J U L L E Y | จูเล | สวัสดีด้วยภาษาลาดัคกี้อีกครั้งนะคะ ^^
ขอเปิดกระทู้ด้วยภาพนี้ สถานที่ที่ 'ทำให้เราอยากไปลาดัค' แต่พอไปแล้วที่นี่กลับไม่ใช่ที่ที่ชอบที่สุดซะงั้น อ้าว! 555
เมื่อตอนที่แล้วเราพาไปเที่ยวรอบๆเมืองเลห์กับเวลา ' 48 ชั่วโมงต้องมนต์ ' เพื่อเป็นการวอร์มร่างกายและปรับสภาพให้เข้ากับความสูงที่ 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลกันไปแล้ว อ่านได้ที่
https://ppantip.com/topic/36599718 ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปตะลุยลาดักค์กับเวลา120 ชั่วโมงต้องมนต์ที่เหลือ อย่าเพิ่งกดปิดกระทู้ อย่าเพิ่งลุกไปไหน เพราะอะไรที่เค้าว่าเป็น 'ที่สุดในโลก' ได้รวมอยู่ที่นี่แล้ว!!!
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ รีวิวไม่ค่อยเก่ง รูปอาจจะไม่สวยแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
และฝากเพจน้อยๆของพวกเราด้วย
https://web.facebook.com/Everywherewewander/ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ
Day3 in Ladakh
: Khardung La Pass-Nubra Valley-Hunder :
เมื่อคืนนี้เราย้ายมาพักที่ Siala Guesthouse กันค่ะ เราว่าที่นี่โอเคมากๆเลย ห้องพักดี มีน้ำอุ่น มีอาหารเช้าให้ แถมพี่ๆพนักงานเค้าเอาใจใส่แขกที่มาพักกันแทบทุกคนเลย
คุณป้าที่น่าจะเป็นเจ้าของเกสเฮ้าส์บอกว่า คนไทยที่มาพักส่วนใหญ่ชอบกินข้าวต้ม ไข่เจียว แกเลยจัดให้พวกเรา แอบขโมยน้ำปลามาเหยาะด้วยนิดๆ แค่นี้ก็ฟินแล้วค่าา
อันนี้เป็นแพลนเที่ยวของวันที่เหลือ โดยเราจะเที่ยวตามรูปสามเหลี่ยมวนจากทางซ้ายแล้วมาจบที่เมืองเลห์เหมือนเดิม คือ
1) Leh-Khardung La Pass - Nubra Valley(ค้าง 1 คืน)
2) Nubra Valley-Pangong Lake(ค้าง 1 คืน)
3) Pangong Lake to Leh ผ่าน Chang La Pass
4) Leh-Tso Moriri (2 วัน 1 คืน)
จิมมี่มารับพวกเราตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพราะเค้าบอกว่าวันนี้ต้องเดินทางกันไกลหน่อย จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ ' Khardung La Pass ' ถนนที่สูงที่สุดในโลก ภูเขาที่หิมะขาวโพลนทั้งลูกที่เราเห็นจากเมืองเลห์มาสองวัน จะได้ไปอยู่บนนั้นแล้ว ตื่นเต้นมั่กกกก
รถค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขามาเรื่อยๆ บนถนนที่ไม่มีรั้วกั้น ดีหน่อยก็มีหินก้อนเล็นๆปักไว้เป็นแนวหรือกองหิมะที่ยังเหลือกั้นไหล่ทางแทน โอ้ย! หัวใจจะวาย แต่โชคดีที่จิมมี่ แดดดี้ของพวกเราเค้าขับรถไม่เร็ว ไม่น่ากลัว เรียกได้ว่าอาศัยความเชื่อใจล้วนๆ ส่วนพวกเราก็ทำหน้าที่ผู้โดยสารที่ดียกกล้องออกมาแชะรัวๆ กับความ full HD ของภูเขาที่นี่
ดูๆไปก็เหมือนช็อกโกแลตบราวนี่โรยน้ำตาลไอซ์ซิ่งเหมือนกันนะเนี่ย><
:จุดนี้เป็นจุดที่เราจะสามารถมองเห็นเมืองเลห์อยู่ด้านล่าง ฉากหลังเป็นเทือกเขา Stok Kangri และที่เราเห็นเป็นเส้นสีน้ำตาลๆตัดกับสีขาวของหิมะ
นั่นคือ ถนนที่เราขึ้นมา!
รถนี่ดูเล็กจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับความอลังการของภูเขาที่ลาดัค
จุดนี้เป็นจุด Check Point แรก ที่เค้าจะตรวจ inner line permit พร้อม passport และจะมีจุดตรวจแบบนี้เป็นระยะๆ ไปตลอดการเดินทาง
เพราะลาดัคเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว มีอาณาเขตติดกับชายแดนปากีสถาน ชายแดนของจีนบ้าง การมาเที่ยวลาดัคเลยต้องมีใบ permit
จากเมืองเลห์ขึ้นมาบน 'Khardung La Pass' ระยะทางประมาณ 40 กิโลฯ นิดๆ แต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน ด้วยสภาพถนนที่คดเคี้ยวไปตามเขา เพราะเค้าจะไม่ตัดถนนให้ชันจนเกินไป และด้วยความที่ฤดูสปริงอย่างเดือน พฤษภานี้ หิมะละลายยังไม่หมด ถนนบน Pass ก็อาจจะมีหิมะถล่มปิดเส้นทาง ทำให้รถติดยาว และต้องรอพี่ๆเจ้าหน้าที่มาเคลียร์ถนนอีก
ต้องขอบคุณพี่ๆลาดัคกี้กลุ่มนี้ ที่เคลียร์หิมะออกจากถนนเพื่อให้รถวิ่งต่อไปได้
และนี่! 'Khardung La Top' จุดที่สูงที่สุดของ 'Khardung La Pass' ถนนที่สูงที่สุดในโลก จะเห็นธงมนตราพริ้วๆเต็มไปหมด
: สูง 18,380ฟุต หรือประมาณ 5,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เราอยู่บนนี้ไม่เกิน 15-20 นาที เพราะอาจเสี่ยงต่อการเป็น AMS หรือแพ้ความสูงได้ง่ายๆ
ห้องน้ำบนถนนที่สูงที่สุดในโลก แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นคนเลือกไป open air หาโลเคชั่นกันเอง ฉี่ไปดูวิวไป ฟินนนน
หลังจากผ่าน Khardung La Top มาแล้ว เป็นเวลาเกือบเที่ยง ท้องก็เริ่มหิว วันนี้เรามีข้าวกล่องกันมาด้วย จิมมี่ก็เลยพามาแวะกินข้าวตรงนี้
ถ้าสังเกตรูปบนจะมีก้อนดำๆ กระจายอยู่บนทุ่งหิมะสีขาว ไม่ใช่อุนจิหรือก้อนหิน แต่มันคือ Yak หรือ จามรี
Yak จะอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวมากๆ เพราะเค้ามีชั้นไขมันหนา
ด้านหลังคือ เทือกเขาโคราคารัมที่พาดผ่านไปยังปากีสถาน
: คือวิวตรงนี้ดีงามมาก มีทั้ง Yak ทั้งหิมะ ทั้งเทือกเขา ให้อารมณ์การมาปิคนิคแบบคูลๆมาก ติดอยู่อย่างเดียว ลมแรงและหนาวไปยันลำไส้!
สุดท้ายพวกเราก็นั่งกินข้าวและดูวิวข้างนอกจากในรถแทน โถ่วววว อดคูลเลย
นั่งรถกันต่อไปอีก 3 ชม. ถนนนี่คดเคี้ยวมากๆ โค้งนับแทบไม่ถ้วน โค้งแถวภาคเหนือที่ว่าแน่ๆยังต้องแพ้ให้ถนนที่ลาดัค
และจุดหมายปลายทางของเราวันนี้ 'Nubra Valley'
ที่ Nubra Valley จะมี Sand Dune หรือทะเลทราย และมีน้องอูฐ Double hamped camel ให้ขี่
ค่าขี่น้องอูฐก็ประมาณ 200 รูปีต่อรอบ รอบละ 15 นาที แต่ จขกท กับเพื่อนก็ไม่ได้ขี่หรอกค่ะ ด้วยขนาดตัวแล้ว กลัวอูฐจะหลังหัก ฮ่าาา
Sand Dune : ให้ความตะวันออกกลางนิดๆ
:ให้ความซาฟารีคล้ายๆแอฟริกาหน่อยๆ
ขอให้ชื่อภาพนี้ว่า 'อูฐขาด' ใครก็ได้เอากาวไปแปะขนให้หน่อยเร้ววว55 น่าจะเป็นช่วงที่ผลัดขน เจ้าอูฐตัวนี้เลยไม่ได้ออกไปโชว์ตัวเหมือนเพื่อนๆตัวอื่น
: จบวันด้วยการกลับมาเดินเล่นแถวๆที่พัก
คืนนี้เราพักกันที่ 'Dragon Guesthouse' เป็นเกสเฮ้าส์เล็กๆ คนไม่เยอะ
ตอนกลางคืนที่นี่จะใช้ไฟฟ้าได้ตอนประมาณทุ่มกว่าๆ ถึงห้าทุ่มเท่านั้น
อาหารเย็นวันนี้ มีแป้งนาน และแกงกะหรี่ถั่วที่น่าจะเรียกว่า Dal Soup ถึงแม้รสชาติมันจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ด้วยความหิวก็พอช่วยให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง ฮ่าาา แถมยังทำให้พวกเราได้รู้จักพี่คนไทยที่น่ารักมากๆอีก 2 คน
Day4 in Ladakh
: Nubra Valley - Diskit - Pangong Lake
เช้านี้ ก่อนออกเดินทางไปทะเลสาบปันกอง จิมมี่พาพวกเรามาแวะที่ 'Diskit Monastery' เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมือง Diskit
สำหรับพวกเรานั้น เรื่องเข้าวัดจะไม่ขอสู้! เห็นบันไดแล้วก็ท้อใจ เลยขอเดินดูรอบๆตรงชั้นล่างดีกว่า
แต่ที่ขาดไม่ได้คือ การหมุนกงล้อแห่งธรรม เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่วัดนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอาริยะเมตรัยอีกด้วย
มองเห็น Nubra Valley ได้แบบพาโนราม่า ช่วงฤดูนี้ก็จะมีความแห้งแล้งหน่อย ถ้ามาช่วงหน้าร้อนต้นไม้น่าจะมีสีเขียวให้เห็น
จาก Nubra Valley ไปที่ทะเลสาบปันกองใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่วิวสองข้างทางเพลินมาก เลียบไปตามแม่น้ำ Shayok
เป็นอีกวันที่เรานั่งรถแล้วไม่หลับเลย
ถนนยังคงคดเคี้ยวไปตามภูเขา โค้งมันทุกหนึ่งนาที ต้องคอยบีบแตรส่งสัญญาณให้รถที่สวนมาเรื่อยๆ
นอกจากวิวสวยๆแล้ว ก็ยังอาจจะเจอสัตว์ป่าตามรายทางบ้าง อย่างเช่น เจ้าตัวนี้
'Himalayan Blue Sheep' น่ารักมาก
น้องแพะก็มา แต่อันนี้เป็นฝูงแพะที่ชาวบ้านแถวนี้เลี้ยงไว้
: นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนๆเราตื่นจากการหลับคอพับคออ่อนตลอดทาง ฮ่าๆ เจอสัตว์ไม่ได้พุ่งไปหาเลยจ้า
หลังจากนั่งรถมาค่อนวัน จนตูดจะรวมร่างกับเบาะ Finally!
Pangong Lake | Pangong Tso | ทะเลสาบปันกอง
ที่ที่ทำให้เราตัดสินใจมาที่ลาดัค!
'ทะเลสาบปันกอง' หรือ แปงกอง หรือ Pangong Tso เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก!
4,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
มีความยาวประมาณ 134 กม. มีพื้นที่อยู่ในสองประเทศ คือ ในอินเดียประมาณ 30 % ส่วนที่เหลือ 70% อยู่ในประเทศจีน
แถมที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังบอลลีวูดเรื่อง '3 Idiots' เลยค่อนข้างจะดังและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว
ภาพผืนน้ำสีฟ้าเทอควอยส์ ตัดกับภูเขาสีน้ำตาลที่เรียงตัวซ้อนกันทำให้เราเหมือนจะต้องมนต์สะกดกับความสวยของธรรมชาติ
ไม่รู้จะอธิบายยังไง เห็นจากภาพถ่ายก็ไม่เท่ากับมาเห็นด้วยตาตัวเอง
[CR] Julley 'LEH,LADAKH' 168 ชั่วโมงต้องมนต์บนหิมาลัย [PART 2]
เมื่อตอนที่แล้วเราพาไปเที่ยวรอบๆเมืองเลห์กับเวลา ' 48 ชั่วโมงต้องมนต์ ' เพื่อเป็นการวอร์มร่างกายและปรับสภาพให้เข้ากับความสูงที่ 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลกันไปแล้ว อ่านได้ที่ https://ppantip.com/topic/36599718 ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปตะลุยลาดักค์กับเวลา120 ชั่วโมงต้องมนต์ที่เหลือ อย่าเพิ่งกดปิดกระทู้ อย่าเพิ่งลุกไปไหน เพราะอะไรที่เค้าว่าเป็น 'ที่สุดในโลก' ได้รวมอยู่ที่นี่แล้ว!!!
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ รีวิวไม่ค่อยเก่ง รูปอาจจะไม่สวยแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
และฝากเพจน้อยๆของพวกเราด้วย https://web.facebook.com/Everywherewewander/ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ
เมื่อคืนนี้เราย้ายมาพักที่ Siala Guesthouse กันค่ะ เราว่าที่นี่โอเคมากๆเลย ห้องพักดี มีน้ำอุ่น มีอาหารเช้าให้ แถมพี่ๆพนักงานเค้าเอาใจใส่แขกที่มาพักกันแทบทุกคนเลย
คุณป้าที่น่าจะเป็นเจ้าของเกสเฮ้าส์บอกว่า คนไทยที่มาพักส่วนใหญ่ชอบกินข้าวต้ม ไข่เจียว แกเลยจัดให้พวกเรา แอบขโมยน้ำปลามาเหยาะด้วยนิดๆ แค่นี้ก็ฟินแล้วค่าา
จิมมี่มารับพวกเราตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพราะเค้าบอกว่าวันนี้ต้องเดินทางกันไกลหน่อย จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ ' Khardung La Pass ' ถนนที่สูงที่สุดในโลก ภูเขาที่หิมะขาวโพลนทั้งลูกที่เราเห็นจากเมืองเลห์มาสองวัน จะได้ไปอยู่บนนั้นแล้ว ตื่นเต้นมั่กกกก
รถค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขามาเรื่อยๆ บนถนนที่ไม่มีรั้วกั้น ดีหน่อยก็มีหินก้อนเล็นๆปักไว้เป็นแนวหรือกองหิมะที่ยังเหลือกั้นไหล่ทางแทน โอ้ย! หัวใจจะวาย แต่โชคดีที่จิมมี่ แดดดี้ของพวกเราเค้าขับรถไม่เร็ว ไม่น่ากลัว เรียกได้ว่าอาศัยความเชื่อใจล้วนๆ ส่วนพวกเราก็ทำหน้าที่ผู้โดยสารที่ดียกกล้องออกมาแชะรัวๆ กับความ full HD ของภูเขาที่นี่
ดูๆไปก็เหมือนช็อกโกแลตบราวนี่โรยน้ำตาลไอซ์ซิ่งเหมือนกันนะเนี่ย><
:จุดนี้เป็นจุดที่เราจะสามารถมองเห็นเมืองเลห์อยู่ด้านล่าง ฉากหลังเป็นเทือกเขา Stok Kangri และที่เราเห็นเป็นเส้นสีน้ำตาลๆตัดกับสีขาวของหิมะ
นั่นคือ ถนนที่เราขึ้นมา!
รถนี่ดูเล็กจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับความอลังการของภูเขาที่ลาดัค
จุดนี้เป็นจุด Check Point แรก ที่เค้าจะตรวจ inner line permit พร้อม passport และจะมีจุดตรวจแบบนี้เป็นระยะๆ ไปตลอดการเดินทาง
เพราะลาดัคเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว มีอาณาเขตติดกับชายแดนปากีสถาน ชายแดนของจีนบ้าง การมาเที่ยวลาดัคเลยต้องมีใบ permit
จากเมืองเลห์ขึ้นมาบน 'Khardung La Pass' ระยะทางประมาณ 40 กิโลฯ นิดๆ แต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน ด้วยสภาพถนนที่คดเคี้ยวไปตามเขา เพราะเค้าจะไม่ตัดถนนให้ชันจนเกินไป และด้วยความที่ฤดูสปริงอย่างเดือน พฤษภานี้ หิมะละลายยังไม่หมด ถนนบน Pass ก็อาจจะมีหิมะถล่มปิดเส้นทาง ทำให้รถติดยาว และต้องรอพี่ๆเจ้าหน้าที่มาเคลียร์ถนนอีก
ต้องขอบคุณพี่ๆลาดัคกี้กลุ่มนี้ ที่เคลียร์หิมะออกจากถนนเพื่อให้รถวิ่งต่อไปได้
และนี่! 'Khardung La Top' จุดที่สูงที่สุดของ 'Khardung La Pass' ถนนที่สูงที่สุดในโลก จะเห็นธงมนตราพริ้วๆเต็มไปหมด
: สูง 18,380ฟุต หรือประมาณ 5,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เราอยู่บนนี้ไม่เกิน 15-20 นาที เพราะอาจเสี่ยงต่อการเป็น AMS หรือแพ้ความสูงได้ง่ายๆ
ห้องน้ำบนถนนที่สูงที่สุดในโลก แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นคนเลือกไป open air หาโลเคชั่นกันเอง ฉี่ไปดูวิวไป ฟินนนน
หลังจากผ่าน Khardung La Top มาแล้ว เป็นเวลาเกือบเที่ยง ท้องก็เริ่มหิว วันนี้เรามีข้าวกล่องกันมาด้วย จิมมี่ก็เลยพามาแวะกินข้าวตรงนี้
ถ้าสังเกตรูปบนจะมีก้อนดำๆ กระจายอยู่บนทุ่งหิมะสีขาว ไม่ใช่อุนจิหรือก้อนหิน แต่มันคือ Yak หรือ จามรี
Yak จะอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวมากๆ เพราะเค้ามีชั้นไขมันหนา
ด้านหลังคือ เทือกเขาโคราคารัมที่พาดผ่านไปยังปากีสถาน
: คือวิวตรงนี้ดีงามมาก มีทั้ง Yak ทั้งหิมะ ทั้งเทือกเขา ให้อารมณ์การมาปิคนิคแบบคูลๆมาก ติดอยู่อย่างเดียว ลมแรงและหนาวไปยันลำไส้!
สุดท้ายพวกเราก็นั่งกินข้าวและดูวิวข้างนอกจากในรถแทน โถ่วววว อดคูลเลย
นั่งรถกันต่อไปอีก 3 ชม. ถนนนี่คดเคี้ยวมากๆ โค้งนับแทบไม่ถ้วน โค้งแถวภาคเหนือที่ว่าแน่ๆยังต้องแพ้ให้ถนนที่ลาดัค
ค่าขี่น้องอูฐก็ประมาณ 200 รูปีต่อรอบ รอบละ 15 นาที แต่ จขกท กับเพื่อนก็ไม่ได้ขี่หรอกค่ะ ด้วยขนาดตัวแล้ว กลัวอูฐจะหลังหัก ฮ่าาา
ขอให้ชื่อภาพนี้ว่า 'อูฐขาด' ใครก็ได้เอากาวไปแปะขนให้หน่อยเร้ววว55 น่าจะเป็นช่วงที่ผลัดขน เจ้าอูฐตัวนี้เลยไม่ได้ออกไปโชว์ตัวเหมือนเพื่อนๆตัวอื่น
อาหารเย็นวันนี้ มีแป้งนาน และแกงกะหรี่ถั่วที่น่าจะเรียกว่า Dal Soup ถึงแม้รสชาติมันจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ด้วยความหิวก็พอช่วยให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง ฮ่าาา แถมยังทำให้พวกเราได้รู้จักพี่คนไทยที่น่ารักมากๆอีก 2 คน
เช้านี้ ก่อนออกเดินทางไปทะเลสาบปันกอง จิมมี่พาพวกเรามาแวะที่ 'Diskit Monastery' เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมือง Diskit
สำหรับพวกเรานั้น เรื่องเข้าวัดจะไม่ขอสู้! เห็นบันไดแล้วก็ท้อใจ เลยขอเดินดูรอบๆตรงชั้นล่างดีกว่า
แต่ที่ขาดไม่ได้คือ การหมุนกงล้อแห่งธรรม เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่วัดนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอาริยะเมตรัยอีกด้วย
มองเห็น Nubra Valley ได้แบบพาโนราม่า ช่วงฤดูนี้ก็จะมีความแห้งแล้งหน่อย ถ้ามาช่วงหน้าร้อนต้นไม้น่าจะมีสีเขียวให้เห็น
จาก Nubra Valley ไปที่ทะเลสาบปันกองใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่วิวสองข้างทางเพลินมาก เลียบไปตามแม่น้ำ Shayok
เป็นอีกวันที่เรานั่งรถแล้วไม่หลับเลย
ถนนยังคงคดเคี้ยวไปตามภูเขา โค้งมันทุกหนึ่งนาที ต้องคอยบีบแตรส่งสัญญาณให้รถที่สวนมาเรื่อยๆ
นอกจากวิวสวยๆแล้ว ก็ยังอาจจะเจอสัตว์ป่าตามรายทางบ้าง อย่างเช่น เจ้าตัวนี้ 'Himalayan Blue Sheep' น่ารักมาก