แฟ้มลับคดีพิศวง ตอน ตามล่าไอน์สไตน์ (1)

กระทู้สนทนา

ปี 1921 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ นิตยสารไทม์ยกย่องให้เขาเป็น “บุคคลแห่งศตวรรษ”



ปี 1932 อิทธิพลของฮิตเลอร์มากขึ้นทุกขณะ ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวเยอรมันหลายล้านคนหันไปนิยมฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์ไม่รอช้าที่จะป่าวประกาศว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกยิว บอลเชวิค  ช่วงนั้นพวกสื่อที่สนับสนุนพรรคนาซีเริ่มโจมตีพวกยิวหัวรุนแรงมากขึ้นและเป้าหมายหลักก็คือไอน์สไตน์





ขณะที่ยิวหัวรุนแรงจำนวนมากกำลังหนีออกนอกประเทศ ไอน์สไตน์และภรรยาคือเอลซ่าวางแผนที่จะเดินทางไปอเมริกาช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็จะกลับมาที่เยอรมันอีก ช่วงนั้นสื่อที่สนับสนุนนาซีรุกคืบเพื่อโจมตีไอน์สไตน์มากขึ้นเรื่อยๆ  ฮิตเลอร์ยังคงเงียบอยู่ ปล่อยให้สื่อทำหน้าที่แทนเขาในกรณีนี้ ฮิตเลอร์คิดแค่เพียงว่าตอนนี้ไฟที่จุดได้ติดและลามไปทั่วแล้ว อีกไม่นานอำนาจทั้งหมดต้องตกเป็นของเขา


อุปสรรคสำคัญที่จะมีผลต่อไอน์สไตน์ไม่ใช่แค่พรรคนาซีในเยอรมันเท่านั้น แต่เป็น Woman Patriot Corporation ในอเมริกา ที่นอกจากจะมีพันธกิจต่อต้านสตรีที่อยากจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้ว ยังมีพันธกิจในการต่อต้านคอมมิวนิสต์และคนต่างด้าว เป้าหมายหลักของกลุ่มนี้ก็คือการต่อต้านไอน์สไตน์




ทางกลุ่ม Woman Patriot Corporation ได้ปั้นแต่งข้อมูลทุกอย่างโดยให้ไอน์สไตน์กลายเป็นตัวร้ายแห่งศตวรรษ แล้วส่งข้อมูลนี้ให้กับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐโดยยื่นคำขาดให้สั่งห้ามไอน์สไตน์เข้าสหรัฐอเมริกาในทุกกรณี ข้อมูลของทางกลุ่มระบุว่าไอน์สไตน์เป็นคนต่างด้าวที่นิยมแนวคิดแบบอนาธิปไตย ถ้าเรายอมให้เขาเข้าประเทศ เขาจะกลายเป็นพวกบ่อนทำลายรัฐทันที จากข้อมูลนี้ไม่น่าที่จะทำให้อเมริกาต้องสั้นสะเทือนได้ เพียงแต่ช่วงนั้นการเมืองร้อนแรงในหลายประเทศ ทางการจึงอ่อนไหวมากกับข้อมูลพวกนี้ พวกเขาจึงส่งต่อข้อมูลนี้ไปให้อีกสองแห่งคือกงสุลใหญ่สหรัฐประจำกรุงเบอร์ลินและเอฟบีไอ





ไอน์สไตน์แปลกใจนิดๆที่ทางกงสุลใหญ่สหรัฐประจำกรุงเบอร์ลินขอนัดสัมภาษณ์เขาในการขอวีซ่าครั้งนี้ ซึ่งต่างจากครั้งก่อนๆมาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากและได้พาภรรยาไปตามนัด

ตอนเข้าไปที่กงสุลใหญ่ฯ ไอน์สไตน์เองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลเมื่อพวกเจ้าหน้าที่มองเขาแปลกๆ

ยิ่งตอนที่ต้องเข้าไปสัมภาษณ์กับ เรย์มอนด์ กีสต์ ผู้ช่วยกงสุลใหญ่สหรัฐประจำกรุงเบอร์ลินด้วยแล้ว คำถามแปลกๆที่ทางกงสุลไม่เคยถามเขามาก่อนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

คุณเป็นสมาชิกองค์กรใดบ้าง

ความเชื่อทางการเมืองของคุณเป็นแบบไหน

คุณสังกัดพรรคการเมืองใด

คุณสนับสนุนพรรคการเมืองใด

คุณสนับสนุนแนวคิดคอมมิวนิสต์หรืออนาธิปไตยด้วยรึเปล่า





ไอน์สไตน์ทนไม่ได้กับคำถามพวกนี้ เขาจึงออกมาอย่างเดือดดาล แต่อย่างน้อยคำถามพวกนี้ก็กระตุ้นเขาและทำให้เขามองเห็นเกมส์การเมืองบางอย่าง เมื่ออเมริกาเล่นแง่กับเขา เขาก็ต้องเล่นแง่กับอเมริกาบ้าง

สิ่งแรกที่เขาทำคือโทรไปบอกกงสุลฯว่าถ้าเขาไม่ได้วีซ่าภายใน 24 ชั่วโมง เขาจะยกเลิกการเดินทางไปอเมริกาทันที

ขณะเดียวกัน เขาก็ให้ภรรยาของเขาโทรบอกนักข่าวของนิวยอร์กไทม์และเอพีในเบอร์ลินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถ้าพรุ่งนี้เช้าข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่ว ประชาชนส่วนใหญ่คงขำกลิ้งที่อเมริกาจะไม่ยอมให้เขาเข้าประเทศ


และแล้วแผนของเขาก็สำเร็จ เมื่อทางการอเมริกาเห็นข่าวที่ออกมาอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็รีบเปลี่ยนใจทันทีโดยไม่ฟังข้อมูลของ Woman Patriot Corporation อีกต่อไป





ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาชนะกลายๆ แต่ไอน์สไตน์ก็ไวต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เขาเองรู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ย่อมไม่ปกติเป็นแน่

10 ธันวาคม 1932 เขากับภรรยาลงเรือเดินสมุทรเพื่อเดินทางไปอเมริกา เขายังทำเหมือนกับว่าจะไปพักผ่อนที่อเมริกาแบบชั่วคราว อาจจะสองสามเดือนหรือครึ่งปี แล้วก็จะกลับมาเบอร์ลินอีก การปล่อยข่าวไปแบบนั้นทำให้เขาออกเดินทางจากเยอรมันได้โดยง่าย ท่ามกลางการปล้นสะดมร้านค้าของชาวยิวครั้งใหญ่ และน่าจะเป็นช่วงที่ฮิตเลอร์รอวันเรืองอำนาจ





ในขณะที่ไอน์สไตน์อยู่บนเรือ กลุ่ม Woman Patriot Corporation ก็ยังไม่ยอมแพ้ในการต่อต้านไอน์สไตน์ในการเดินทางเข้าอเมริกา จนพวกที่สนับสนุนไอน์สไตน์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกต้องออกโรงมาต่อต้านกลุ่ม Woman Patriot Corporation การต่อต้านมีทั้งแบบเงียบเชียบและเสียงดัง กลุ่มที่เสียงดังก็ดังจนทำให้กลุ่ม Woman Patriot Corporation ต้องเงียบไปเหมือนกัน จนไอน์สไตน์ ภรรยา และลูกบุญธรรมสามารถที่จะเดินทางเข้าอเมริกาได้



ไอน์สไตน์ถึงแคลิฟอร์เนียในวันที่ 12 มกราคม 1933

ฮิตเลอร์ยึดอำนาจในเบอร์ลินได้ในวันที่ 30 มกราคม 1933



ฮิตเลอร์ได้ทำการวางแผนที่จะกำจัดยิวให้สิ้นซาก สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลืมคือการตามล่าไอน์สไตน์ โดยตั้งค่าหัวเขาไว้ที่ 50,000 เหรียญ (ค่าเงินในปี 1933)

แต่ศัตรูของไอน์สไตน์ไม่ใช่แค่พรรคนาซีที่เยอรมันเท่านั้น ในอเมริกาเองก็มีการดำเนินทางลับเพื่อที่จะตามล่าไอน์สไตน์เหมือนกัน และผู้ที่ทำอย่างนั้นก็คือมิสเตอร์เอชแห่งเอฟบีไอ.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่