สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
จขกท.น่าสงสารง่ะ -*-
ตอนผมจบทำงานใหม่ๆซิงๆ แม่ยังให้ค่าขนมอยู่เลย สัปดาห์ละพันสองพัน บอกว่าช่วงแรกผมได้เงินเดือนน้อย กลัวผมจะตั้งตัวไม่ได้ -*- (ผมก็เอานะ 555+)
ว่าแต่เล่าแบบนี้ จะน้อยใจแม่ไปกันใหญ่ไหมเนี่ย -*-
ถ้าให้แนะนำ แนะนำ 2 ด้านครับ
1. ด้านทริก: หากเงินเดือนขึ้น งานดีขึ้น อย่าไปบอกแกครับ ท่องไว้ว่าเงินเดือนของคุณคือ 16,000 บาทตลอดชีพ แล้วก็ให้เท่าเดิมไปตลอดนี่ล่ะครับ อย่าไปเผลอขึ้นเงินเชียว ... อย่าคิดว่าเป็นบาป หรือไม่กตัญญูนะครับ แม่นั้นสำคัญใหญ่หลวง แต่ยังมีคนอื่นอีกที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ตัวคุณเอง ลูกคุณในอนาคต(ซึ่งมีกี่คนก็ไม่รู้) สามีคุณ ต่อให้คุณเป็นโสดขึ้นคานตลอดชีพ คุณก็ต้องมีเงินให้ตัวเองใช้ยามแก่เหมือนกันอ่ะ
... สำหรับแม่คุณ ให้เดือนละ 8,000 บาทนี่ดำรงชีพแบบไม่อดอยากได้สบายๆแล้วครับ ถ้ามากกว่านั้นแม่คงเอาไปฟุ่มเฟือยแล้วล่ะ ไม่ต้องคิดมากครับ (คุณเองใช้น้อยกว่า 8,000 ยังอยู่ได้เลย)
2. ด้านใจ: ไม่ต้องคิดจะให้แม่กลายเป็นคนดี เข้าใจลูก เห็นความดีของลูกสักวันหนึ่ง อะไรแบบนั้นนะครับ ... แม่แก่แล้ว ดัดไม่ได้แล้วครับ
ดังนั้นคุณต้องปรับที่ใจของตัวคุณเอง ว่าอ้อ แม่ชั้นเป็นคนแบบนี้นะ ปล่อยแม่บ่นแม่ว่าไป คุณได้ให้แม่คุณตาม "สมควร" แล้ว ใจคุณก็ควรจะเป็นสุขได้ ว่าได้ทำตามหน้าที่ของลูกดีแล้ว (คำว่า ตามสมควร ผมว่าคุณพิจารณาได้นะ ว่าสมควรหรือยัง 8,000 นี่ผมว่าเยอะแล้ว ไม่งั้นชีวิตด้านอื่นคุณจะแย่) ... ถ้าแม่เห็นว่าน้อยไป นั่นคือใจของแม่ไม่รู้จักพอเอง ไม่ใช่ว่าคุณไม่ได้ทำหน้าที่
ตอนผมจบทำงานใหม่ๆซิงๆ แม่ยังให้ค่าขนมอยู่เลย สัปดาห์ละพันสองพัน บอกว่าช่วงแรกผมได้เงินเดือนน้อย กลัวผมจะตั้งตัวไม่ได้ -*- (ผมก็เอานะ 555+)
ว่าแต่เล่าแบบนี้ จะน้อยใจแม่ไปกันใหญ่ไหมเนี่ย -*-
ถ้าให้แนะนำ แนะนำ 2 ด้านครับ
1. ด้านทริก: หากเงินเดือนขึ้น งานดีขึ้น อย่าไปบอกแกครับ ท่องไว้ว่าเงินเดือนของคุณคือ 16,000 บาทตลอดชีพ แล้วก็ให้เท่าเดิมไปตลอดนี่ล่ะครับ อย่าไปเผลอขึ้นเงินเชียว ... อย่าคิดว่าเป็นบาป หรือไม่กตัญญูนะครับ แม่นั้นสำคัญใหญ่หลวง แต่ยังมีคนอื่นอีกที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ตัวคุณเอง ลูกคุณในอนาคต(ซึ่งมีกี่คนก็ไม่รู้) สามีคุณ ต่อให้คุณเป็นโสดขึ้นคานตลอดชีพ คุณก็ต้องมีเงินให้ตัวเองใช้ยามแก่เหมือนกันอ่ะ
... สำหรับแม่คุณ ให้เดือนละ 8,000 บาทนี่ดำรงชีพแบบไม่อดอยากได้สบายๆแล้วครับ ถ้ามากกว่านั้นแม่คงเอาไปฟุ่มเฟือยแล้วล่ะ ไม่ต้องคิดมากครับ (คุณเองใช้น้อยกว่า 8,000 ยังอยู่ได้เลย)
2. ด้านใจ: ไม่ต้องคิดจะให้แม่กลายเป็นคนดี เข้าใจลูก เห็นความดีของลูกสักวันหนึ่ง อะไรแบบนั้นนะครับ ... แม่แก่แล้ว ดัดไม่ได้แล้วครับ
ดังนั้นคุณต้องปรับที่ใจของตัวคุณเอง ว่าอ้อ แม่ชั้นเป็นคนแบบนี้นะ ปล่อยแม่บ่นแม่ว่าไป คุณได้ให้แม่คุณตาม "สมควร" แล้ว ใจคุณก็ควรจะเป็นสุขได้ ว่าได้ทำตามหน้าที่ของลูกดีแล้ว (คำว่า ตามสมควร ผมว่าคุณพิจารณาได้นะ ว่าสมควรหรือยัง 8,000 นี่ผมว่าเยอะแล้ว ไม่งั้นชีวิตด้านอื่นคุณจะแย่) ... ถ้าแม่เห็นว่าน้อยไป นั่นคือใจของแม่ไม่รู้จักพอเอง ไม่ใช่ว่าคุณไม่ได้ทำหน้าที่
ความคิดเห็นที่ 19
ค่อยๆอ่านนะคะ อาจจะยาวนิดนึง
ส่วนตัวน้องอายุ 22 ทำงานให้เงินที่บ้านครึ่งนึง
และมีเงินเก็บขอชมว่าเก่งและรู้จักใช้เงิน ออมเงิน
แต่จากที่เล่ามาคิดว่าเรื่องราวน่าจะมีมากกว่านี้
ซึ่งอาจเป็นอีกมุมคิดนึงที่แม่เจออยู่แต่เราไม่เห็น
《ลูก》
1. ใช้เงินส่วนตัว 3000 น่าจะเป็นค่ารถ+อาหารกลางวัน
2. มื้ออื่นๆกินที่บ้าน ขนมและของใช้อื่น ใช้ที่แม่ซื้อ
3. ค่าบ้าน (เช่า/ผ่อน) ค่าน้ำค่าไฟค่าเนท แม่จ่าย
4. ไม่มีหนี้สินส่วนตัว เช่น กยศ. คาดว่าที่บ้านส่งเรียน
《แม่》
1. แม่ยังทำงาน มีรายได้หรือเปล่า
2. ภาระที่แม่ต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง
เช่น ยังมีลูกคนอื่นที่ต้องส่งเรียน
ค่ารักษาพยาบาล (ตัวเอง +ลูก/บุพการี)
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้าน
หนี้สินกลางของที่บ้านในชื่อแม่ (ผ่อนบ้าน, ผ่อนรถ,
ผ่อนชำระเงินกู้ที่เอามาใช้ดูแลครอบครัว/ส่งเรียน)
หากมีหนี้สินกลางของบ้านที่แม่ยังต้องแบกภาระอยู่
และเงินที่ต้องจ่ายหนี้ต่อเดือนมากกว่า 8,000 บาท
ในมุมมองของแม่ก็ยังต้องหาเงินใช้หนี้เองบางส่วน
และยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายลูก (ที่มีเงินเดือนแล้ว)
ซึ่งก็ไม่ผิดที่แม่คิดอย่างนั้น เพราะเขาแบกไว้มาก
พอลูกจบคิดว่าจะสบายขึ้น ซึ่งก็ถือว่าดีขึ้นแต่ยังไม่พอ
*เดาว่า*แม่เขาอาจคิดว่าที่ผ่านมาทำเงินได้เท่าไหร่
ก็เป็นของครอบครัวทั้งหมด เอามาใช้ในบ้านส่งลูกๆ
แม่อาจไม่มีเงินเก็บเลย เพราะต้องใช้จ่ายหมดไป
แม่อาจคิดว่ารายได้น้องควรเป็นรายได้ครอบครัว
ที่น่าจะมาช่วยกันรีบปลดหนี้กลางให้หมดไปก่อน
ที่กล่าวมานี่คือเดานะคะ ว่าแม่อาจจะมองแบบนี้ไหม
กลับมาที่น้องตัวคนเดียว หากต้องรับภาระเองทุกเดือน
ค่าประกัน ค่าเช่าหอ อาหารสามมื้อ ขนม น้ำดื่ม
ค่าน้ำค่าไฟค่าเนทค่าโทรศัพท์ ทุกอย่างต้องซื้อเอง
สบู่แชมพูครีมนวดโลชั่นผ้าอนามัย จานชามช้อนส้อม
น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้าปรับผ้านุ่ม ค่าหยอดตู้ซักผ้า
ทุกอย่างรอบตัวที่มีใช้ตอนนี้แม้กระทั่งถุงพลาสติก
หรือหนังยาง ยังต้องจ่ายเอง หนูไม่มีเงินเก็บแน่ค่ะ
ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด แต่สถานการณ์ครอบครัว
ของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน น้องลองนั่งคุยกับแม่สิคะ
สถานการณ์จริงแม่แบกภาระในบ้านเดือนละเท่าไหร่
แม่คาดหวังจากหนูยังไง ค่อยหาจุดลงตัวกันให้ได้
เช่น 2ปีแรกเก็บเงินน้อยลง เอาไปช่วยแม่รีบโปะหนี้
หรือช่วยจ่ายหนี้แปดพันเท่าเดิม แต่อาสารับผิดชอบ
ค่าใช้จ่ายอื่นบ้าง ค่าน้ำไฟค่าเนท ค่ากับข้าว2พัน/เดือน
ขอให้หาทางออกเจอเร็วไว เลิกน้อยใจแม่เถอะค่ะ
น้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุยกับแม่แบบผู้ใหญ่
แบ่งเบาภาระจากแม่ทั้งทางจิตใจ และค่าใช้จ่าย
ทั้งสองคนโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีกันแม่ลูกนะคะ
ส่วนตัวน้องอายุ 22 ทำงานให้เงินที่บ้านครึ่งนึง
และมีเงินเก็บขอชมว่าเก่งและรู้จักใช้เงิน ออมเงิน
แต่จากที่เล่ามาคิดว่าเรื่องราวน่าจะมีมากกว่านี้
ซึ่งอาจเป็นอีกมุมคิดนึงที่แม่เจออยู่แต่เราไม่เห็น
《ลูก》
1. ใช้เงินส่วนตัว 3000 น่าจะเป็นค่ารถ+อาหารกลางวัน
2. มื้ออื่นๆกินที่บ้าน ขนมและของใช้อื่น ใช้ที่แม่ซื้อ
3. ค่าบ้าน (เช่า/ผ่อน) ค่าน้ำค่าไฟค่าเนท แม่จ่าย
4. ไม่มีหนี้สินส่วนตัว เช่น กยศ. คาดว่าที่บ้านส่งเรียน
《แม่》
1. แม่ยังทำงาน มีรายได้หรือเปล่า
2. ภาระที่แม่ต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง
เช่น ยังมีลูกคนอื่นที่ต้องส่งเรียน
ค่ารักษาพยาบาล (ตัวเอง +ลูก/บุพการี)
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้าน
หนี้สินกลางของที่บ้านในชื่อแม่ (ผ่อนบ้าน, ผ่อนรถ,
ผ่อนชำระเงินกู้ที่เอามาใช้ดูแลครอบครัว/ส่งเรียน)
หากมีหนี้สินกลางของบ้านที่แม่ยังต้องแบกภาระอยู่
และเงินที่ต้องจ่ายหนี้ต่อเดือนมากกว่า 8,000 บาท
ในมุมมองของแม่ก็ยังต้องหาเงินใช้หนี้เองบางส่วน
และยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายลูก (ที่มีเงินเดือนแล้ว)
ซึ่งก็ไม่ผิดที่แม่คิดอย่างนั้น เพราะเขาแบกไว้มาก
พอลูกจบคิดว่าจะสบายขึ้น ซึ่งก็ถือว่าดีขึ้นแต่ยังไม่พอ
*เดาว่า*แม่เขาอาจคิดว่าที่ผ่านมาทำเงินได้เท่าไหร่
ก็เป็นของครอบครัวทั้งหมด เอามาใช้ในบ้านส่งลูกๆ
แม่อาจไม่มีเงินเก็บเลย เพราะต้องใช้จ่ายหมดไป
แม่อาจคิดว่ารายได้น้องควรเป็นรายได้ครอบครัว
ที่น่าจะมาช่วยกันรีบปลดหนี้กลางให้หมดไปก่อน
ที่กล่าวมานี่คือเดานะคะ ว่าแม่อาจจะมองแบบนี้ไหม
กลับมาที่น้องตัวคนเดียว หากต้องรับภาระเองทุกเดือน
ค่าประกัน ค่าเช่าหอ อาหารสามมื้อ ขนม น้ำดื่ม
ค่าน้ำค่าไฟค่าเนทค่าโทรศัพท์ ทุกอย่างต้องซื้อเอง
สบู่แชมพูครีมนวดโลชั่นผ้าอนามัย จานชามช้อนส้อม
น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้าปรับผ้านุ่ม ค่าหยอดตู้ซักผ้า
ทุกอย่างรอบตัวที่มีใช้ตอนนี้แม้กระทั่งถุงพลาสติก
หรือหนังยาง ยังต้องจ่ายเอง หนูไม่มีเงินเก็บแน่ค่ะ
ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด แต่สถานการณ์ครอบครัว
ของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน น้องลองนั่งคุยกับแม่สิคะ
สถานการณ์จริงแม่แบกภาระในบ้านเดือนละเท่าไหร่
แม่คาดหวังจากหนูยังไง ค่อยหาจุดลงตัวกันให้ได้
เช่น 2ปีแรกเก็บเงินน้อยลง เอาไปช่วยแม่รีบโปะหนี้
หรือช่วยจ่ายหนี้แปดพันเท่าเดิม แต่อาสารับผิดชอบ
ค่าใช้จ่ายอื่นบ้าง ค่าน้ำไฟค่าเนท ค่ากับข้าว2พัน/เดือน
ขอให้หาทางออกเจอเร็วไว เลิกน้อยใจแม่เถอะค่ะ
น้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุยกับแม่แบบผู้ใหญ่
แบ่งเบาภาระจากแม่ทั้งทางจิตใจ และค่าใช้จ่าย
ทั้งสองคนโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีกันแม่ลูกนะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
นี่ก็ให้ที่บ้านเยอะแล้วนะคะ เงินเดือนก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เผื่ออนาคตบ้าง จขกท.ลองถามแม่เรื่องเงินเก็บซิคะ ชีวิตนี้จะไม่ให้มีกันเลยเหรอ
ถ้าที่บ้านยากจนข้นแค้น ไม่มีกิน ติดหนี้ติดสิน ก็พอมองออกว่าแม่อาจจะอยากได้เงินจนลืมคิดถึงลูกสาว แต่บ้านจขกท.คงไม่ใช่แบบนั้น ถ้าจขกท.เซ็งมากๆ ลองออกมาอยู่หอ เผื่อแม่จะบ่นน้อยลง
แม่ใคร ใครก็รัก เราจะไม่ว่าแม่จขกท.นะคะ แต่จขกท.มาถูกทางแล้วค่ะ รู้จักจัดสรรเงิน อนาคตไม่มีวันอดตายค่ะ
ถ้าที่บ้านยากจนข้นแค้น ไม่มีกิน ติดหนี้ติดสิน ก็พอมองออกว่าแม่อาจจะอยากได้เงินจนลืมคิดถึงลูกสาว แต่บ้านจขกท.คงไม่ใช่แบบนั้น ถ้าจขกท.เซ็งมากๆ ลองออกมาอยู่หอ เผื่อแม่จะบ่นน้อยลง
แม่ใคร ใครก็รัก เราจะไม่ว่าแม่จขกท.นะคะ แต่จขกท.มาถูกทางแล้วค่ะ รู้จักจัดสรรเงิน อนาคตไม่มีวันอดตายค่ะ
แสดงความคิดเห็น
แม่ไม่พอใจที่เราไม่ได้ให้เงินเดือนแม่ทั้งหมด
คืองี้ค่ะ เราอายุ 22 เริ่มทำงานได้ประมาณ 8 เดือนแล้ว เราได้เงินเดือน 16,000 กว่าๆค่ะ(หักประกันสังคมแล้ว) ซึ่งเราก็วางแผนว่าค่าใช้จ่ายของเราจะแบ่งเป็นอย่างงี้ ให้ที่บ้าน 8000 บาท แต่บางเดือนที่วันหยุดเยอะๆ และคิดว่าตัวเองไม่ได้ใช้อะไรมาก ก็จะให้ 9000 บาท เก็บเข้าบัญชีตัวเอง 5000 บาท และส่วนที่เหลือคือเงินใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ พวกค่ารถอะไรอย่างงี้ สำหรับเรา เราว่าเราให้ที่บ้านเยอะพอสมควรนะคะ แต่แม่ชอบว่า บอกไม่ยอมเอาเงินมาช่วยใช้หนี้ที่บ้าน และก็ชอบพูดเปรียบเทียบว่าสมัยที่แม่ทำงาน แม่มีเงินเดือนเท่าไรก็ให้ยายหมด ไม่มาเก็บแบบนี้หรอก ซึ่งเราก็คิดว่า เราผิดมากขนาดนั้นเลยหรอ ที่มีเงินเดือนแล้วไม่ให้ที่บ้านหมด แต่คือเราก็คิดว่า เราก็อยากมีเงินเก็บซื้อของที่เราอยากได้บ้าง เพราะเราตั้งใจว่า ถ้าเริ่มทำงานเราจะไม่ขอเงินที่บ้านอีก ซึ่งเราก็พยายามอธิบายเหตุผลนี้ให้แม่ฟัง แต่เขาก็เหมือนจะไม่เข้าใจ และก็พูดว่า "ถ้าไม่อยากขอเงินที่บ้าน ทำไมไม่ซื้อสบู่ ยาสระผม อะไรมาใช้เองล่ะ" "กับข้าวก็หาซื้อเองสิทีหลัง เพราะนี่มันเงินฉัน" ทุกครั้งที่เราได้ยินคำพูดแบบนี้ ยอมรับค่ะว่าน้อยใจ แต่ก็คิดว่าเขาคงพูดเล่น ขำๆ เพราะบางทีแม่เราก็ดูเหมือนจะภูมิใจที่เราให้เงินเท่านี้เวลาคุยกะญาติๆ แต่พอต่อหน้าเรา กลับแสดงความไม่พอใจ ชอบติ ชอบว่าเรื่องเงินที่ให้ บางทีเราต้องแอบร้องไห้คนเดียว เกือบทุกเดือนตั้งแต่ทำงานมาแม่จะพูดประโยคแบบนี้ซ้ำๆ วนๆ บางทีก็ว่า "ถ้าไม่มีลูกป่านนี้ก็รวยไปแล้ว" ไม่ก็ "ลูกที่เขาดีจริงอะ มีเท่าไรเขาก็ให้แม่เขาหมด ไม่มีมาเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองแบบนี้หรอก เห็นแก่ตัว" ทุกวันนี้เราก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด พาครอบครัวไปกินข้าวบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง ซื้อบัตรให้พาไปดูละคร เขาก็ดูดีใน แต่ก็วายกลับมาพูดเรื่องเดิมๆให้เราเสียใจ บอกตรงๆว่าตอนนี้ไม่ว่าจะอะไร จะพยายามไม่พูดเรื่องเงินให้บ้าน ให้แล้วจบคือจบ แต่พอของใช้ในบ้านเสีย ก็จะเรื่มมาโวยวายให้เราชดใช้ ทั้งๆที่ของบางอย่างมันก็เสื่อมสภาพเอง
เห้ออ ตอนนี้เหนื่อยมากค่ะ พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังไม่ดีพอสำหรับแม่ อยากสอบถามเพื่อนๆชาวพันทิพว่า การที่ไม่ได้ให้เงินที่บ้านหมดนี่ มันเห็นแก่ตัวจริงๆไหม แล้วเพื่อนให้เงินที่บ้านทั้งหมดเลยรึป่าวคะ กรณีคนที่อยู่บ้านไม่ได้อยู่หอพักอ่ะค่ะ
ยังไงก็ตาม ขอบคุณนะคะที่อ่านจนจบ ยอมรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ แต่ขอแบบสุภาพค่ะ