เป็นรีวิวกระทู้แรกที่จะขอแชร์ประสบการณ์ในการทำเลสิคแบบPRK จ้า...
ตอนนี้ทำมาได้ 4 เดือนแล้ว จะมาขอแชร์ตั้งแต่การตัดสินใจทำ ไปจนถึงสภาพหลังทำ ณ ปัจจุบัน ยาวๆไปนะคะ...
การตัดสินใจทำไมต้องเลือกทำเลสิค?
ก่อนอื่น ต้องเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนที่สายตาสั้นมาตั้งแต่ประมาณ ม.ปลาย พอตอนอายุ ช่วง29-30 ปี ซ้าย 2.25 ส่วนขวา 2.75 ค่ะ เราเลยเปลี่ยนเลนส์แว่น แต่ช่วงนั้นก็ศึกษาและสนใจการทำเลสิกไปด้วย เพราะมาเจอปัญหาการใส่แว่นที่ประสบคือ เดี๋ยวหลุดจมูก เดี๋ยวต้องเอาขึ้นจมูกตลอด เดี๋ยวกรอบหนักบ้าง เดี๋ยวใส่นานๆเจ็บหูบ้าง การตื่นมาใส่คอนแทคเลนส์ หมั่นล้าง หมั่นถู เป็นต้น รู้สึกไม่ชอบวิถีการดำเนินชีวิตที่ต้องพึ่งแว่น หรือคอนแทคเลนส์ตลอด ...
ในวันที่เข้าตรวจตาก่อนตัดสินใจทำเลสิค
จนทำให้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2560 ตัดสินใจไปตรวจสายตาเพื่อประกอบการตัดสินใจการทำเลสิคค่ะ ต้องบอกก่อนนะคะว่าเราศึกษาข้อมูล อ่านตามกระทู้ หรือไปดูรายละเอียดมาบ้างแล้วเป็นเวลา 3 ปีที่ศึกษาการทำเลสิค คุณหมอ และโรงพยาบาลหลายๆที่ แต่ไม่สะดวกสถานที่ที่เพื่อนๆ หรือในกระทู้แนะนำมา เพราะราคาแพงเอย ไกลจากที่พักเอย หรือต้องต่อคิวยาวเอย ไม่ไหวค่ะ เราจึงไปศึกษา รพ.ไทยนครินทร์ ซึ่งมีคุณหมอขนิษฐาทำเลสิคและประจำอยู่ที่นั่นค่ะ เลยเข้าไปศึกษาอ่านประวัติของคุณหมอ และก็พบว่าสะดวกกับเรามากๆ มีโปรผ่อนนาน 0% นาน 6 เดือน (โปรร่วมกับบัตรเครดิตหลากหลายธนาคารเลยค่ะ) บวกกับอยากทำแบบ PRK มากกว่าเพราะความเสี่ยงน้อย แต่การพักฟื้นตาใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าวิธีอื่นๆค่ะ เลยตัดสินใจไปตรวจตาในวันนั้น ก่อนอื่นก็กรอกเอกสารประวัติ วัดความดันก่อน เมื่อเสร็จทาง จนท. จะมีการหยอดยาชาทั้งหมด 3 เซ็ตด้วยกันเพื่อเตรียมตัวเข้าตรวจวัดสายตา และอื่นๆค่ะ ขั้นแรกก็วัดค่าสายตาด้วยเครื่องวัดก่อน จากนั้นก็เลื่อนไปที่เครื่องวัดความดันลูกตา (จะมีลมออกมานิดๆตอนที่ตรวจตาข้างนั้นเสร็จค่ะ มาทีไรสะดุ้งตกใจทุกครั้ง ไม่เคยชินสักที 5555) จากนั้นก็เข้าไปอีกในห้องอีกห้องหนึ่งเพื่อทำการวัดกระจกตา รูม่านตาและความไวต่อแสงค่ะ โอ๊ย แอร์ก็เย็น เพ่งจนตาแห้ง น้ำตาก็เอ่อ เพราะเจอแสงสีแดงจากเครื่องวาบเข้าตางี้ สรุปออกมาตาเบลอไปสักพัก ทางผู้ช่วย ฯบอกว่าประมาณสัก 3-4 ชั่วโมง เดี๋ยวตาก็กลับมาเป็นปกติค่ะ จากนั้นเข้าพบคุณหมอ คุณหมอ ทสงคุณหมอจะใช้เครื่องตรวจวัดเพื่อส่องดูจอประสาทตา ดูองค์ประกอบโดยรวมของตาเรา ผลออกมาก็คือ....
***กระจกตาบาง รูม่านตาโต ค่าสายตา2.75 (ขวา) และ2.25 (ซ้าย) หมอจึงบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ PRK ซึ่งจะเหมาะกับเรามากกว่า (ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของเราค่ะ) เนื่องจากก่อนหน้านี้อ่านตามกระทู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำเลสิคแบบ PRK หรือเลสิคแบบอื่นๆ บางคนก็จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับค่าสายตา และปัจจัยอื่นๆ แต่เท่าที่ดูมาส่วนมากจะอ่านเจอว่าหลังทำ บางคนมีการกระจายแสงฟุ้งค่อยข้างเยอะ บางคนตาแห้ง เป็นต้น ซึ่งเราได้สอบถามและปรึกษากับทางคุณหมอ คุณหมอจึงบอกว่าเนื่องจากเรามีค่าสายตาที่ไม่ได้เยอะมาก แต่รูม่านตาโต การรับแสงจึงเยอะกว่าคนปกติ แต่ว่าหากทำมาแล้วอาจจะมีการกระจายของแสงแค่นิดๆหน่อยๆ หรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ 1-3 เดือน หลังจากนั้นตาจะค่อยๆดีขึ้น และไม่มีเลย (ซึ่งคุณหมอได้ดูผลการคำนวณแต่ละอย่าง พบว่าหลังจากที่ทำค่าต่างๆที่ตาหลังจากที่ทำจะดีขึ้นเรื่อยๆ) จากนั้นคุณหมอก็แนะนำก่อนการทำเลสิคว่าให้ทานวิตามินซี 1000 มก. ทุกวัน ก่อนทำเลสิคประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ เมื่อคุยกับคุณหมอเสร็จ ทางเราก็มานั่งขบคิดประมาณ 2 อาทิตย์ได้ค่ะ เพราะตามี 1 คู่ที่เราใช้มองมาตลอด 31 ปี หากทำไปแล้วเกิดผลตามมาล่ะ? จะทำไง ช่วงนั้นปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆหลายๆคนที่มีทำทั้งเลสิค หรือ PRK ก็ได้ความมั่นใจกลับมา เอ้า!! ทำก็ทำ จากนั้นเลยตัดสินใจทำค่ะ ช่วงนั้นก็กินวิตามินซี 1000 มก. (เช้า+เย็น) ไปด้วย ดักไว้ทำไม่ทำก็ทานไว้เลย (พร้อมมากชีวิต 555) เราเลือกแบล็คมอร์สูตร 500 มก. นะคะ แต่ทานเช้าและเย็นค่ะ (แนะนำสำหรับผู้ที่จะทำเลสิคว่าควรทาน เพราะจะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อในตาให้สมานเร็วไปในตัวค่ะ)
PRK คืออะไร
“PRK คือ การแก้ไขสายตาด้วยการขูดผิวกระจกตา แล้วจึงเลเซอร์แก้ไขสายตา ต่างจากเลสิคตรงที่ไม่มีการแยกชั้นกระจกตา เหมาะกับผู้ป่วยที่กระจกตาหนาไม่พอที่จะทำเลสิค และสายตาผิดปกติไม่มาก หรือตาเล็ก (สาวตาหมวย) ไม่สามารถลืมตากว้างๆได้ และค่าสายตาไม่ควรเกิน 3.00-4.00 คือค่าที่ทำออกมาได้ผลดีที่สุด การทำ PRK ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อยากจะแนะนำ”
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ)
[CR] แชร์ประสบการณ์การโลกสดใสทำเลสิกแบบ PRK ค่ะ
ตอนนี้ทำมาได้ 4 เดือนแล้ว จะมาขอแชร์ตั้งแต่การตัดสินใจทำ ไปจนถึงสภาพหลังทำ ณ ปัจจุบัน ยาวๆไปนะคะ...
การตัดสินใจทำไมต้องเลือกทำเลสิค?
ก่อนอื่น ต้องเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนที่สายตาสั้นมาตั้งแต่ประมาณ ม.ปลาย พอตอนอายุ ช่วง29-30 ปี ซ้าย 2.25 ส่วนขวา 2.75 ค่ะ เราเลยเปลี่ยนเลนส์แว่น แต่ช่วงนั้นก็ศึกษาและสนใจการทำเลสิกไปด้วย เพราะมาเจอปัญหาการใส่แว่นที่ประสบคือ เดี๋ยวหลุดจมูก เดี๋ยวต้องเอาขึ้นจมูกตลอด เดี๋ยวกรอบหนักบ้าง เดี๋ยวใส่นานๆเจ็บหูบ้าง การตื่นมาใส่คอนแทคเลนส์ หมั่นล้าง หมั่นถู เป็นต้น รู้สึกไม่ชอบวิถีการดำเนินชีวิตที่ต้องพึ่งแว่น หรือคอนแทคเลนส์ตลอด ...
ในวันที่เข้าตรวจตาก่อนตัดสินใจทำเลสิค
จนทำให้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2560 ตัดสินใจไปตรวจสายตาเพื่อประกอบการตัดสินใจการทำเลสิคค่ะ ต้องบอกก่อนนะคะว่าเราศึกษาข้อมูล อ่านตามกระทู้ หรือไปดูรายละเอียดมาบ้างแล้วเป็นเวลา 3 ปีที่ศึกษาการทำเลสิค คุณหมอ และโรงพยาบาลหลายๆที่ แต่ไม่สะดวกสถานที่ที่เพื่อนๆ หรือในกระทู้แนะนำมา เพราะราคาแพงเอย ไกลจากที่พักเอย หรือต้องต่อคิวยาวเอย ไม่ไหวค่ะ เราจึงไปศึกษา รพ.ไทยนครินทร์ ซึ่งมีคุณหมอขนิษฐาทำเลสิคและประจำอยู่ที่นั่นค่ะ เลยเข้าไปศึกษาอ่านประวัติของคุณหมอ และก็พบว่าสะดวกกับเรามากๆ มีโปรผ่อนนาน 0% นาน 6 เดือน (โปรร่วมกับบัตรเครดิตหลากหลายธนาคารเลยค่ะ) บวกกับอยากทำแบบ PRK มากกว่าเพราะความเสี่ยงน้อย แต่การพักฟื้นตาใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าวิธีอื่นๆค่ะ เลยตัดสินใจไปตรวจตาในวันนั้น ก่อนอื่นก็กรอกเอกสารประวัติ วัดความดันก่อน เมื่อเสร็จทาง จนท. จะมีการหยอดยาชาทั้งหมด 3 เซ็ตด้วยกันเพื่อเตรียมตัวเข้าตรวจวัดสายตา และอื่นๆค่ะ ขั้นแรกก็วัดค่าสายตาด้วยเครื่องวัดก่อน จากนั้นก็เลื่อนไปที่เครื่องวัดความดันลูกตา (จะมีลมออกมานิดๆตอนที่ตรวจตาข้างนั้นเสร็จค่ะ มาทีไรสะดุ้งตกใจทุกครั้ง ไม่เคยชินสักที 5555) จากนั้นก็เข้าไปอีกในห้องอีกห้องหนึ่งเพื่อทำการวัดกระจกตา รูม่านตาและความไวต่อแสงค่ะ โอ๊ย แอร์ก็เย็น เพ่งจนตาแห้ง น้ำตาก็เอ่อ เพราะเจอแสงสีแดงจากเครื่องวาบเข้าตางี้ สรุปออกมาตาเบลอไปสักพัก ทางผู้ช่วย ฯบอกว่าประมาณสัก 3-4 ชั่วโมง เดี๋ยวตาก็กลับมาเป็นปกติค่ะ จากนั้นเข้าพบคุณหมอ คุณหมอ ทสงคุณหมอจะใช้เครื่องตรวจวัดเพื่อส่องดูจอประสาทตา ดูองค์ประกอบโดยรวมของตาเรา ผลออกมาก็คือ....
***กระจกตาบาง รูม่านตาโต ค่าสายตา2.75 (ขวา) และ2.25 (ซ้าย) หมอจึงบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ PRK ซึ่งจะเหมาะกับเรามากกว่า (ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของเราค่ะ) เนื่องจากก่อนหน้านี้อ่านตามกระทู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำเลสิคแบบ PRK หรือเลสิคแบบอื่นๆ บางคนก็จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับค่าสายตา และปัจจัยอื่นๆ แต่เท่าที่ดูมาส่วนมากจะอ่านเจอว่าหลังทำ บางคนมีการกระจายแสงฟุ้งค่อยข้างเยอะ บางคนตาแห้ง เป็นต้น ซึ่งเราได้สอบถามและปรึกษากับทางคุณหมอ คุณหมอจึงบอกว่าเนื่องจากเรามีค่าสายตาที่ไม่ได้เยอะมาก แต่รูม่านตาโต การรับแสงจึงเยอะกว่าคนปกติ แต่ว่าหากทำมาแล้วอาจจะมีการกระจายของแสงแค่นิดๆหน่อยๆ หรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ 1-3 เดือน หลังจากนั้นตาจะค่อยๆดีขึ้น และไม่มีเลย (ซึ่งคุณหมอได้ดูผลการคำนวณแต่ละอย่าง พบว่าหลังจากที่ทำค่าต่างๆที่ตาหลังจากที่ทำจะดีขึ้นเรื่อยๆ) จากนั้นคุณหมอก็แนะนำก่อนการทำเลสิคว่าให้ทานวิตามินซี 1000 มก. ทุกวัน ก่อนทำเลสิคประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ เมื่อคุยกับคุณหมอเสร็จ ทางเราก็มานั่งขบคิดประมาณ 2 อาทิตย์ได้ค่ะ เพราะตามี 1 คู่ที่เราใช้มองมาตลอด 31 ปี หากทำไปแล้วเกิดผลตามมาล่ะ? จะทำไง ช่วงนั้นปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆหลายๆคนที่มีทำทั้งเลสิค หรือ PRK ก็ได้ความมั่นใจกลับมา เอ้า!! ทำก็ทำ จากนั้นเลยตัดสินใจทำค่ะ ช่วงนั้นก็กินวิตามินซี 1000 มก. (เช้า+เย็น) ไปด้วย ดักไว้ทำไม่ทำก็ทานไว้เลย (พร้อมมากชีวิต 555) เราเลือกแบล็คมอร์สูตร 500 มก. นะคะ แต่ทานเช้าและเย็นค่ะ (แนะนำสำหรับผู้ที่จะทำเลสิคว่าควรทาน เพราะจะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อในตาให้สมานเร็วไปในตัวค่ะ)
PRK คืออะไร
“PRK คือ การแก้ไขสายตาด้วยการขูดผิวกระจกตา แล้วจึงเลเซอร์แก้ไขสายตา ต่างจากเลสิคตรงที่ไม่มีการแยกชั้นกระจกตา เหมาะกับผู้ป่วยที่กระจกตาหนาไม่พอที่จะทำเลสิค และสายตาผิดปกติไม่มาก หรือตาเล็ก (สาวตาหมวย) ไม่สามารถลืมตากว้างๆได้ และค่าสายตาไม่ควรเกิน 3.00-4.00 คือค่าที่ทำออกมาได้ผลดีที่สุด การทำ PRK ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อยากจะแนะนำ”
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ)