เรื่องการตายหมู่นี้ท่านเล่าไว้เหมือนกัน ในคัมภีร์พระธรรมบท คือเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ
เรื่องมีว่า พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งเมืองสาวัตถี
ประสูติแต่พระนางวาสภขัตติยา ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าศากยะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ หากจะ
นับตามลำดับญาติกันแล้วพระเจ้าวิฑูฑภะก็คือพระญาติของพระพุทธเจ้านั่นเอง สมัยที่ยัง
ทรงเป็นเจ้าชายอยู่ ทรงมีความเคียดแค้นพระประยูรญาติฝ่ายพระมารดา โดยถูกดพระญาติ
เมืองกบิลบพัสดุ์ดูหมั่นเหยียดหยามว่าตนมีพระมารดาที่มีศักดิ์แค่เพียงลูกพระสนม เมื่อได้
ครอบครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาแล้ว พระเจ้าวิฑูฑภะจึงเสด็จกรีธาทัพไปประชิด
เมืองกบิลพัสดุ์ทันที ทรงรับสั่งให้ฆ่าเจ้าศากยะทุกพระองค์ เว้นพระเจ้ามหานามะผู้เป็น
พระเจ้าปู่พระองค์เดียวเท่านั้น แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปทรงแสดงพระอาการห้ามถึงสอง
ครั้งก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ ทหารพระเจ้าวิฑูฑภะผู้บ้าคลั่ง จึงตะลุยฆ่าพวกเจ้าศากยะ
อย่างบ้าเลือด เมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีทหารเพียงหยิบมือเดียว ซ้ำยังเป็นผู้มี
คุณธรรมตั้งอยู่ในธรรมอีก ก็ถึงกาลอวสานย่อยยับลงไปด้วยประการฉะนี้
พระประยูรญาติของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าของเราก็เลยขาดสูญมาตั้งแต่บัดนั้น
และถัดมาอีกปีหรือสองปี พระพุทธองค์ก็เสด็จปรินิพพาน
เขียนมาถึงตรงนี้ก็อยากจะวิจารณ์เหตุการณ์พุทธประวัติตรงนี้สักเล็กน้อย เป็นการแก้
ข้อกล่าวหาและข้อข้องใจของบางคนที่ว่าพระพุทธเจ้าออกบวชคนเดียวไม่พอ ยังพรากลูก
พรากพ่อ พรากหลาน ชักชวนประยูรญาติหนุ่มๆออกบวชด้วย คือพระนันทะ(พระอนุชา)
พระนางรูปนันทา (พระภคินี) พระนางพิมพา พระอนุรุทธะ พระกิมพิละ พระภคุ เป็นต้นทำให้
กบิลพัสดุ์หมดวงศ์หมดผู้สืบสกุลไปมาก พออ่านเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะนี่แล้วยังคิดว่าดีแล้วหนอ
ดีแท้หนอ ที่พระประยูรญาติวัยเยาว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ออกบวชกันเสียก่อน หากไม่บวช
ยังสืบลูกสืบหลานกันอยู่ไซร้ คงไม่แคล้วเป็นเหยื่อคมดาบของพระเจ้าวิฑูฑภะ และเหล่า
ทหารเหมือนเจ้าศากยะองค์อื่นๆ ที่ไม่บวชเป็นแน่ แล้วจะได้ประโยชน์อันใดเล่า หาก
สิ้นชีพด้วยคมหอกคมดาบเช่นนั้น แต่ทุกท่านที่ออกบวชต่างได้บรรลุนิพพานกันหมด
มีนิพพานเป็นทางไปทุกองค์ เว้นแต่พระเทวทัต ผู้ถูกลาภสักการะครอบงำเพียงผู้เดียว
เท่านั้นที่บวชแล้วยังต้องไปสู่อเวจีมหานรก แล้วอย่างนี้ยังจะว่าพระพุทธเจ้าผิดอีกหรือ
เมื่อเจ้าวิฑูฑภะผู้มีความแค้นเป็นอารมณ์ได้ปฏิบัติการจองเวรอันโหดเหี้ยมต่อเจ้า
ศากยะเรียบร้อยสมประสงค์แล้ว ก็กรีธาทัพกลับสาวัตถีมหานคร ทหารต่างฮึกเหิมไชโย
โห่ร้องกันมาตลอดทาง รอนแรมมาจนค่ำจึงหยุดพักที่ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทหารต่างก็แยก
กันไปพัก พวกหนึ่งนอนบนบกริมฝั่ง พวกหนึ่งนอนบนชายหาด พอหัวถึงพื้นต่างก็
หลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย
ไม่นานพวกมดเจ้ากรรมไม่รู้มาจากไหน พากันขึ้นมากัดทหารเหล่านั้นพัลวัน พวกที่นอน
บนบกริมฝั่งก็ส่งเสียงเอะอะว่ามดตรงนี้ชุมจริง ไอ้มด
ที่อื่นมีเยอะแยะไม่ขึ้นมาขึ้นตรงนี้
ที่เรานอนได้ ว่าแล้วก็ย้ายที่ลงไปนอนที่หาดทราย พวกที่นอนอยู่บนหาดทรายก็เกิด
ความรำคาญว่ามดพวกนี้ไหงมาอยู่ชายหาดได้ ว่าแล้วก็ขึ้นไปนอนบนบก เรียกว่าสลับที่กันนอน
ตกดึกมาลมพัดเย็นสบายจึงหลับต่อแทบสลบไสลกันไป ค่อนแจ้งแม่น้ำก็ค่อยๆ เอ่อล้นขึ้น
เพราะทางต้นน้ำฝนตกหนัก แล้วไหลบ่าลงมาใต้อย่างรวดเร็ว พัดพาเอาทหารที่นอนบน
หาดทรายไปด้วย ทหารเหล่านั้นสุดจะช่วยตัวเองทันกลิ้งไปกับสายน้ำอันบ้าคลั่ง กระทบ
โขดหินตายบ้าง จมน้ำตายบ้าง ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
ในจำนวนนั้น ท่านว่ามีพระเจ้าวิฑูฑภะด้วย
ส่วนทหารที่นอนบนบกริมฝั่งเลยรอดตัวไปทั้งหมด
สรุปแล้วทหารพวกนี้รอดตัวเพราะมดแท้ๆ และพวกที่ตายก็ตายเพราะมด
อย่างที่ตัวสบถออกมาอีกเหมือนกัน
ตอบมาเสียยืดยาวแบบปากกาพาไปในเรื่องบ้าง นอกเรื่องบ้าง ก็เพื่อชี้ให้เห็นเป็นว่า
การตายหมู่นั้นเคยมีมาแล้วในอดีต และเป็นอดีตอันน่าสยดสยองถึงกับมีจารึกไว้เป็นหลักฐาน
คล้ายกับจะสอนคนรุ่นหลังว่าให้จำเหตุการณ์นี้ไว้เป็นเครื่องสอนในกันเถิด
จุดของเรื่องก็อยู่ที่ว่า ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า
ต่างโจษขานกันว่าการตายหมู่ของคนพวกนั้นน่าสยดสยองใจจริงๆ แม้ภิกษุพุทธบุตรทั้งหลาย
ก็อดเสียใจมิได้ แม้จะทราบว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ก็ตามเถอะ ก็ยังไม่แจ้งชัดว่าเพราะกรรมอันใดเล่าจึงเป็นเช่นนี้ จึงเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ทูลถามเพื่อให้หายข้องใจ พระพุทธองค์จึงมีพระบัณฑูรตรัสว่า พวกเจ้าศากยะเหล่านี้
ทำกรรมหนักไว้ คือได้เคยสมคบร่วมคิดกันโปรยยาพิษลงในแม่น้ำ ทำให้คนตายสัตว์ตาย
เสียมากต่อมาก ผลกรรมก็เลยตามสนอง ทำให้จมน้ำตายหมู่อย่างที่เห็น
ส่วนพวกทหารนั้นเล่า พวกรอดตายแสดงว่ายังไม่ถึงที่ คือมิได้ทำกรรมหนักไว้ในอดีต
จึงมีเหตุให้ลุกจากหาดไปนอนบนบกเสีย ส่วนพวกที่ตายเขาเรียกว่าถึงที่แล้ว ทั้งที่น่าจะพ้น
ไม่น่าตายเพราะนอนบนบกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องลงไปนอนรอความตายบนชายหาด แสดงว่า
พวกนี้เคยทำกรรมหนัก คือฆ่าหมู่เขามาหยกๆ ก็เลยมาตายหมู่ทำนอง “ดาบนั้นคือสนอง” นั่นแหละ
หากจะถามว่า ทหารที่นอนบนบกก็ฆ่ามาเหมือนกัน แต่ทำไมไม่ตายเล่า
ข้อนี้ท่านเล่าเฉลยไว้ว่า ทหารพวกรอดตายมิได้ทำกรรมหนัก เพียงแต่ฆ่าตามรับสั่ง คือฆ่า
เฉพาะพวกที่พูดว่าเป็นเจ้าศากยะเท่านั้น นอกนั้นไม่ฆ่า เรียกว่าเป็นทหารอยู่ในสัจจะ
และมีคุณธรรม รักษาวินัยดี ส่วนพวกที่ตายเป็นพวกที่เมามัน ทำเกินรับสั่ง ฆ่าหมด ไม่ว่า
เจ้าศากยะหรือชาวเมืองลูกเด็กเล็กแดง พอเจอเป็นฟันดะเหมือนช้างตกมัน
กรรมก็เลยตามสนองเอากังกล่าว
จากเหตุการณ์ในอดีตตรงนี้ เราอาจนำมาเปรียบเทียบได้ว่า พวกที่ตายหมู่เพราะเครื่องบินตกก็ดี
รถชนกันก็ดี เรือล่มก็ดี ถูกระเบิดตายก็ดี แสดงว่าเขาเหล่านั้นเคยทำกรรมร่วมกันไว้ในอดีตชาติ
อาจจะเคยร่วมกันเป็นทีมโกงบ้านโกงเมือง เช่นอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่า คอรัปชั่นเป็นทีม
อาจจะเคยสมคบร่วมคิดกัน ใช้ให้เขาไปทำลายชาติอื่นเมืองอื่นหรืออาจจะเคยร่วมกันล้อมบ้าน
ล้อมเมืองให้เขาอยากตายไปอย่างเช่นในการทำสงครามแบบเก่าๆ การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็น
การทำกรรมหมู่ทั้งนั้น เมื่อตายจากชาตินั้นไปแล้ว กรรมนั้นก็ติดตามไปเรื่อยๆ พอทันเข้า
ก็อาจยังไม่ให้ผลทันทีต้องรอจังหวะให้มาพร้อมกันก่อน คือให้คนทำกรรมร่วมกันมาพร้อมหน้า
พร้อมตากันก่อน พอมาพร้อมแล้วกรรมก็เริ่มสำแดงผล
โครมเดียวตายเกลี้ยง
ส่วนผู้ไม่เคยมีส่วนร่วมไปทำกรรมกับเขาไว้ แต่เผอิญไปอยู่ในหมู่นั้นด้วย
ก็มักจะรอดตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
เรื่องกรรมแสดงผลนี้เราอาจจะหาเหตุผลง่ายๆ ก็ได้ว่า คนที่ตายนั้นมิใช่ไม่เคยเดินทาง
โดยทางเรือ ทางรถ หรือทางเครื่องบิน เคยไปมาแล้วอย่างโชกโชน แต่รอดตัวมาได้เพราะ
สมาชิกคือผู้ร่วมทำกรรมยังมาไม่พร้อม กรรมก็ยังไม่สำแดงผล บางคนเพิ่งนั่งเครื่องบินครั้งแรก
พอขึ้นฟ้าก็เจอดีเลยเพราะบังเอิญสมาชิกมาครบองค์ไม่ขาดพอดี และก็น่าแปลกเหมือนกัน
สมาชิกที่ทำกรรมชั่วมาด้วยกัน มิใช่อยู่ใกล้กันเลย คนละบ้าน คนละจังหวัด บางทีคนละ
ประเทศเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องให้มาประจวบตายร่วมกันได้ มันเป็นเพราะอะไร "ถ้ามิใช่กรรม"
เที่ยวบินอื่นทำไมไม่ไป รถคันอื่น เรือลำอื่นทำไมไม่ไป ทำไมต้องให้ไปเที่ยวบินนี้
เรือลำนี้ หรือรถคันนี้ด้วย ก็น่าคิดอาจแย้งว่ามันบังเอิญกระมัง
ทำไมจึงบังเอิญเอาตอนนี้ เที่ยวอื่นทำไมจึงไม่บังเอิญ คนอื่นทำไมจึงไม่บังเอิญ
อาจมีผู้แย้งต่ออีกว่า เพราะความประมาทของเจ้าหน้าที่หรือคนขับก็ได้ ก็ต้องย้อนถามว่า
ทำไมจึงประมาท ถามแย้งและย้อนตอบต่อไปเรื่อยๆ ก็จะสรุปตรงจุดสุดท้ายว่า
"มันเป็นเพราะกรรม"
ยังไม่เคยมีใครให้เหตุผลที่ดีไปกว่านี้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเชื่อพระพุทธพจน์ที่วา
“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” กันไว้ก่อน
และจากเรื่องนี้ทำให้เราได้ข้อคิดว่า คนเรานั้นเมื่อกรรมยังตามไม่ทันก็อย่าเพิ่งคิดประมาท
ว่าเราไม่มีกรรม คนที่เขาไม่มีกรรมต้องให้ตายหมู่ก็จะบังเอิญให้ไม่ไปเที่ยวบินนั้น บังเอิญ
ให้ไปรถคันอื่น ไปเรือลำอื่น หรือไปวันอื่น คือให้พลาดไปเสีย แต่ผู้มีกรรมและถึงคราวกรรม
ให้ผลมันก็ให้ “บังเอิญ” อีกแหละ จะต้องไปวันนั้นให้ได้ ต้องไปรถคันนั้น ไปเรือลำนั้น
หรือไปเที่ยวบินนั้นให้ได้ สุดท้ายก็ไปตายอย่างว่า
พระท่านว่า “อันคนเรานั้นหากทำกรรมชั่วไว้ แม้จะเหาะขึ้นไปบนฟ้า หนีไปอยู่ในถ้ำ
ในเขา ขุดหลุมหลบลงไปในดิน ลงเรือหนีไปในท้องทะเล หรือดำน้ำหนีลงไปใต้มหาสมุทร
ที่จะพ้นความชั่วที่ตนเคยทำไว้เป็นอันไม่มี กรรมที่ทำไว้เป็นประดุจสุนัขไล่เนื้อวิ่งตาม
เนื้อสมันไป หากทันเนื้อสมันเมื่อไรเป็นต้องกัดทันที”
หากจะเปรียบอย่างสมัยใหม่ก็ว่า เหมือนสุนัขตำรวจไล่กวดผู้ร้าย ทันกันเมื่อไรก็ขย้ำกันเมื่อนั้นนั่นแล
ขอบคุณข้อมูลเนื้อหาและภาพ
- หนังสือไขข้อข้องใจ ๒,จากวารสารมงคลสาร: ตุลาคม,๒๕๑๙).พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช),๒๕๕๒.หน้า ๑๐๓-๑๐๘
-
https://goo.gl/qo4fFx ,
https://goo.gl/eUGbVx ,
https://goo.gl/ANh6Aq
การตายหมู่เครื่องบินตก หรือรถชน เป็นร้อยศพนั้น ทำกรรมอะไรไว้ ในพระพุทธศาสนาบอกไว้หรือไม่?
เรื่องมีว่า พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งเมืองสาวัตถี
ประสูติแต่พระนางวาสภขัตติยา ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าศากยะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ หากจะ
นับตามลำดับญาติกันแล้วพระเจ้าวิฑูฑภะก็คือพระญาติของพระพุทธเจ้านั่นเอง สมัยที่ยัง
ทรงเป็นเจ้าชายอยู่ ทรงมีความเคียดแค้นพระประยูรญาติฝ่ายพระมารดา โดยถูกดพระญาติ
เมืองกบิลบพัสดุ์ดูหมั่นเหยียดหยามว่าตนมีพระมารดาที่มีศักดิ์แค่เพียงลูกพระสนม เมื่อได้
ครอบครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาแล้ว พระเจ้าวิฑูฑภะจึงเสด็จกรีธาทัพไปประชิด
เมืองกบิลพัสดุ์ทันที ทรงรับสั่งให้ฆ่าเจ้าศากยะทุกพระองค์ เว้นพระเจ้ามหานามะผู้เป็น
พระเจ้าปู่พระองค์เดียวเท่านั้น แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปทรงแสดงพระอาการห้ามถึงสอง
ครั้งก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ ทหารพระเจ้าวิฑูฑภะผู้บ้าคลั่ง จึงตะลุยฆ่าพวกเจ้าศากยะ
อย่างบ้าเลือด เมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีทหารเพียงหยิบมือเดียว ซ้ำยังเป็นผู้มี
คุณธรรมตั้งอยู่ในธรรมอีก ก็ถึงกาลอวสานย่อยยับลงไปด้วยประการฉะนี้
พระประยูรญาติของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าของเราก็เลยขาดสูญมาตั้งแต่บัดนั้น
และถัดมาอีกปีหรือสองปี พระพุทธองค์ก็เสด็จปรินิพพาน
เขียนมาถึงตรงนี้ก็อยากจะวิจารณ์เหตุการณ์พุทธประวัติตรงนี้สักเล็กน้อย เป็นการแก้
ข้อกล่าวหาและข้อข้องใจของบางคนที่ว่าพระพุทธเจ้าออกบวชคนเดียวไม่พอ ยังพรากลูก
พรากพ่อ พรากหลาน ชักชวนประยูรญาติหนุ่มๆออกบวชด้วย คือพระนันทะ(พระอนุชา)
พระนางรูปนันทา (พระภคินี) พระนางพิมพา พระอนุรุทธะ พระกิมพิละ พระภคุ เป็นต้นทำให้
กบิลพัสดุ์หมดวงศ์หมดผู้สืบสกุลไปมาก พออ่านเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะนี่แล้วยังคิดว่าดีแล้วหนอ
ดีแท้หนอ ที่พระประยูรญาติวัยเยาว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ออกบวชกันเสียก่อน หากไม่บวช
ยังสืบลูกสืบหลานกันอยู่ไซร้ คงไม่แคล้วเป็นเหยื่อคมดาบของพระเจ้าวิฑูฑภะ และเหล่า
ทหารเหมือนเจ้าศากยะองค์อื่นๆ ที่ไม่บวชเป็นแน่ แล้วจะได้ประโยชน์อันใดเล่า หาก
สิ้นชีพด้วยคมหอกคมดาบเช่นนั้น แต่ทุกท่านที่ออกบวชต่างได้บรรลุนิพพานกันหมด
มีนิพพานเป็นทางไปทุกองค์ เว้นแต่พระเทวทัต ผู้ถูกลาภสักการะครอบงำเพียงผู้เดียว
เท่านั้นที่บวชแล้วยังต้องไปสู่อเวจีมหานรก แล้วอย่างนี้ยังจะว่าพระพุทธเจ้าผิดอีกหรือ
เมื่อเจ้าวิฑูฑภะผู้มีความแค้นเป็นอารมณ์ได้ปฏิบัติการจองเวรอันโหดเหี้ยมต่อเจ้า
ศากยะเรียบร้อยสมประสงค์แล้ว ก็กรีธาทัพกลับสาวัตถีมหานคร ทหารต่างฮึกเหิมไชโย
โห่ร้องกันมาตลอดทาง รอนแรมมาจนค่ำจึงหยุดพักที่ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทหารต่างก็แยก
กันไปพัก พวกหนึ่งนอนบนบกริมฝั่ง พวกหนึ่งนอนบนชายหาด พอหัวถึงพื้นต่างก็
หลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย
ไม่นานพวกมดเจ้ากรรมไม่รู้มาจากไหน พากันขึ้นมากัดทหารเหล่านั้นพัลวัน พวกที่นอน
บนบกริมฝั่งก็ส่งเสียงเอะอะว่ามดตรงนี้ชุมจริง ไอ้มด ที่อื่นมีเยอะแยะไม่ขึ้นมาขึ้นตรงนี้
ที่เรานอนได้ ว่าแล้วก็ย้ายที่ลงไปนอนที่หาดทราย พวกที่นอนอยู่บนหาดทรายก็เกิด
ความรำคาญว่ามดพวกนี้ไหงมาอยู่ชายหาดได้ ว่าแล้วก็ขึ้นไปนอนบนบก เรียกว่าสลับที่กันนอน
ตกดึกมาลมพัดเย็นสบายจึงหลับต่อแทบสลบไสลกันไป ค่อนแจ้งแม่น้ำก็ค่อยๆ เอ่อล้นขึ้น
เพราะทางต้นน้ำฝนตกหนัก แล้วไหลบ่าลงมาใต้อย่างรวดเร็ว พัดพาเอาทหารที่นอนบน
หาดทรายไปด้วย ทหารเหล่านั้นสุดจะช่วยตัวเองทันกลิ้งไปกับสายน้ำอันบ้าคลั่ง กระทบ
โขดหินตายบ้าง จมน้ำตายบ้าง ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
ในจำนวนนั้น ท่านว่ามีพระเจ้าวิฑูฑภะด้วย
ส่วนทหารที่นอนบนบกริมฝั่งเลยรอดตัวไปทั้งหมด
สรุปแล้วทหารพวกนี้รอดตัวเพราะมดแท้ๆ และพวกที่ตายก็ตายเพราะมดอย่างที่ตัวสบถออกมาอีกเหมือนกัน
ตอบมาเสียยืดยาวแบบปากกาพาไปในเรื่องบ้าง นอกเรื่องบ้าง ก็เพื่อชี้ให้เห็นเป็นว่า
การตายหมู่นั้นเคยมีมาแล้วในอดีต และเป็นอดีตอันน่าสยดสยองถึงกับมีจารึกไว้เป็นหลักฐาน
คล้ายกับจะสอนคนรุ่นหลังว่าให้จำเหตุการณ์นี้ไว้เป็นเครื่องสอนในกันเถิด
จุดของเรื่องก็อยู่ที่ว่า ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า
ต่างโจษขานกันว่าการตายหมู่ของคนพวกนั้นน่าสยดสยองใจจริงๆ แม้ภิกษุพุทธบุตรทั้งหลาย
ก็อดเสียใจมิได้ แม้จะทราบว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ก็ตามเถอะ ก็ยังไม่แจ้งชัดว่าเพราะกรรมอันใดเล่าจึงเป็นเช่นนี้ จึงเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ทูลถามเพื่อให้หายข้องใจ พระพุทธองค์จึงมีพระบัณฑูรตรัสว่า พวกเจ้าศากยะเหล่านี้
ทำกรรมหนักไว้ คือได้เคยสมคบร่วมคิดกันโปรยยาพิษลงในแม่น้ำ ทำให้คนตายสัตว์ตาย
เสียมากต่อมาก ผลกรรมก็เลยตามสนอง ทำให้จมน้ำตายหมู่อย่างที่เห็น
ส่วนพวกทหารนั้นเล่า พวกรอดตายแสดงว่ายังไม่ถึงที่ คือมิได้ทำกรรมหนักไว้ในอดีต
จึงมีเหตุให้ลุกจากหาดไปนอนบนบกเสีย ส่วนพวกที่ตายเขาเรียกว่าถึงที่แล้ว ทั้งที่น่าจะพ้น
ไม่น่าตายเพราะนอนบนบกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องลงไปนอนรอความตายบนชายหาด แสดงว่า
พวกนี้เคยทำกรรมหนัก คือฆ่าหมู่เขามาหยกๆ ก็เลยมาตายหมู่ทำนอง “ดาบนั้นคือสนอง” นั่นแหละ
หากจะถามว่า ทหารที่นอนบนบกก็ฆ่ามาเหมือนกัน แต่ทำไมไม่ตายเล่า
ข้อนี้ท่านเล่าเฉลยไว้ว่า ทหารพวกรอดตายมิได้ทำกรรมหนัก เพียงแต่ฆ่าตามรับสั่ง คือฆ่า
เฉพาะพวกที่พูดว่าเป็นเจ้าศากยะเท่านั้น นอกนั้นไม่ฆ่า เรียกว่าเป็นทหารอยู่ในสัจจะ
และมีคุณธรรม รักษาวินัยดี ส่วนพวกที่ตายเป็นพวกที่เมามัน ทำเกินรับสั่ง ฆ่าหมด ไม่ว่า
เจ้าศากยะหรือชาวเมืองลูกเด็กเล็กแดง พอเจอเป็นฟันดะเหมือนช้างตกมัน
กรรมก็เลยตามสนองเอากังกล่าว
จากเหตุการณ์ในอดีตตรงนี้ เราอาจนำมาเปรียบเทียบได้ว่า พวกที่ตายหมู่เพราะเครื่องบินตกก็ดี
รถชนกันก็ดี เรือล่มก็ดี ถูกระเบิดตายก็ดี แสดงว่าเขาเหล่านั้นเคยทำกรรมร่วมกันไว้ในอดีตชาติ
อาจจะเคยร่วมกันเป็นทีมโกงบ้านโกงเมือง เช่นอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่า คอรัปชั่นเป็นทีม
อาจจะเคยสมคบร่วมคิดกัน ใช้ให้เขาไปทำลายชาติอื่นเมืองอื่นหรืออาจจะเคยร่วมกันล้อมบ้าน
ล้อมเมืองให้เขาอยากตายไปอย่างเช่นในการทำสงครามแบบเก่าๆ การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็น
การทำกรรมหมู่ทั้งนั้น เมื่อตายจากชาตินั้นไปแล้ว กรรมนั้นก็ติดตามไปเรื่อยๆ พอทันเข้า
ก็อาจยังไม่ให้ผลทันทีต้องรอจังหวะให้มาพร้อมกันก่อน คือให้คนทำกรรมร่วมกันมาพร้อมหน้า
พร้อมตากันก่อน พอมาพร้อมแล้วกรรมก็เริ่มสำแดงผล
โครมเดียวตายเกลี้ยง
ส่วนผู้ไม่เคยมีส่วนร่วมไปทำกรรมกับเขาไว้ แต่เผอิญไปอยู่ในหมู่นั้นด้วย
ก็มักจะรอดตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
เรื่องกรรมแสดงผลนี้เราอาจจะหาเหตุผลง่ายๆ ก็ได้ว่า คนที่ตายนั้นมิใช่ไม่เคยเดินทาง
โดยทางเรือ ทางรถ หรือทางเครื่องบิน เคยไปมาแล้วอย่างโชกโชน แต่รอดตัวมาได้เพราะ
สมาชิกคือผู้ร่วมทำกรรมยังมาไม่พร้อม กรรมก็ยังไม่สำแดงผล บางคนเพิ่งนั่งเครื่องบินครั้งแรก
พอขึ้นฟ้าก็เจอดีเลยเพราะบังเอิญสมาชิกมาครบองค์ไม่ขาดพอดี และก็น่าแปลกเหมือนกัน
สมาชิกที่ทำกรรมชั่วมาด้วยกัน มิใช่อยู่ใกล้กันเลย คนละบ้าน คนละจังหวัด บางทีคนละ
ประเทศเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องให้มาประจวบตายร่วมกันได้ มันเป็นเพราะอะไร "ถ้ามิใช่กรรม"
เที่ยวบินอื่นทำไมไม่ไป รถคันอื่น เรือลำอื่นทำไมไม่ไป ทำไมต้องให้ไปเที่ยวบินนี้
เรือลำนี้ หรือรถคันนี้ด้วย ก็น่าคิดอาจแย้งว่ามันบังเอิญกระมัง
ทำไมจึงบังเอิญเอาตอนนี้ เที่ยวอื่นทำไมจึงไม่บังเอิญ คนอื่นทำไมจึงไม่บังเอิญ
อาจมีผู้แย้งต่ออีกว่า เพราะความประมาทของเจ้าหน้าที่หรือคนขับก็ได้ ก็ต้องย้อนถามว่า
ทำไมจึงประมาท ถามแย้งและย้อนตอบต่อไปเรื่อยๆ ก็จะสรุปตรงจุดสุดท้ายว่า
"มันเป็นเพราะกรรม"
ยังไม่เคยมีใครให้เหตุผลที่ดีไปกว่านี้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเชื่อพระพุทธพจน์ที่วา
“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” กันไว้ก่อน
และจากเรื่องนี้ทำให้เราได้ข้อคิดว่า คนเรานั้นเมื่อกรรมยังตามไม่ทันก็อย่าเพิ่งคิดประมาท
ว่าเราไม่มีกรรม คนที่เขาไม่มีกรรมต้องให้ตายหมู่ก็จะบังเอิญให้ไม่ไปเที่ยวบินนั้น บังเอิญ
ให้ไปรถคันอื่น ไปเรือลำอื่น หรือไปวันอื่น คือให้พลาดไปเสีย แต่ผู้มีกรรมและถึงคราวกรรม
ให้ผลมันก็ให้ “บังเอิญ” อีกแหละ จะต้องไปวันนั้นให้ได้ ต้องไปรถคันนั้น ไปเรือลำนั้น
หรือไปเที่ยวบินนั้นให้ได้ สุดท้ายก็ไปตายอย่างว่า
พระท่านว่า “อันคนเรานั้นหากทำกรรมชั่วไว้ แม้จะเหาะขึ้นไปบนฟ้า หนีไปอยู่ในถ้ำ
ในเขา ขุดหลุมหลบลงไปในดิน ลงเรือหนีไปในท้องทะเล หรือดำน้ำหนีลงไปใต้มหาสมุทร
ที่จะพ้นความชั่วที่ตนเคยทำไว้เป็นอันไม่มี กรรมที่ทำไว้เป็นประดุจสุนัขไล่เนื้อวิ่งตาม
เนื้อสมันไป หากทันเนื้อสมันเมื่อไรเป็นต้องกัดทันที”
หากจะเปรียบอย่างสมัยใหม่ก็ว่า เหมือนสุนัขตำรวจไล่กวดผู้ร้าย ทันกันเมื่อไรก็ขย้ำกันเมื่อนั้นนั่นแล
ขอบคุณข้อมูลเนื้อหาและภาพ
- หนังสือไขข้อข้องใจ ๒,จากวารสารมงคลสาร: ตุลาคม,๒๕๑๙).พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช),๒๕๕๒.หน้า ๑๐๓-๑๐๘
- https://goo.gl/qo4fFx , https://goo.gl/eUGbVx , https://goo.gl/ANh6Aq