การแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมามีตัวแทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 11 แห่ง มูลนิธิเพื่อคนไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และเช้นจ์ เวนเจอร์ และตัวแทนจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรรมการบริษัทไทย (IOD) เข้าร่วมงาน
ภายในงานมีการจัดเสวนา...เปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุน 11 แห่ง ที่มีความพร้อมเปิดขายกองทุนต้านโกง ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการออมให้กับนักลงทุน
งานนี้...วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) ในฐานะแม่งาน ถือโอกาสทำหน้าที่พิธีกร สอบถามถึงมุมมองการลงทุนของบลจ.แต่ละแห่งว่ามีมุมมองอย่างไร
เพราะต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกไม่ไปไหนมาไหน “จืดชืดยังกับแกงจืด เต้าหู้หมูสับ”
ขณะเดียวกันยังมีการพูดถึงสังคมผู้สูงวัย (สว.) ซึ่งขณะนี้พูดได้อย่างเต็มปากว่า...ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย อย่างเต็มตัว
หากไม่มีการวางแผนการออมที่ดี ยากนักที่จะสามารถรับมือได้ อนาคตจะกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ
ผู้บริหารบลจ.ส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่ง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าย่อมส่งผลดีกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา (ย้ำ) การลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงถึง 10% (ค่าเฉลี่ยต่อปี) สูงกว่าผลตอบแทนของเงินฝาก ตราสารหนี้ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
โดยสรุป....ทุกคนมองในมุมบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น
แล้วจะลงทุนในหุ้นตัวไหนล่ะ...ที่เป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของนักลงทุน สังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์กับประเทศ
เพราะในโลกของการลงทุนปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านอื่น นอกเหนือจากผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงเท่านั้น
อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีปัญหาเรื่อง “คอร์รัปชั่น” ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความ “เหลื่อมล้ำ” การปิดกั้นโอกาสทางธุรกิจ
ทำให้สังคมไทยยังล้าหลัง
หากยังไม่สามารถก้าวพ้นผ่านปัญหา “คอร์รัปชั่น”
นี่คือโจทย์ของการลงทุน และเป็นที่มาของ “กองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย” หรือ “กองทุนต้านโกง”
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=1220
กองทุนธรรมาภิบาล..ปฐมบท "ต้านโกง"
ภายในงานมีการจัดเสวนา...เปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุน 11 แห่ง ที่มีความพร้อมเปิดขายกองทุนต้านโกง ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการออมให้กับนักลงทุน
งานนี้...วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) ในฐานะแม่งาน ถือโอกาสทำหน้าที่พิธีกร สอบถามถึงมุมมองการลงทุนของบลจ.แต่ละแห่งว่ามีมุมมองอย่างไร
เพราะต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกไม่ไปไหนมาไหน “จืดชืดยังกับแกงจืด เต้าหู้หมูสับ”
ขณะเดียวกันยังมีการพูดถึงสังคมผู้สูงวัย (สว.) ซึ่งขณะนี้พูดได้อย่างเต็มปากว่า...ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย อย่างเต็มตัว
หากไม่มีการวางแผนการออมที่ดี ยากนักที่จะสามารถรับมือได้ อนาคตจะกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ
ผู้บริหารบลจ.ส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่ง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าย่อมส่งผลดีกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา (ย้ำ) การลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงถึง 10% (ค่าเฉลี่ยต่อปี) สูงกว่าผลตอบแทนของเงินฝาก ตราสารหนี้ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
โดยสรุป....ทุกคนมองในมุมบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น
แล้วจะลงทุนในหุ้นตัวไหนล่ะ...ที่เป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของนักลงทุน สังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์กับประเทศ
เพราะในโลกของการลงทุนปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านอื่น นอกเหนือจากผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงเท่านั้น
อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีปัญหาเรื่อง “คอร์รัปชั่น” ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำลายระบบเศรษฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความ “เหลื่อมล้ำ” การปิดกั้นโอกาสทางธุรกิจ
ทำให้สังคมไทยยังล้าหลัง
หากยังไม่สามารถก้าวพ้นผ่านปัญหา “คอร์รัปชั่น”
นี่คือโจทย์ของการลงทุน และเป็นที่มาของ “กองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย” หรือ “กองทุนต้านโกง”
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=1220