สวัสดีครับ
นี่เป็นกระทู้แรกของผมในชีวิตเพื่อขอคำปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับ
ผมเป็นผู้บริหารกิจการครอบครัว มีลักษณะกิจการคือซื้อสินค้า และส่งออกครับ
บริษัทของผมดำเนินกิจการมาหลายสิบปีแล้วครับ ผมรับช่วงกิจการต่อจากคุณพ่อและคุณแม่
เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อประมาณปี 2557 ครับ ผมได้ซื้อสินค้า เพื่อส่งออกจากบริษัท XXX
โดย บริษัท XXX เป็นผู้ผลิตสินค้า ออกใบกำกับภาษีให้ครับ ซึ่งบริษัทผม ต้องใช้ใบกำกับภาษี เพื่อยื่นเป็นต้นทุน และขอคืนภาษี
ผมค้าขายกับบริษัท XXX มาตั้งปี 2553 โดยมีลักษณะการค้าขายดังต่อไปนี้
1. บริษัทผมจะเป็นคนจ่ายค่าต้นทุนวัตุดิบแทน บริษัท XXX เนื่องจากวัตุดิบที่ใช้ในการผลิตต้องได้ตามข้อกำหนดของลูกค้า อีกทั้งบริษัทที่ขายวัตถุดิบอยากรับเงินจากบริษัทผมมากกว่าบริษัท XXX เนื่องจากบริษัทผมมีความน่าเชื่อถือในสายตาของบริษัทวัตถุดิบ พอผมจ่ายเงินแทนให้บริษัท XXX บริษัทขายวัตถุดิบก็เปิดใบเสร็จรับเงินไปที่บริษัท XXX เพื่อเป็นต้นทุนการผลิตของบริษัท XXX
2. ส่วนที่เป็นค่าแรงและกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทผมได้จ่ายเช็ค หรือโอนเงินให้กับผู้บริหารบริษัท XXX ไม่ได้ A/C payee บริษัท XXX เนื่องจากเป็นความต้องการของเจ้าของบริษัท XXX
ปัญหาเกิดขึ้นเพราะ บริษัท XXX ไม่ได้ยื่นงบ และไม่ได้นำส่ง ภาษีขายให้กรมสรรพากร และผมก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวจนกระทั่งกรมสรรพากร แจ้งผมเมื่อประมาณ ปี 2558 ว่าใบกำกับภาษีที่ผมใช้เป็นต้นทุน และขอคืนภาษีหลังการส่งออก มีปัญหา กรมสรรพกรกล่าวหาว่าบริษัทผมใช้ใบกำกับภาษีโดยมิชอบ หาว่าไม่มีการซื้อขายกันจริง กรมสรรพากรเรียกผมเข้าไปชี้แจงซึ่งผมก็ได้ชี้แจงตามความเป็นจริง ซึ่งผมได้นำหลักฐานการส่งออกไปมอบให้เพื่อยืนยันว่าผมได้ซื้อสินค้าจริงเพื่อนำไปส่งออก ผมยังได้นำหลักฐานการจ่ายเงินให้กับผู้ขายวัตถุดิบ เพื่อยืนยันว่ามีการซื้อขายวัตถุเพื่อการผลิต และส่งออกจริง
หลังจากเวลาผ่านไปสองปี กรมสรรพากรเรียกผมเข้าไปพบวันนี้แจ้งว่าจะมีการทำหนังสือว่าผมมีความผิด ต้องเสียเบี้ยปรับ เท่ากับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เรียกขอคืน คือ ประมาณเกือบสองล้านบาท โดยบอกว่าบริษัทผมไม่ได้จ่ายเงินค่าสินค้าให้บริษัท XXX แต่ไปจ่ายให้ บริษัทขายวัตถุดิบ และผู้บริหารบริษัทแทน ซึ่ง ทำให้ใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง แต่กรมสรรพากรเชื่อแล้วว่าผมมีการซื้อขายจริงกับบริษัท XXX
ผมจึงชี้แจงกับกรมสรรพากรว่าผมจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบแทนตามเหตุผลข้างต้น และเป็นความประสงค์ของผู้บริหารบริษัท XXX ที่ให้ผมจ่ายเงินค่าแรงและ และกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กับผู้บริหารบริษัท แต่กรมสรรพากรยังคงยืนยันว่าบริษัทผมใช้ใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบ และต้องจ่ายค่าปรับ
1 เท่าของภาษีที่ขอคืน ประมาณสองล้าน หากผมไม่เห็นด้วยก็ให้อุทรณ์ หรือขึ้นศาล โดยที่ค่าปรับอาจเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ ประมาณ สี่ล้าน และผมอาจถูกดำเนินคดีอาญา คำถามของผมคือ
1. การที่ผมจ่ายเงินค่าสินค้าในลักษณะดังกล่าวทำให้ ทำให้ใบกำกับภาษีไม่ถูกต้องจริงหรือไม่
2. ผมยืนยันว่ามีการซื้อขายกับบริษัท XXX และมีการส่งออกสินค้าไปจริง โดยมีหลักฐานจากกรมศุลกากรตอนส่งออกสินค้า ไม่ทราบว่านี่เป็นหลักฐานในการซื้อขายหรือไม่
3. ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากบริษัท XXX ไม่จ่ายภาษีขายในปี 2557 ทำให้ผมไมได้ภาษีมูลค่าเพิ่มคืน (ซึ่งผมไม่ได้อยากได้คืนถ้ารัฐต้องเสียหายถ้าต้องคืนเงินในสิ่งที่รัฐไม่ได้รับ) แต่ปัจจุบันกรมสรรพากรบอกว่าผมเป็นผู้กระทำผิด และต้องเสียค่าปรับ กฎหมายประเทศไทยเป็นแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ
4. ผมต้องยอมรับเงินค่าปรับนี้จริงๆใช่ไหมครับ ทั้งๆที่ผมไม่ได้โกง ไม่ได้ทำความผิดอะไร หรือผม ควรทำอย่างไรต่อครับ ควรสู้ต่อ หรือยอมครับ
5. ผมยังมียอด ภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2558 อีกประมาณ 4 แสน บาทที่กรมสรรพกรยังไม่ได้คืน แต่กรมสรรพากรแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วและไม่มีปัญหาใดๆ กรมสรรพากรใช้เวลานานสองปีกว่าในการตรวจสอบ และผมยังไม่ได้คืน ผมสามารถ ดำเนินการอย่างไรได้บ้างครับ
ขอบคุณครับ ยินดีรับฟังความเห็นทุกท่านครับ
กำลังโดนสรรพกรเรียกค่าปรับ เกือบสองล้านทั้งๆที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
นี่เป็นกระทู้แรกของผมในชีวิตเพื่อขอคำปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับ
ผมเป็นผู้บริหารกิจการครอบครัว มีลักษณะกิจการคือซื้อสินค้า และส่งออกครับ
บริษัทของผมดำเนินกิจการมาหลายสิบปีแล้วครับ ผมรับช่วงกิจการต่อจากคุณพ่อและคุณแม่
เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อประมาณปี 2557 ครับ ผมได้ซื้อสินค้า เพื่อส่งออกจากบริษัท XXX
โดย บริษัท XXX เป็นผู้ผลิตสินค้า ออกใบกำกับภาษีให้ครับ ซึ่งบริษัทผม ต้องใช้ใบกำกับภาษี เพื่อยื่นเป็นต้นทุน และขอคืนภาษี
ผมค้าขายกับบริษัท XXX มาตั้งปี 2553 โดยมีลักษณะการค้าขายดังต่อไปนี้
1. บริษัทผมจะเป็นคนจ่ายค่าต้นทุนวัตุดิบแทน บริษัท XXX เนื่องจากวัตุดิบที่ใช้ในการผลิตต้องได้ตามข้อกำหนดของลูกค้า อีกทั้งบริษัทที่ขายวัตถุดิบอยากรับเงินจากบริษัทผมมากกว่าบริษัท XXX เนื่องจากบริษัทผมมีความน่าเชื่อถือในสายตาของบริษัทวัตถุดิบ พอผมจ่ายเงินแทนให้บริษัท XXX บริษัทขายวัตถุดิบก็เปิดใบเสร็จรับเงินไปที่บริษัท XXX เพื่อเป็นต้นทุนการผลิตของบริษัท XXX
2. ส่วนที่เป็นค่าแรงและกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทผมได้จ่ายเช็ค หรือโอนเงินให้กับผู้บริหารบริษัท XXX ไม่ได้ A/C payee บริษัท XXX เนื่องจากเป็นความต้องการของเจ้าของบริษัท XXX
ปัญหาเกิดขึ้นเพราะ บริษัท XXX ไม่ได้ยื่นงบ และไม่ได้นำส่ง ภาษีขายให้กรมสรรพากร และผมก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวจนกระทั่งกรมสรรพากร แจ้งผมเมื่อประมาณ ปี 2558 ว่าใบกำกับภาษีที่ผมใช้เป็นต้นทุน และขอคืนภาษีหลังการส่งออก มีปัญหา กรมสรรพกรกล่าวหาว่าบริษัทผมใช้ใบกำกับภาษีโดยมิชอบ หาว่าไม่มีการซื้อขายกันจริง กรมสรรพากรเรียกผมเข้าไปชี้แจงซึ่งผมก็ได้ชี้แจงตามความเป็นจริง ซึ่งผมได้นำหลักฐานการส่งออกไปมอบให้เพื่อยืนยันว่าผมได้ซื้อสินค้าจริงเพื่อนำไปส่งออก ผมยังได้นำหลักฐานการจ่ายเงินให้กับผู้ขายวัตถุดิบ เพื่อยืนยันว่ามีการซื้อขายวัตถุเพื่อการผลิต และส่งออกจริง
หลังจากเวลาผ่านไปสองปี กรมสรรพากรเรียกผมเข้าไปพบวันนี้แจ้งว่าจะมีการทำหนังสือว่าผมมีความผิด ต้องเสียเบี้ยปรับ เท่ากับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เรียกขอคืน คือ ประมาณเกือบสองล้านบาท โดยบอกว่าบริษัทผมไม่ได้จ่ายเงินค่าสินค้าให้บริษัท XXX แต่ไปจ่ายให้ บริษัทขายวัตถุดิบ และผู้บริหารบริษัทแทน ซึ่ง ทำให้ใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง แต่กรมสรรพากรเชื่อแล้วว่าผมมีการซื้อขายจริงกับบริษัท XXX
ผมจึงชี้แจงกับกรมสรรพากรว่าผมจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบแทนตามเหตุผลข้างต้น และเป็นความประสงค์ของผู้บริหารบริษัท XXX ที่ให้ผมจ่ายเงินค่าแรงและ และกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กับผู้บริหารบริษัท แต่กรมสรรพากรยังคงยืนยันว่าบริษัทผมใช้ใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบ และต้องจ่ายค่าปรับ
1 เท่าของภาษีที่ขอคืน ประมาณสองล้าน หากผมไม่เห็นด้วยก็ให้อุทรณ์ หรือขึ้นศาล โดยที่ค่าปรับอาจเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ ประมาณ สี่ล้าน และผมอาจถูกดำเนินคดีอาญา คำถามของผมคือ
1. การที่ผมจ่ายเงินค่าสินค้าในลักษณะดังกล่าวทำให้ ทำให้ใบกำกับภาษีไม่ถูกต้องจริงหรือไม่
2. ผมยืนยันว่ามีการซื้อขายกับบริษัท XXX และมีการส่งออกสินค้าไปจริง โดยมีหลักฐานจากกรมศุลกากรตอนส่งออกสินค้า ไม่ทราบว่านี่เป็นหลักฐานในการซื้อขายหรือไม่
3. ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากบริษัท XXX ไม่จ่ายภาษีขายในปี 2557 ทำให้ผมไมได้ภาษีมูลค่าเพิ่มคืน (ซึ่งผมไม่ได้อยากได้คืนถ้ารัฐต้องเสียหายถ้าต้องคืนเงินในสิ่งที่รัฐไม่ได้รับ) แต่ปัจจุบันกรมสรรพากรบอกว่าผมเป็นผู้กระทำผิด และต้องเสียค่าปรับ กฎหมายประเทศไทยเป็นแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ
4. ผมต้องยอมรับเงินค่าปรับนี้จริงๆใช่ไหมครับ ทั้งๆที่ผมไม่ได้โกง ไม่ได้ทำความผิดอะไร หรือผม ควรทำอย่างไรต่อครับ ควรสู้ต่อ หรือยอมครับ
5. ผมยังมียอด ภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2558 อีกประมาณ 4 แสน บาทที่กรมสรรพกรยังไม่ได้คืน แต่กรมสรรพากรแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วและไม่มีปัญหาใดๆ กรมสรรพากรใช้เวลานานสองปีกว่าในการตรวจสอบ และผมยังไม่ได้คืน ผมสามารถ ดำเนินการอย่างไรได้บ้างครับ
ขอบคุณครับ ยินดีรับฟังความเห็นทุกท่านครับ