆ)
ม.ต้นค่ะ .... เเม่เราทนรับค่าใช้จ่ายในกทม.ไม่ไหว จึงกลับไปอยู่บ้านเกิดที่ ตจว. เพราะยาย ป้า น้าชาย เเละ ญาติฝั่งเเม่อยู่ที่นั่นทั้งนั้น เเต่ด้วยความที่เรากลัวเเม่ เเละติดพ่อ (พ่อจะเป็นคนเก่งค่ะ เจ้าระเบียบเเต่ใจดี ทุกครั้งที่พ่อมา พ่อจะซื้อการ์ตูนมาให้เราดู คอยซื้อหนังสือให้เราอ่าน ว่าง่ายๆ คือสปอยล์ต่างจากเเม่ เเต่เรื่องเรียนก็เข้มงวดเเต่ไม่ขนาดเเม่ค่ะ ในชีวิตเรา เราจำได้ว่าพ่อตีเราครั้งเดียว ..... ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่ยอมลงไปเล่นกับเพื่อน ให้ตังค์เราไปกินหนมด้วยนะคะ 50 บาทเเน่ะ สมัยนั้นคือ เศรษฐีตัวน้อยเลย เเต่ด้วยความที่พ่อเรานานๆ มาที เราก็อยากอยู่กับพ่อ เเต่พ่อก็อยากให้เราไปเล่านตามประสาเด็ก พอเราไม่ยอมไปตอนนั้นถูกตีเฉย บอกว่าเราเอาไปเเต่ใจ)
เราเลยอ้างกับเเม่ว่า เราไม่อยากไปกับเเม่ เพราะเราอยากเรียนที่นี่ (กทม.) ..... พ่อเลยให้เราไปอยู่บ้านญาติฝ่ายพ่อค่ะ
ประกอบด้วย อาม่า อาสาว(น้องพ่อ) ลุง เเละ ลูกพี่ลูกน้อง (อายุน้อยกว่าเรา) 2 คน (ชาย 1 หญิง 1)เป็นครอบครัวคนจีนค่ะ
- อาม่า จะค่อนข้างติดพนัน ไม่เชิงติดคือ เรียกว่าเหมือนไปสังสรรค์ (พ่อเราให้เงินใช้ทุกเดือน) กับเพื่อนฝูงมากกว่า เเต่เคยได้ข่าวว่าเป็นหนี้เหมือนกัน
- อาสาว เป็นน้องของพ่อค่ะ (เเต่งงานกับลุง) ครอบครัวคนจีนจะปากจัดค่ะ คือกับเเม่เราเหมือนดุ ตวาด ตะคอก เเต่ของน้านี่คือ ด่าอ่ะ อี... ไอ้... ประมาณนี้ เเละ ทั้ง 2 คน จะตามใจลูกชายมาก เเละ ลูกชายเค้า อายุน่าจะน้อยกว่าเรา ประมาน7-8 ปี พูดคำหยาบก็ไม่ตักเตือน เอาเเต่ใจ ไม่รู้จักเด็ก จักผู้ใหญ่ ใครพูดเถียงคำไม่ตกฟาก ขี้ขโมย (ไม่ได้ขโมยร้ายเเรงนะคะ เหมือนเเคะกระทุกตัวเองบ้าง พี่ตัวเองบ้าง เอาเงินไปใช้)
เราไม่มีความสุขเลยค่ะ ตลอด ม.1 - ม.6
- เรากลับเย็นก็บ่น โทรฟ้องพ่อก็มี (ตอนมัธยมเราอยู่วงดนตรีสากลค่ะ เข้าตามเพื่อนไม่ได้ชอบหรอก ก็มีกลับถึงบ้าน6 โมง ทุ่มนึง รวมรถติด)
- เราคุยโทรศัพท์ (ตอนนัน้มีมือถือเป็นของตัวเองค่ะ คือพ่อให้ไว้เพื่อไว้โทรถามสารทุกข์สุขดิบ) ยอมรับว่า ก็มีบ้างที่เเบบคุยเพื่อนผู้ชายไรงี้ ก็มีมาเเอบฟัง เอาไปเล่าให้พ่อเราฟัง ใส่สีตีไข่ เพิ่ม อะไรจริง อะไรไม่จริง ซึ่งพ่อเราก็เตือนค่ะ (พ่อจะต่างกับเเม่ เเม่จะตวาด ตะคอก เเต่ พ่อจะเตือน คือโทนเสียงจะต่างกัน)
- ฤดูหนาวมีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคะ เเต่ไม่ให้เราใช้ เราจำได้เลยว่า เราจะตื่นเช้าค่ะ ตี 5 ทุกวัน เพื่อไปโรงเรียนไม่ให้เจอกับรถติด พอเราเดินลงบันไดมาปุ๊ป ปิดประตูห้องน้ำเปิดน้ำอุ่นอาบ ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ น้าเดินตามลงมา สับสวิตน้ำอุ่นหน้าห้องน้ำค่ะ ทำให้เครื่องใช้งานไม่ได้ ให้เหตุผลว่าเปลืองไฟ เเต่ลูกๆเขาใช้ได้ปกติค่ะ
- สารพัดเลยค่ะ ตอนนั้นเราเก็บตัวมาก คือเราไม่ยอมลงมาจากห้องเลย ถ้าไม่ใช่เวลา กินข้าวไปโรงเรียน ฤดูร้อน ไม่มีเเอร์ ห้องนี่เป็นเตาอบเลยค่ะ เราเคยอยู่ในห้องร้อนจนหมดเเรงก็มี เพราะเราไม่อยากลงมาเจอใครค่ะ
เเละสิ่งที่เราจำมาถึงวันนี้คือ ด่าเราใจเเตกบ้าง บ้าผู้ชายบ้าง เป็นเเค่คนมาอาศัยบ้าง ถามว่าโกรธมั้ย โกรธค่ะ ... เเต่ก็ถูก เรามาอาศัย เเต่เพราะพ่อเค้ามีอีกครอบครัวนึง เราเองก็ไม่อยากไปรบกวน (คือตอนนั้นก็โตพอจะเเยกเเยะได้เเล้ว) เเละบ้านพ่อก็ไกลจากโรงเรียนมาก
เราเป้นเเบบนี้จนกระทั่ง ม.4 เริ่มติดเกม ... พอเราให้อาทิตย์ละ 700 เราใช้ไม่พอหรอกค่ะ ติดค่าเกมเยอะเเยะไปหมด เหมือนกับว่า ถ้าวันนี้ไม่มีเงิน เขาก็จะให้เล่นไปก่อนจ่ายทีหลังอะไรเเบบนี้ มันก้ไม่จบไม่สิ้นสักที
เราติ่นมา อาบน้ำเเปรงฟัน เข้าร้านเกม ออกจากร้าน 2-3 ทุ่มประจำค่ะ ชั่วโมงละ 15 บาท 700บาทเอาไม่อยู่ค่ะ
ติดหนักมาก ถ้าพ่อมาหาก็เเอ้บเนียนทำเป็นอยู่บ้าน ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมที่บ้านเขาไม่ฟ้องพ่อเรา หรืออาจจะเพราะ เขาไม่สนใจเราเลยก็ได้ จะอยู่หรือจะไป หรือคิดว่า ต่อให้พ่อพูด ก็คงห้ามเราวัยนั้นไม่ได้
พอจบม.6 เข้ามหาลัย เราไม่เคยสนใจมหาลัยระดับเเนวหน้าเลยค่ะ เพราะ ... เราไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่นเลย ถ้าเป็นกราฟก็ระนาบเดียวเลยค่ะ เเล้วมาลงเหวเรื่องตัวเลข เราสมัครไปหลายที่ ที่ไหนรับเราไปที่นั่น ส่วนพ่อถาม เราบอกเเค่ว่า เราชอบที่นี่ (เอาจริงๆ คือที่นี่เขารับ)
พอเราได้มหาลัยเสร็จ เราเเยกตัวออกมาอยู่หอ วันนั้นเลยค่ะ ทั้งๆ ที่มหาลัยยังไม่เปิด (เพราะเราไม่อยากอยู่บ้านหลังนั้นอีกเเล้ว) พ่อก็เห็นเเก่ความสบายใจของเราเลยให้เราออกมาอยู่หอ (หอกับบ้านหลังนั้น ห่างกันไม่ถึง 5 กิโลด้วยซ้ำ)
พอเราย้ายออกมาอยู่หอ เรากลับไปบ้านหลังนั้นปีละครั้งค่ะ คือวันปีใหม่ เเรกๆ เราก็คิดเเค่ว่า เขาทำกับเรา เราเเค่เข้าไปหาเขาเป็นมารยาทเท่านั้น เเต่พอเราโตมาอีกหน่อย ... บ้านหลังนั้นเองก็มมีปัญหาหลายอย่างทั้งลูกชาย ลูกสาว ที่เข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังทำตัวเหมือนตอนที่ด่าเราเอาไว้ไม่มีผิด (จนลุงต้องหนีไปบวช) เราจึงรู้สึก เลิกเเล้วต่อกันค่ะ ไม่มีความรู้สึกโกรธหรือเกลียดหลงเหลืออยู่เเล้ว
เราเรียนมหาลัยตอนเเรก เข้าซอฟต์เเวร์ค่ะ ทุกอย่างเกือบจะไปได้ด้วยดี ถ้าไม่มีเเคลคูลัส เรามาตกมาตายตรงตัวเลข ที่พอเเค่เห็นหนังสือถึงกับเอ่ยปากว่าไม่ไหวจริงๆ ก่อน จะย้ายไปอยู่ครุศาสตร์เอกจิตวิทยา ในปีที่ 2
เเน่นอนค่ะ ว่ายังคงติดเกมอยู่ พอเราให้เงินใช้อาทิตย์ละพัน กิน-อยู่-เกม ไม่พอหรอกค่ะ เราอาศัยตอนนั้นว่า เราขายของในเกมส์ออนไลน์ด้วยค่ะ เลยพอมีพออยู่
สมัยนั้นน่ารักค่ะ หุ่นกำลังดี มีคนมาติดพัน ... ออกตัวก่อนเลยนะคะ เราไม่ดื่มเหล้า ไม่ดูดบุหรี่ เหล้ายาปลาปิ้ง นี่ไม่เคยค่ะ ถ้าจะมีคือ ... เรียกว่าดูใจดีกว่า ผู้ชายร้านเกมอ่ะนะคะ มันเห็นเราอยู่ร้านเกมทั้งวัน คงคิดว่าเราเงินเหลือๆ เเต่เเท้จริงเเล้ว ก็มีใช้กินไปวันๆ พวกมันก็จะมาเเบบ ... เติมเงินมือถือให้หน่อย ... เติมเวลาเกมให้หน่อย เเน่นอนค่ะ หลอกรับประทานอย่างนี้ เราก็เลิกหมด ไม่เคยคบใครจริงๆจังๆ พอจะคบก็โดนเเฟนเก่าเขา โทรด่าบ้างอะไรบ้าง
มีรุ่นน้องดีๆ มาติดพันนะคะ ... เเต่สมัยก่อน น่ารักเลือกได้ ก็เมินใส่เขาทั้งนั้น (ปัจจุบัน รุ่นน้องคนนั้นเป็นเพื่อนใน Facebook เรารู้สึกว่าตัวเองโง่มากเลยค่ะ ที่ทำให้เขาหลุดมือไป เขาอาจจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนใครๆ เเต่เราเชื่อว่าใครได้เป็นเเฟนต้องมีความสุขเเน่นอน)
ต่อค.ห.1 นะค