ขอเล่าประสบการณ์ที่ผมต่อสู้กับโรคความดันโลหิตสูงเพื่อเป็นแนวทางรักษาให้กับทุกท่านที่กำลังตกอยู่ในภาวะโรคความดันอยู่ในขณะนี้ ขอพูดถึงเบื้องหลังก่อนนะครับ เริ่มจากตัวผมเองได้พบหมอเพื่อตรวจสุขภาพครั้งแรกเมื่ออายุ 37 ปีครับ -- ตรวจสุขภาพตามแพ็กเก็จครั้งแรกจริงๆ ก่อนหน้านั้นไม่เคยเข้าตรวจเลย ปกติที่ทำงานก็บังคับให้พนักงานทุกคนตรวจอยู่แล้ว ผมก็บ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อยมาทุกปี เพราะด้วยความไม่เอาใจใส่สุขภาพ จึงคิดไปว่าไม่เป็นไรหรอก ยังแข็งแรงดี
พอตรวจร่างกายครั้งแรกเท่านั้นแหล่ะ ผลตรวจออกมาเลวร้ายกว่าที่คิดมาก คือเจอทุกอย่างเช่น ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรส์สูง คอลเลสเตอรอลสูง ไขมันดีมีน้อย และไอ้ที่ตรงกันข้ามคือไขมันเลวกลับมีมาก
ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิมเรื่อยมา คือกินเหล้าหนักวันเว้นวัน ไม่ชอบออกกำลังกาย อาหารไม่จำกัดชนิด ปิ้งย่างทอด ขอให้มีมาเหอะ กินได้หมด
จนกระทั่งเมื่ออายุ 38 ก็เริ่มมีอาการผิดปกติ อย่างที่เห็นได้ชัดคืออาการปวดหัว ซึ่งเป็นบ่อยมาก แล้วก็มีอาการอื่นตามมาอีกเช่น ใจสั่น บางครั้งหัวใจเต้นผิดปกติ ชอบตื่นกลางดึกแล้วหัวใจเต้นถี่เร็วผิดปกติ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขนาดที่ต้องไปโรงพยาบาลเวลาตีสองเป็นภาระให้ภรรยาอีก
ผมจึงตัดสินใจเข้าตรวจสุขภาพอีกครั้ง โดยหมอก็ตรวจตามเดิมคือวัดความดันซึ่งก็สูงอยู่แล้ว คือตัวบน SYS วัดได้ 157 /// ตัวล่าง DIA วัดได้ 105 และผลการตรวจเลือดก็ออกมาทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์เลวร้ายเหมือนเดิม -- หมอจึงจัดให้เป็นคนไข้รักษาในโปรแกรม โดยให้ยาลดความดันมากิน วันละ 2 เม็ด และยาลดไขมันให้กินอีกวันละ 1 เม็ด -- ผมก็ยังดื้อเหมือนเดิม ยังคงดื่มจัดและกินอาหารทุกชนิด ไม่ชอบออกกำลังกาย ในช่วงที่อยู่ในโปรแกรมรักษานี้ผมไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ความดันก็ไม่ได้ลดลงมากมาย ตามบันทึกแล้วยังคงอยู่ที่ 140-150 กินยารักษาอยู่ถึง 3 ปีกว่า จนอายุเลยเลข 41 แล้ว ไม่มีท่าทีว่าอะไรจะดีขึ้น ยังคงมีอาการปวดหัวบ่อยๆ หัวใจสั่นบ่อย และเหนื่อยง่าย
มาถึงวันหนึ่งมานั่งคิดไตร่ตรองพิจารณาดู ว่าคนรอบข้างหรือเพื่อนบางคนที่เขาใช้ชีวิตแบบเราหรือดีกว่าเราต่างก็มีโรคความดันทั้งนั้น บางคนก็เสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดแตกในสมองตาย และเพื่อนสมัยเรียนมัธยมอีก 2 คน ก็เป็นโรคเส้นเลือดแตกในสมองแต่ไม่ถึงกับตาย พอออกจากโรงพยาบาลสภาพร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม คนหนึ่งลุกไม่ได้ต้องนอนเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต อีกคนกลายเป็นเหมือนคนวิกลจริตไป ไอ้เรานี่ถ้าขืนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคงอยู่ไม่ทันเห็นลูกบวชแน่ๆ คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจ "หักดิบ" เริ่มค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องครับ
ได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้วก็ออกแบบวิธีปฏิบัติ ซึ่งสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้-
1) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยให้หัวใจได้เต้นเร็ว 120 ครั้งต่อนาที นาน 30 นาทีติดต่อกัน -- สัปดาห์ละ 4 ครั้ง โดยการวิ่งครับซึ่งผมวิ่งเฉลี่ยวันละ 5 กม. (ไม่ได้วิ่งรวดเดียวเลยนะครับ พอเหนื่อยก็สลับเดินบ้าง หายเหนื่อยก็วิ่งต่อ -- ช่วงนี้พยายามขึ้นรถสองแถวไปวิ่งไกลๆ หมู่บ้าน เดี๋ยวเพื่อนวงเหล้าเห็นมันจะคิดว่าเราดัตจริต)
2) งดอาหารทอด-ติดมัน ทุกชนิด หรือถ้าเป็นไก่ทอด/ข้าวมันไก่ก็เอาหนังออก -- อาหารที่มีหมูติดมัน/ข้าวขาหมูก็ตัดเอาส่วนที่เป็นมันออก
3) งดกินอาหาร "เค็ม"
4) กินผลไม้ เช่น แอปเปิ้ลทุกวัน วันละ 1 ลูก
5) ลดแอลกอฮอล์ลง จากที่ดื่มวันเว้นวัน ให้เหลือเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 3 แก้ว -- "ห้ามติดลม" ข้อนี้ยากมากขอบอก เนื่องจากเป็นขี้เหล้าโดยอาชีพแต่ก็ต้องตัดใจทำให้ได้ เนื่องจากเราตั้งใจไว้แล้ว และอยากจะเห็นผลลัพธ์
*** ผมไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว เรื่องนี้จึงตัดไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เครื่องวัดความดันที่ผมใช้อยู่คือ ยี่ห้อ OMRON รุ่น HEM-7130 ซึ่งราคาไม่แพงมากภรรยาซื้อให้ราคา 1,800 บ. ครับ ซึ่งถ้าหากเครื่องเล็กแล้วราคาถูกกว่านี้เกรงว่าจะใช้ไม่ทน ในระยะหักดิบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ สภาวะอารมณ์ก็ออกจะหงุดหงิดหน่อย ซึ่งคิดว่าเป็นผลมาจากที่งดเหล้า ซึ่งเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 หรือ 3 อาการนี้จะหายไปครับ เพราะเหมือนเราจะสนุกเพลิดเพลินกับกิจกรรมอื่นแล้วไม่คิดถึงเหล้าอีกเลย ซึ่งเมื่อมานึกย้อนหลังดูแล้วก็เสียดายเวลาเหมือนกันที่นั่งอยู่ในวงเหล้ามา 20 กว่าปี ถ้าเอาเวลานี้ไปทำอย่างอื่นที่มัน productive คงจะดีมาก อีกอย่างคือ "ค่าเหล้า" ที่เสียไปในอดีต ถ้าเก็บๆ ใส่ออมสินป่านนี้คงมีเยอะครับ -- เมื่อก่อนมันไม่ได้คิดแบบนี้นี่ --- เคยพูดเรื่องขำขันกับเพื่อนเป็นประจำ เรื่องนักสุขภาพกับขี้เหล้าในผับ
นักสุขภาพ: ขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับ คุณดื่มเหล้ามากี่ปีแล้วครับ?
ขี้เหล้าแก่: ผมดื่มมา 42 ปีเห็นจะได้ครับ ดื่มตั้งแต่อายุ 18 ตอนนี้ผม 60 แล้ว
นักสุขภาพ: คุณดื่มวันละกี่ขวดครับ และสัปดาห์หนึ่งคุณดื่มกี่ครั้ง
ขี้เหล้าแก่: ผมดื่มเฉลี่ยวันละขวด สัปดาห์หนึ่งก็ 4-5 ครั้ง ถ้าไม่มาดื่มที่ผับผมก็ซื้อดื่มที่บ้าน รวมๆ แล้วสัปดาห์ละ 4 ขวดครับ
นักสุขภาพ: เหล้าขวดละ 600 บ. สัปดาห์หนึ่ง 2400 บ. เดือนหนึ่งตีไป 9000 บาท ปีหนึ่งก็ 120,000 บ. รวมค่ากับแกล้มด้วย นี่คุณดื่มมา 40 กว่าปี รู้มั้ยถ้าคุณเก็บเงินค่าเหล้าไว้ คุณสามารถขับเบ้นซ์สปอร์ตได้เลยนะนั่น!
ขี้เหล้าแก่: แล้วคุณดื่มมั้ยครับ?
นักสุขภาพ: ผมไม่ดื่มครับ (ตอบแบบภาคภูมิใจ)
ขี้เหล้าแก่: ...แล้ว Benz Sport คุณจอดไหน??
-----------------------------------------------------------------------------------------
จากการที่ผมสังเกตดู สิ่งที่มีผลกับความดันขึ้นสูงมากที่สุดคือ แอลกอฮอล์ และการที่ไม่ออกกำลังกายครับ เฉพาะปัจจัยสองอย่างนี้ ถ้าเราจัดการจริงจัง ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 จะเห็นผลเลยครับ กรณีผมความดันจะลดลงเหลือ 13x ทันที จากเดิม 15x
การออกกำลังนี่มีส่วนสำคัญมากครับ คือนอกจากจะส่งผลให้สุขภาพดีแล้ว ยังทำให้หลับสนิท และไม่ตื่นกลางดึกหรือใกล้สว่าง ผมได้ใช้แนวทางการออกกำลังกายโดยการใช้ค่า MHR หรือ Maximum Heart Rate คืออัตราเต้นของหัวใจเต็มที่ ซึ่งของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ แปรผันไปตามอายุ แต่มีวิธีการหาตัวเลขดังนี้ คือ MHR = 220 ลบ ตัวเลขอายุ / สำหรับผู้หญิง MHR = 226 ลบด้วยตัวเลขอายุ แล้วก็ให้หัวใจเต้นได้ 70% ของตัวเลขนั้น ตัวอย่างเช่นอายุ 40 ก็จะได้ตัวเลข MHR = 180 (ได้จาก 220 - 40) ซึ่ง 180 นี้คืออัตราที่หัวใจจะทำงานเต้นเร็วสุด ในการออกกำลังกายระยะแรกนั้นเราจะให้หัวใจเต้น 70% ซึ่งก็เท่ากับ 126 ครั้งต่อนาที --- นานติดต่อกันครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย สัปดาห์ละ 4 ครั้งครับ จะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าหากฟิตจัดและมีเวลา
***เครดิต ขอขอบคุณ คุณพาเที่ยว จากใจจริงครับ-ที่เขียนกระทู้อธิบายเรื่อง MHR และวิธีที่เขาต่อสู้กับความดันตามกระทู้ข้างล่างนี้
https://ppantip.com/topic/31170996
ผมปฏิบัติตาม 5 ข้ออย่างเคร่งคัดร่วมกับกินยาตามที่หมอให้ ใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือนนิดๆ ครับก็เห็นผลเลย คือความดันลงมาอยู่ที่ SYS 12x และ DIA 8x ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ
ซึ่งพอไปพบแพทย์ตามกำหนดนัด ก็อธิบายให้คุณหมอฟัง หมอก็มีท่าทีแปลกใจอยู่ และหมอก็ให้ทดลอง "งดกินยาลดความดัน" เป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อน และไปพบหมออีกเพื่อติดตามผล
เมื่อถึงครบกำหนด 1 เดือนถัดมา ผมก็ไปตามนัด วัดความดันได้ 124/83 ซึ่งหมอชักมั่นใจแล้วว่าผมจะรักษาควบคุมโรคความดันได้ จึงให้ "งดกินยาต่อไป" และก็นัดติดตามผลต่อมาทิ้งระยะห่างเป็น 2 เดือน และทิ้งช่วงวันนัดห่างออกเรื่อยๆ ครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าหากท่านเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ อยากเป็นกำลังใจให้ท่านว่า มันไม่ยากเลย ถ้าเราจะต่อสู้กับมันจริงๆ และถ้าหากตั้งใจจริง ผมว่าทุกคนจัดการกับมันได้แน่นอน ส่วนตัวแล้วความดันจะนิ่งมากมาอยู่ที่ SYS 113 ไม่เกิน 118 -- ตัวล่าง DIA อยู่ในระดับ 75-84 เมื่ออยู่ในระยะเดือนที่ 3 เป็นต้นไป วัดได้ตัวเลข 11x นี่เห็นเป็นปกติเลยครับ เมื่อมาถึงตรงนี้ได้ ผมไม่มีความคิดที่จะกลับไปกินดื่มเหมือนในอดีตอีกแล้วครับ เนื่องจากมันรู้สึกว่าสุขภาพเราดีกว่าเดิมมาก รู้สึกแข็งแรง อาการปวดหัวนี่หายไปเลยไม่เคยปรากฏอีก เรื่องใจสั่น เต้นเร็วนี่ไม่เคยปรากฏอีกเหมือนกัน และที่สำคัญ "พุง" หายไปด้วยครับ ซึ่งผมมารู้ทีหลังซึ่งคุณหมอบอกอีกว่า คนที่เป็นโรคความดันแล้วมักจะมีโรคอื่นตามมาอีก เช่น โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งถ้าหากควบคุมความดันได้ก็เป็นอันว่าตัดต้นตอกันเลยทีเดียว
เมื่อตรวจเลือดอีกครั้ง ตัวเลขต่างๆ ส่งผลไปในทางที่ดีหมดเลยครับ ซึ่งในส่วนนี้เองผมจึงอยากเขียนคำอธิบายถึงตัวเลขต่างๆ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยรู้นะครับ
--เครื่องวัดความดัน SYS มาจาก Systolic ซึ่งวัดเป็น mmHg หรือมิลิเมตรปรอท คือความดันขณะที่หัวใจบีบเพื่อจ่ายเลือด ตัวเลขที่ดีควรไม่เกิน 120 ถ้าเกินกว่านั้นก็เป็นภาวะความดันสูงไปตามลำดับ ส่วนตัวเลข DIA มาจาก Diastolic คือความดันขณะที่หัวใจคลายตัว (คือบีบแล้วก็คลายตัว) ตัวเลขที่ดีควรไม่เกิน 80 ถ้าเห็น 70 กว่าๆ นี่กำลังสวยเลยครับ -- ก่อนที่จะวัดนั้นควรจะนั่งพักประมาณ 10 นาทีนะครับ หรือถ้าเพิ่งออกกำลังกายมาก็พักก่อนซัก 30 นาที
CH คือค่าของ คอลเลสเตอรอลในเลือด
ต่ำกว่า 200mg คือค่าที่ดี
200-239 แนวโน้มไปสูง
240 ขึ้นไป สูง
LDL ค่าไขมันเลว
ต่ำกว่า 100 mg คือค่าที่ดี
100-129 แนวโน้มว่าสูง
130-159 สูง
160-189 สูงในระยะอันตราย
190 ขึ้นไป ระยะอันตรายมาก
HDL ค่าไขมันดี (ตัวเลขยิ่งมากยิ่งดี)
ต่ำกว่า 40mg อันตราย
40-59 แนวโน้มที่ดี
60 ขึ้นไป อยู่ในระดับป้องกันโรคหัวใจ
TG ค่าของไตรกลีเซอไรส์
ต่ำกว่า 150mg ระดับปกติ
150-199 แนวโน้มสูง
200-499 สูง
500 ขึ้นไป สูงระยะอันตราย
ขอฝากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังต่อสู้หรือคิดจะต่อสู้กับโรคความดันโลหิตสูงครับ "สู้ๆ" ไม่เกิน 2 เดือนครับ ถ้ามีวินัยและจริงจัง ผมว่าทุกคนเห็นความแตกต่างแน่นอน -- -ขอจบเรื่องเล่าประสบการณ์เพียงเท่านี้ครับ
เอาชนะ "โรคความดันโลหิตสูง" ไม่ยากอย่างที่คิดครับ
พอตรวจร่างกายครั้งแรกเท่านั้นแหล่ะ ผลตรวจออกมาเลวร้ายกว่าที่คิดมาก คือเจอทุกอย่างเช่น ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรส์สูง คอลเลสเตอรอลสูง ไขมันดีมีน้อย และไอ้ที่ตรงกันข้ามคือไขมันเลวกลับมีมาก
ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิมเรื่อยมา คือกินเหล้าหนักวันเว้นวัน ไม่ชอบออกกำลังกาย อาหารไม่จำกัดชนิด ปิ้งย่างทอด ขอให้มีมาเหอะ กินได้หมด
จนกระทั่งเมื่ออายุ 38 ก็เริ่มมีอาการผิดปกติ อย่างที่เห็นได้ชัดคืออาการปวดหัว ซึ่งเป็นบ่อยมาก แล้วก็มีอาการอื่นตามมาอีกเช่น ใจสั่น บางครั้งหัวใจเต้นผิดปกติ ชอบตื่นกลางดึกแล้วหัวใจเต้นถี่เร็วผิดปกติ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขนาดที่ต้องไปโรงพยาบาลเวลาตีสองเป็นภาระให้ภรรยาอีก
ผมจึงตัดสินใจเข้าตรวจสุขภาพอีกครั้ง โดยหมอก็ตรวจตามเดิมคือวัดความดันซึ่งก็สูงอยู่แล้ว คือตัวบน SYS วัดได้ 157 /// ตัวล่าง DIA วัดได้ 105 และผลการตรวจเลือดก็ออกมาทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์เลวร้ายเหมือนเดิม -- หมอจึงจัดให้เป็นคนไข้รักษาในโปรแกรม โดยให้ยาลดความดันมากิน วันละ 2 เม็ด และยาลดไขมันให้กินอีกวันละ 1 เม็ด -- ผมก็ยังดื้อเหมือนเดิม ยังคงดื่มจัดและกินอาหารทุกชนิด ไม่ชอบออกกำลังกาย ในช่วงที่อยู่ในโปรแกรมรักษานี้ผมไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ความดันก็ไม่ได้ลดลงมากมาย ตามบันทึกแล้วยังคงอยู่ที่ 140-150 กินยารักษาอยู่ถึง 3 ปีกว่า จนอายุเลยเลข 41 แล้ว ไม่มีท่าทีว่าอะไรจะดีขึ้น ยังคงมีอาการปวดหัวบ่อยๆ หัวใจสั่นบ่อย และเหนื่อยง่าย
มาถึงวันหนึ่งมานั่งคิดไตร่ตรองพิจารณาดู ว่าคนรอบข้างหรือเพื่อนบางคนที่เขาใช้ชีวิตแบบเราหรือดีกว่าเราต่างก็มีโรคความดันทั้งนั้น บางคนก็เสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดแตกในสมองตาย และเพื่อนสมัยเรียนมัธยมอีก 2 คน ก็เป็นโรคเส้นเลือดแตกในสมองแต่ไม่ถึงกับตาย พอออกจากโรงพยาบาลสภาพร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม คนหนึ่งลุกไม่ได้ต้องนอนเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต อีกคนกลายเป็นเหมือนคนวิกลจริตไป ไอ้เรานี่ถ้าขืนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคงอยู่ไม่ทันเห็นลูกบวชแน่ๆ คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจ "หักดิบ" เริ่มค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องครับ
ได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้วก็ออกแบบวิธีปฏิบัติ ซึ่งสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้-
1) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยให้หัวใจได้เต้นเร็ว 120 ครั้งต่อนาที นาน 30 นาทีติดต่อกัน -- สัปดาห์ละ 4 ครั้ง โดยการวิ่งครับซึ่งผมวิ่งเฉลี่ยวันละ 5 กม. (ไม่ได้วิ่งรวดเดียวเลยนะครับ พอเหนื่อยก็สลับเดินบ้าง หายเหนื่อยก็วิ่งต่อ -- ช่วงนี้พยายามขึ้นรถสองแถวไปวิ่งไกลๆ หมู่บ้าน เดี๋ยวเพื่อนวงเหล้าเห็นมันจะคิดว่าเราดัตจริต)
2) งดอาหารทอด-ติดมัน ทุกชนิด หรือถ้าเป็นไก่ทอด/ข้าวมันไก่ก็เอาหนังออก -- อาหารที่มีหมูติดมัน/ข้าวขาหมูก็ตัดเอาส่วนที่เป็นมันออก
3) งดกินอาหาร "เค็ม"
4) กินผลไม้ เช่น แอปเปิ้ลทุกวัน วันละ 1 ลูก
5) ลดแอลกอฮอล์ลง จากที่ดื่มวันเว้นวัน ให้เหลือเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 3 แก้ว -- "ห้ามติดลม" ข้อนี้ยากมากขอบอก เนื่องจากเป็นขี้เหล้าโดยอาชีพแต่ก็ต้องตัดใจทำให้ได้ เนื่องจากเราตั้งใจไว้แล้ว และอยากจะเห็นผลลัพธ์
*** ผมไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว เรื่องนี้จึงตัดไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เครื่องวัดความดันที่ผมใช้อยู่คือ ยี่ห้อ OMRON รุ่น HEM-7130 ซึ่งราคาไม่แพงมากภรรยาซื้อให้ราคา 1,800 บ. ครับ ซึ่งถ้าหากเครื่องเล็กแล้วราคาถูกกว่านี้เกรงว่าจะใช้ไม่ทน ในระยะหักดิบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ สภาวะอารมณ์ก็ออกจะหงุดหงิดหน่อย ซึ่งคิดว่าเป็นผลมาจากที่งดเหล้า ซึ่งเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 หรือ 3 อาการนี้จะหายไปครับ เพราะเหมือนเราจะสนุกเพลิดเพลินกับกิจกรรมอื่นแล้วไม่คิดถึงเหล้าอีกเลย ซึ่งเมื่อมานึกย้อนหลังดูแล้วก็เสียดายเวลาเหมือนกันที่นั่งอยู่ในวงเหล้ามา 20 กว่าปี ถ้าเอาเวลานี้ไปทำอย่างอื่นที่มัน productive คงจะดีมาก อีกอย่างคือ "ค่าเหล้า" ที่เสียไปในอดีต ถ้าเก็บๆ ใส่ออมสินป่านนี้คงมีเยอะครับ -- เมื่อก่อนมันไม่ได้คิดแบบนี้นี่ --- เคยพูดเรื่องขำขันกับเพื่อนเป็นประจำ เรื่องนักสุขภาพกับขี้เหล้าในผับ
นักสุขภาพ: ขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับ คุณดื่มเหล้ามากี่ปีแล้วครับ?
ขี้เหล้าแก่: ผมดื่มมา 42 ปีเห็นจะได้ครับ ดื่มตั้งแต่อายุ 18 ตอนนี้ผม 60 แล้ว
นักสุขภาพ: คุณดื่มวันละกี่ขวดครับ และสัปดาห์หนึ่งคุณดื่มกี่ครั้ง
ขี้เหล้าแก่: ผมดื่มเฉลี่ยวันละขวด สัปดาห์หนึ่งก็ 4-5 ครั้ง ถ้าไม่มาดื่มที่ผับผมก็ซื้อดื่มที่บ้าน รวมๆ แล้วสัปดาห์ละ 4 ขวดครับ
นักสุขภาพ: เหล้าขวดละ 600 บ. สัปดาห์หนึ่ง 2400 บ. เดือนหนึ่งตีไป 9000 บาท ปีหนึ่งก็ 120,000 บ. รวมค่ากับแกล้มด้วย นี่คุณดื่มมา 40 กว่าปี รู้มั้ยถ้าคุณเก็บเงินค่าเหล้าไว้ คุณสามารถขับเบ้นซ์สปอร์ตได้เลยนะนั่น!
ขี้เหล้าแก่: แล้วคุณดื่มมั้ยครับ?
นักสุขภาพ: ผมไม่ดื่มครับ (ตอบแบบภาคภูมิใจ)
ขี้เหล้าแก่: ...แล้ว Benz Sport คุณจอดไหน??
-----------------------------------------------------------------------------------------
จากการที่ผมสังเกตดู สิ่งที่มีผลกับความดันขึ้นสูงมากที่สุดคือ แอลกอฮอล์ และการที่ไม่ออกกำลังกายครับ เฉพาะปัจจัยสองอย่างนี้ ถ้าเราจัดการจริงจัง ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 จะเห็นผลเลยครับ กรณีผมความดันจะลดลงเหลือ 13x ทันที จากเดิม 15x
การออกกำลังนี่มีส่วนสำคัญมากครับ คือนอกจากจะส่งผลให้สุขภาพดีแล้ว ยังทำให้หลับสนิท และไม่ตื่นกลางดึกหรือใกล้สว่าง ผมได้ใช้แนวทางการออกกำลังกายโดยการใช้ค่า MHR หรือ Maximum Heart Rate คืออัตราเต้นของหัวใจเต็มที่ ซึ่งของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ แปรผันไปตามอายุ แต่มีวิธีการหาตัวเลขดังนี้ คือ MHR = 220 ลบ ตัวเลขอายุ / สำหรับผู้หญิง MHR = 226 ลบด้วยตัวเลขอายุ แล้วก็ให้หัวใจเต้นได้ 70% ของตัวเลขนั้น ตัวอย่างเช่นอายุ 40 ก็จะได้ตัวเลข MHR = 180 (ได้จาก 220 - 40) ซึ่ง 180 นี้คืออัตราที่หัวใจจะทำงานเต้นเร็วสุด ในการออกกำลังกายระยะแรกนั้นเราจะให้หัวใจเต้น 70% ซึ่งก็เท่ากับ 126 ครั้งต่อนาที --- นานติดต่อกันครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย สัปดาห์ละ 4 ครั้งครับ จะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าหากฟิตจัดและมีเวลา
***เครดิต ขอขอบคุณ คุณพาเที่ยว จากใจจริงครับ-ที่เขียนกระทู้อธิบายเรื่อง MHR และวิธีที่เขาต่อสู้กับความดันตามกระทู้ข้างล่างนี้
https://ppantip.com/topic/31170996
ผมปฏิบัติตาม 5 ข้ออย่างเคร่งคัดร่วมกับกินยาตามที่หมอให้ ใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือนนิดๆ ครับก็เห็นผลเลย คือความดันลงมาอยู่ที่ SYS 12x และ DIA 8x ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ
ซึ่งพอไปพบแพทย์ตามกำหนดนัด ก็อธิบายให้คุณหมอฟัง หมอก็มีท่าทีแปลกใจอยู่ และหมอก็ให้ทดลอง "งดกินยาลดความดัน" เป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อน และไปพบหมออีกเพื่อติดตามผล
เมื่อถึงครบกำหนด 1 เดือนถัดมา ผมก็ไปตามนัด วัดความดันได้ 124/83 ซึ่งหมอชักมั่นใจแล้วว่าผมจะรักษาควบคุมโรคความดันได้ จึงให้ "งดกินยาต่อไป" และก็นัดติดตามผลต่อมาทิ้งระยะห่างเป็น 2 เดือน และทิ้งช่วงวันนัดห่างออกเรื่อยๆ ครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าหากท่านเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ อยากเป็นกำลังใจให้ท่านว่า มันไม่ยากเลย ถ้าเราจะต่อสู้กับมันจริงๆ และถ้าหากตั้งใจจริง ผมว่าทุกคนจัดการกับมันได้แน่นอน ส่วนตัวแล้วความดันจะนิ่งมากมาอยู่ที่ SYS 113 ไม่เกิน 118 -- ตัวล่าง DIA อยู่ในระดับ 75-84 เมื่ออยู่ในระยะเดือนที่ 3 เป็นต้นไป วัดได้ตัวเลข 11x นี่เห็นเป็นปกติเลยครับ เมื่อมาถึงตรงนี้ได้ ผมไม่มีความคิดที่จะกลับไปกินดื่มเหมือนในอดีตอีกแล้วครับ เนื่องจากมันรู้สึกว่าสุขภาพเราดีกว่าเดิมมาก รู้สึกแข็งแรง อาการปวดหัวนี่หายไปเลยไม่เคยปรากฏอีก เรื่องใจสั่น เต้นเร็วนี่ไม่เคยปรากฏอีกเหมือนกัน และที่สำคัญ "พุง" หายไปด้วยครับ ซึ่งผมมารู้ทีหลังซึ่งคุณหมอบอกอีกว่า คนที่เป็นโรคความดันแล้วมักจะมีโรคอื่นตามมาอีก เช่น โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งถ้าหากควบคุมความดันได้ก็เป็นอันว่าตัดต้นตอกันเลยทีเดียว
เมื่อตรวจเลือดอีกครั้ง ตัวเลขต่างๆ ส่งผลไปในทางที่ดีหมดเลยครับ ซึ่งในส่วนนี้เองผมจึงอยากเขียนคำอธิบายถึงตัวเลขต่างๆ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยรู้นะครับ
--เครื่องวัดความดัน SYS มาจาก Systolic ซึ่งวัดเป็น mmHg หรือมิลิเมตรปรอท คือความดันขณะที่หัวใจบีบเพื่อจ่ายเลือด ตัวเลขที่ดีควรไม่เกิน 120 ถ้าเกินกว่านั้นก็เป็นภาวะความดันสูงไปตามลำดับ ส่วนตัวเลข DIA มาจาก Diastolic คือความดันขณะที่หัวใจคลายตัว (คือบีบแล้วก็คลายตัว) ตัวเลขที่ดีควรไม่เกิน 80 ถ้าเห็น 70 กว่าๆ นี่กำลังสวยเลยครับ -- ก่อนที่จะวัดนั้นควรจะนั่งพักประมาณ 10 นาทีนะครับ หรือถ้าเพิ่งออกกำลังกายมาก็พักก่อนซัก 30 นาที
CH คือค่าของ คอลเลสเตอรอลในเลือด
ต่ำกว่า 200mg คือค่าที่ดี
200-239 แนวโน้มไปสูง
240 ขึ้นไป สูง
LDL ค่าไขมันเลว
ต่ำกว่า 100 mg คือค่าที่ดี
100-129 แนวโน้มว่าสูง
130-159 สูง
160-189 สูงในระยะอันตราย
190 ขึ้นไป ระยะอันตรายมาก
HDL ค่าไขมันดี (ตัวเลขยิ่งมากยิ่งดี)
ต่ำกว่า 40mg อันตราย
40-59 แนวโน้มที่ดี
60 ขึ้นไป อยู่ในระดับป้องกันโรคหัวใจ
TG ค่าของไตรกลีเซอไรส์
ต่ำกว่า 150mg ระดับปกติ
150-199 แนวโน้มสูง
200-499 สูง
500 ขึ้นไป สูงระยะอันตราย
ขอฝากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังต่อสู้หรือคิดจะต่อสู้กับโรคความดันโลหิตสูงครับ "สู้ๆ" ไม่เกิน 2 เดือนครับ ถ้ามีวินัยและจริงจัง ผมว่าทุกคนเห็นความแตกต่างแน่นอน -- -ขอจบเรื่องเล่าประสบการณ์เพียงเท่านี้ครับ