J U L L E Y หรือในภาษาไทยออกเสียงว่า 'จูเล'
_____________________________________
ภาษา Ladakhi คำแรกที่ได้ยินหลังจากเท้าแตะพื้นเมืองเลห์ ที่คุณลุงแท็กซี่จากสนามบินสอนเราตอนมาส่งที่เกสเฮ้าส์
ใช้ทักทาย สวัสดี บอกลา ขอบคุณ บลาบลา หรืออะไรไม่ออกก็จูเล่ไว้ก่อน ฮ่าๆ คำที่พูดง่ายแสนง่ายในวันแรกๆแต่กลับเป็น
คำที่พูดยากและไม่อยากพูดในวันสุดท้ายในดินแดนที่ได้ชื่อว่า 'ทิเบตน้อย' นี้
_____________________________________
ขอเกริ่นก่อนว่าทริปนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านกระทู้ของ พี่ปั้น the walking Backpacker '9 เหตุผลที่ก่อนตาย คุณควรไปเห็น Leh Ladakh กับตาตัวเอง'
https://ppantip.com/topic/34109505 และดูรายการ View finder ของคุณภูริเมื่อปีที่แล้ว จังหวะนั้นอดใจไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องได้ไป เลห์ ลาดักห์! บวกกับความใจง่ายของเพื่อน ชวนปุ๊บ ตอบตกลงปั๊บภายใน5นาที จนคนชวนยังแทบช็อค(เหมือนมันแทบไม่ได้คิด) เพื่อน3คนยอมร่วมชะตากรรมไปกับเราในการไปเยือนอินตะระเดีย เมืองแขกเป็นครั้งแรก ทริปนี้ก็เลยเกิดขึ้น เราเดินทางกันวันที่ 29 เมษา-7 พฤษาภาที่ผ่านมา โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าช่วงนั้นเป็นฤดูอะไร อากาศหนาวมั้ย ผู้คนจะเป็นยังไง อาหารกินได้มั้ย รู้แต่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ลุยโลด! จนตอนนี้ผ่านมาเดือนกว่าๆ ก็ยังคิดถึง โอ๊ย เข้าใจแล้วที่เค้าว่า 'ชีวิตนี้ต้องไปเห็นด้วยตาและรับรู้ด้วยใจด้วยตัวเองจริงๆ' บอกเลยแล้วจะต้องตกหลุมรัก "ลาดักห์" เหมือนเรา
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ รีวิวไม่ค่อยเก่ง รูปอาจจะไม่สวยแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
และฝากเพจน้อยๆของพวกเราด้วย
https://web.facebook.com/Everywherewewander/ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ
เอาหละ! เกริ่นมาเยอะละตามประสาคนเวิ่นเว้อ ขอเริ่มเลยละกัน 55
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1.เลห์ ลาดักห์ มันคือส่วนไหนของโลกกันนะ ?
"เมืองเลห์" เมืองหลวงหรือ main city ของจังหวัดลาดักห์ ที่เรามักจะคุ้นเคยกันในชื่อ เลห์ลาดักห์(นี่ก็เพิ่งรู้ตอนถามจากลาดัคกี้) เป็นจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องนั่งเครื่องไปลงที่นี่ อยู่ในรัฐจัมมู-แคชเมียร์ที่ประกอบไปด้วย 3 จังหวัด คือ ลาดักห์ แคชเมียร์(เมืองหลักคือศรีนาการ์) และจัมมู ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่เหนือสุดของประเทศอินเดีย บอกเลยว่าเป็นที่เดียวในอินเดียที่แทบไม่มีความอินเดียอยู่เลย
แอบสปอยก่อนนิดนึง อิอิ
2.การเดินทางและวีซ่า
- ไม่มีไฟลท์บินจากไทยไปที่เมืองเลห์โดยตรง เราต้องบินจากไทยไปลงที่นิวเดลีก่อน แล้วต่อเครื่องไปที่เลห์
-จากนิวเดลีไปเลห์ สามารถเลือกไปทางรถไฟหรือรถบัส ผ่านทางLeh-Manali เส้นนี้เค้าบอกสวยมาก แต่ใช้เวลาหลายวัน
เรื่องสายการบิน
1) พวกเราเลือกนั่ง การบินไทย ไปลงที่นิวเดลี(International Terminal) แล้วบินจากนิวเดลีไปเลห์ด้วยสายการบิน Go Air ของอินเดีย
- มีข้อเสียคือต้องนั่งรถ shuttle bus ไปที่Domestic Terminal ซึ่งไกลกันพอสมควร ต้องเผื่อเวลาในการต่อเครื่องให้ดี
-แต่พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ไปถึงเดลีเที่ยงๆแวบไปเดินเล่นในเมือง แล้วก็กลับมารอไฟลท์ไปเลห์ในเช้ามืดวันถัดไป
2) ถ้าต้องการสะดวก แนะนำเป็นสายการบิน Jet Airways ของอินเดีย อันนี้จะต่อเครื่องจาก international terminal ไปได้เลย
3) สายการบินจากไทยไปอินเดีย : การบินไทย, Jet Airways,Air India,Spice Jet
สายการบินจากเดลีไปเลห์ : Jet Airways,Go Air,Vistara(อันนี้ก็ขึ้นจาก International Terminal),Spice Jet ประมาณนี้
- หลักๆก็คงเป็น Jet Airways กับ Go Air
- ไฟลท์ไปเลห์ส่วนมากจะมีตอนเช้าตรู่อย่างเดียวเลย
ค่าตั๋ว
- ราคาอยู่ที่ประมาณ 15,000-20,000 บาท เราเคยเห็นโปรของ Jet Airways ประมาณ 13xxx
- ควรจองตั๋วตั้งแต่เนิ่นๆ ไฟลท์กทม-เดลีไม่ค่อยมีปัญหา แต่จะแพงกับไฟลท์เดลี-เลห์
เรื่องวีซ่า
เข้าอินตะระเดียก็ต้องทำวีซ่านะเออ
เราได้เขียนไว้ในกระทู้นี้แล้ว
https://ppantip.com/topic/36523887 หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ^^
3.แล้วจะต้องเตรียมร่างกายยังไงหละ?
เนื่องจากเมืองเลห์ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันหนาวเหน็บ แน่นอนว่ามนุษย์พื้นที่ราบลุ่ม อาศัยอยู่ระดับน้ำทะเลอย่างเราจะต้องปรับตัวกับอากาศที่มีออกซิเจนเบาบาง อาจทำให้เราเหนื่อยง่ายหายใจไม่ออก จนเป็น AMS(Acute Mountain Sickness)หรือโรคแพ้ความสูง อาการก็เหมือนที่บอก เหนื่อย หายใจไม่ออก ปวดหัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ไปจนมีไข้และหนาวสั่น แถมโรคนี้เกิดได้กับทุกเพศทุกวัยไม่เกี่ยวกับความฟิตของร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันและเพื่ออรรถรถในการท่องเที่ยวลาดักห์ ควรเตรียมยา Diamox(Acetazolamide) ไปด้วย
วิธีใช้ยา Diamox
1) ต้องกิน 24 ชั่วโมงก่อนไปถึงที่เลห์
2) อย่าลืมเช็คขนาดยาด้วยนะ
- ถ้าเม็ดขนาด 125 mg ให้กิน 1 เม็ดต่อทุก 12 ชั่วโมง
- ถ้ายาขนาด 250 mg ก็ให้กินครึ่งเม็ดจ้า
ถ้าไม่แน่ใจก็ถามจากเภสัชกรได้ค่ะ
4.ช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการท่องเที่ยว?
ด้วยความที่เป็นที่สูงมากๆ ลาดักห์เลยหนาวเย็นตลอดทั้งปี ช่วงหน้าร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย ส่วนช่วงหน้าหนาวนี่เค้าบอกว่าหนาวขนาด -20 องศา บรึ๋ยยยย
ช่วงหน้าหนาว : ตุลา-มีนา อากาศหนาวจัด หนาวแบบน่าจะแข็งตายไปเลย แต่ลาดัคกี้บอกมาว่า Chadar Trek หรือการเดินเทรคเข้าไปในแม่น้ำ Zanskar ที่เป็นน้ำแข็งก็น่าสนใจนะ ต้องกลับไปแน่นอน!
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ : ปลายเมษา-พฤษภา ที่พวกเราไปมา อากาศก็ยังติดลบอยู่ บนักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะมาก
ช่วงหน้าร้อน : มิถุนา-กันยา เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่อากาศกำลังดีเหมาะแก่การท่องเที่ยว
5.อื่นๆ
- เตรียมเสื้อกันหนาว กันลม ถุงมือ ถุงเท้า อะไรก็ได้ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นไปให้พร้อม
- ที่นู่นแดดแรงมากจีจี แรงจนคนไม่ชอบใส่แว่นอย่างเราต้องงัดแว่นออกมาใส่
- อาหารที่นู่นก็จะกินลำบากนิดนึง(แต่สำหรับเรา กินมันทุกอย่าง๕๕๕) มีกลิ่นเครื่องเทศ ผงกะหรี่ ใครที่กินยากโปรดจงเตรียมเสบียงไปให้พร้อม หมูฝอย หมูหยอง น้ำพริก มาม่า
- ใช้เงินรูปี คิดเป็นเงินไทยก็เอาสองหารได้เลย เช่น 100 รูปี ประมาณ 50 บาท
- อย่าลืมเตรียมสำเนาพาสปอร์ตไปด้วย เพื่อใช้ทำ inner line permit ด้วยนะคะ เวลาที่เราไปเที่ยวตามที่ต่างๆนอกเมืองเลห์ จะต้องทำ permit เพื่อใช้ผ่านทางค่ะ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ในลาดักห์เป็นเขตชายแดน เป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว สามารถติดต่อบริษัททัวร์ท้องถิ่นที่นู่นให้ทำให้ ราคา 700 รูปี
- บอกกล่าวที่บ้าน พ่อ แม่ แฟน ให้เรียบร้อย เตรียมตัวตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วครู่ เพราะอาจจะไม่มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้
ไม่ต้องอ่านข้อมูลอะไรมากมาย รูปอย่าไปดูเยอะ เตรียมตัว เตรียมใจ ทำสมองให้ว่างๆ แล้วลุยกันเลย!!!
เอาหละ เอาจริงและ ! ทีนี้ก็เข้าสู่ชั่วโมงต้องมนต์กันเล๊ยยยย
_____________________________________
:: ทริปนี้เราใช้เวลากันทั้งหมด 9 วัน 8 คืน รวมวันเดินทางแล้ว ::
Day 1 : BKK-New Delhi
จากไทยไปนิวเดลีใช้เวลาแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเรามาถึงกันตอนเที่ยง! แดดที่เดลีมันช่างแผดเผา เหมือนจะละลายไปกับพื้นถนน
สารภาพเลยว่าพวกเราไปไม่กี่ที่ คือ Connaught Place เพื่อหาข้าวกิน มื้อแรกในอินเดีย รอด!!!,ป้อม Red Fort กับตลาด Chandni Chowk
แล้วกลับมาหมดแรงข้าวต้มที่สนามบิน อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ
- ถ้าไม่ได้ยินเสียงแตรรถ แปลว่ายังมาไม่ถึงอินเดีย! ตราตรึงมากบอกเลย
Day 2: New Delhi-Leh
-ไฟลท์จากนิวเดลีไปเลห์-
ค่าเครื่องหลักร้อย(ดอลล่า) แต่วิวนี่หลักแปดแสนล้าน
ไฟลท์บินของพวกเราคือตอน 6.40 แต่ฝนเทแต่เช้าเลย ท้องฟ้าขมุกขะมัว พร้อมกับเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเที่ยวบินดีเลย์! แอบกลัวเบาๆว่าจะไม่ได้เห็นเทือกเขาหิมาลัย
สัญญากับตัวเองว่าขึ้นเครื่องแล้วจะไม่หลับเด็ดขาด แต่ด้วยความที่เมื่อคืนนอนสนามบิน หลับๆตื่นๆ เลยเผลองีบไปนิดนึง>< ต้องขอบคุณเพื่อนที่สะกิดขึ้นมาดูวิว
เป็นไฟลท์ที่ระยะเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่ไม่สามารถละสายตาจากวิวข้างนอกหน้าต่างได้เลยยันเครื่องลง สวยจนแทบจะลืมหายใจ เทือกเขาหิมาลัยสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ขาไปให้เลือกที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายนะคะ ขากลับก็ฝั่งขวา บอกเลยว่าคุ้มเกินคุ้ม
ท้องฟ้าช่างไม่เป็นใจซะเลย แต่ก็สวยไปอีกแบบ
)
ทันทีที่เครื่องแตะรันเวย์สนามบินเลห์ มองไปรอบๆนี่เหมือนโดนโอบล้อมไปด้วยภูเขา 360 องศา ยกมือถือมาจะถ่าย แต่เจ้าหน้าที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ นี่แอบถ่ายตอนเค้าเผลอ555 บรรยากาศมันช่างมาคุเหลือเกิน ฟ้าสีเทาๆ แถมมีหิมะปรอยมาเป็นสาย ในใจก็เริ่มหวั่นๆ ว่าทริปนี้กูจะเห็นอะไรมั้ย พอก้าวออกจากเครื่องบิน อารมณ์ตอนนั้นแบบ อื้อหือ! ใครเอาช่องฟรีซมาเปิดใส่หน้า สั่นตั้งแต่วิแรก จากนิวเดลี 40 องศามาเหลืออุณหภูมิเลขตัวเดียวหรืออาจจะต่ำกว่า0 ด้วยเสื้อยืด1ตัวถ้วนนนน
สนามบินที่นี่เป็นอาคารเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่บอกก็คงดูไม่ออกว่าเป็นสนามบิน รับกระเป๋าเสร็จ ออกมายืนเก้ๆกังๆนอกอาคาร หาแท็กซี่เข้าเมืองเลห์ก่อนละกัน หนาววุ้ยยยย ราคาก็จะประมาณ 2-3ร้อยรูปี แม้พี่แขกอินเดียจะได้ชื่อว่าชอบโก่งราคา แต่ที่เลห์เราไม่ต้องกลัวว่าพี่เค้าจะโกงเลยค่ะ เพราะที่เลห์จะมีเรทแท็กซี่มาตรฐานบอกไว้ ขอเค้าดูได้หรือเช็คได้ในเว็บ
http://www.travelhimalayas.in/transportation/taxi-rental/316-leh-local-taxi-rates-2015.html
[CR] Julley 'LEH,LADAKH' 168 ชั่วโมงต้องมนต์บนหิมาลัย [PART 1]
ใช้ทักทาย สวัสดี บอกลา ขอบคุณ บลาบลา หรืออะไรไม่ออกก็จูเล่ไว้ก่อน ฮ่าๆ คำที่พูดง่ายแสนง่ายในวันแรกๆแต่กลับเป็น
คำที่พูดยากและไม่อยากพูดในวันสุดท้ายในดินแดนที่ได้ชื่อว่า 'ทิเบตน้อย' นี้
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ รีวิวไม่ค่อยเก่ง รูปอาจจะไม่สวยแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
และฝากเพจน้อยๆของพวกเราด้วย https://web.facebook.com/Everywherewewander/ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ
เอาหละ! เกริ่นมาเยอะละตามประสาคนเวิ่นเว้อ ขอเริ่มเลยละกัน 55
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1.เลห์ ลาดักห์ มันคือส่วนไหนของโลกกันนะ ?
"เมืองเลห์" เมืองหลวงหรือ main city ของจังหวัดลาดักห์ ที่เรามักจะคุ้นเคยกันในชื่อ เลห์ลาดักห์(นี่ก็เพิ่งรู้ตอนถามจากลาดัคกี้) เป็นจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องนั่งเครื่องไปลงที่นี่ อยู่ในรัฐจัมมู-แคชเมียร์ที่ประกอบไปด้วย 3 จังหวัด คือ ลาดักห์ แคชเมียร์(เมืองหลักคือศรีนาการ์) และจัมมู ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่เหนือสุดของประเทศอินเดีย บอกเลยว่าเป็นที่เดียวในอินเดียที่แทบไม่มีความอินเดียอยู่เลย
แอบสปอยก่อนนิดนึง อิอิ
2.การเดินทางและวีซ่า
- ไม่มีไฟลท์บินจากไทยไปที่เมืองเลห์โดยตรง เราต้องบินจากไทยไปลงที่นิวเดลีก่อน แล้วต่อเครื่องไปที่เลห์
-จากนิวเดลีไปเลห์ สามารถเลือกไปทางรถไฟหรือรถบัส ผ่านทางLeh-Manali เส้นนี้เค้าบอกสวยมาก แต่ใช้เวลาหลายวัน
เรื่องสายการบิน
1) พวกเราเลือกนั่ง การบินไทย ไปลงที่นิวเดลี(International Terminal) แล้วบินจากนิวเดลีไปเลห์ด้วยสายการบิน Go Air ของอินเดีย
- มีข้อเสียคือต้องนั่งรถ shuttle bus ไปที่Domestic Terminal ซึ่งไกลกันพอสมควร ต้องเผื่อเวลาในการต่อเครื่องให้ดี
-แต่พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ไปถึงเดลีเที่ยงๆแวบไปเดินเล่นในเมือง แล้วก็กลับมารอไฟลท์ไปเลห์ในเช้ามืดวันถัดไป
2) ถ้าต้องการสะดวก แนะนำเป็นสายการบิน Jet Airways ของอินเดีย อันนี้จะต่อเครื่องจาก international terminal ไปได้เลย
3) สายการบินจากไทยไปอินเดีย : การบินไทย, Jet Airways,Air India,Spice Jet
สายการบินจากเดลีไปเลห์ : Jet Airways,Go Air,Vistara(อันนี้ก็ขึ้นจาก International Terminal),Spice Jet ประมาณนี้
- หลักๆก็คงเป็น Jet Airways กับ Go Air
- ไฟลท์ไปเลห์ส่วนมากจะมีตอนเช้าตรู่อย่างเดียวเลย
ค่าตั๋ว
- ราคาอยู่ที่ประมาณ 15,000-20,000 บาท เราเคยเห็นโปรของ Jet Airways ประมาณ 13xxx
- ควรจองตั๋วตั้งแต่เนิ่นๆ ไฟลท์กทม-เดลีไม่ค่อยมีปัญหา แต่จะแพงกับไฟลท์เดลี-เลห์
เรื่องวีซ่า
เข้าอินตะระเดียก็ต้องทำวีซ่านะเออ
เราได้เขียนไว้ในกระทู้นี้แล้ว https://ppantip.com/topic/36523887 หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ^^
3.แล้วจะต้องเตรียมร่างกายยังไงหละ?
เนื่องจากเมืองเลห์ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันหนาวเหน็บ แน่นอนว่ามนุษย์พื้นที่ราบลุ่ม อาศัยอยู่ระดับน้ำทะเลอย่างเราจะต้องปรับตัวกับอากาศที่มีออกซิเจนเบาบาง อาจทำให้เราเหนื่อยง่ายหายใจไม่ออก จนเป็น AMS(Acute Mountain Sickness)หรือโรคแพ้ความสูง อาการก็เหมือนที่บอก เหนื่อย หายใจไม่ออก ปวดหัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ไปจนมีไข้และหนาวสั่น แถมโรคนี้เกิดได้กับทุกเพศทุกวัยไม่เกี่ยวกับความฟิตของร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันและเพื่ออรรถรถในการท่องเที่ยวลาดักห์ ควรเตรียมยา Diamox(Acetazolamide) ไปด้วย
วิธีใช้ยา Diamox
1) ต้องกิน 24 ชั่วโมงก่อนไปถึงที่เลห์
2) อย่าลืมเช็คขนาดยาด้วยนะ
- ถ้าเม็ดขนาด 125 mg ให้กิน 1 เม็ดต่อทุก 12 ชั่วโมง
- ถ้ายาขนาด 250 mg ก็ให้กินครึ่งเม็ดจ้า
ถ้าไม่แน่ใจก็ถามจากเภสัชกรได้ค่ะ
4.ช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการท่องเที่ยว?
ด้วยความที่เป็นที่สูงมากๆ ลาดักห์เลยหนาวเย็นตลอดทั้งปี ช่วงหน้าร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย ส่วนช่วงหน้าหนาวนี่เค้าบอกว่าหนาวขนาด -20 องศา บรึ๋ยยยย
ช่วงหน้าหนาว : ตุลา-มีนา อากาศหนาวจัด หนาวแบบน่าจะแข็งตายไปเลย แต่ลาดัคกี้บอกมาว่า Chadar Trek หรือการเดินเทรคเข้าไปในแม่น้ำ Zanskar ที่เป็นน้ำแข็งก็น่าสนใจนะ ต้องกลับไปแน่นอน!
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ : ปลายเมษา-พฤษภา ที่พวกเราไปมา อากาศก็ยังติดลบอยู่ บนักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะมาก
ช่วงหน้าร้อน : มิถุนา-กันยา เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่อากาศกำลังดีเหมาะแก่การท่องเที่ยว
5.อื่นๆ
- เตรียมเสื้อกันหนาว กันลม ถุงมือ ถุงเท้า อะไรก็ได้ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นไปให้พร้อม
- ที่นู่นแดดแรงมากจีจี แรงจนคนไม่ชอบใส่แว่นอย่างเราต้องงัดแว่นออกมาใส่
- อาหารที่นู่นก็จะกินลำบากนิดนึง(แต่สำหรับเรา กินมันทุกอย่าง๕๕๕) มีกลิ่นเครื่องเทศ ผงกะหรี่ ใครที่กินยากโปรดจงเตรียมเสบียงไปให้พร้อม หมูฝอย หมูหยอง น้ำพริก มาม่า
- ใช้เงินรูปี คิดเป็นเงินไทยก็เอาสองหารได้เลย เช่น 100 รูปี ประมาณ 50 บาท
- อย่าลืมเตรียมสำเนาพาสปอร์ตไปด้วย เพื่อใช้ทำ inner line permit ด้วยนะคะ เวลาที่เราไปเที่ยวตามที่ต่างๆนอกเมืองเลห์ จะต้องทำ permit เพื่อใช้ผ่านทางค่ะ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ในลาดักห์เป็นเขตชายแดน เป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว สามารถติดต่อบริษัททัวร์ท้องถิ่นที่นู่นให้ทำให้ ราคา 700 รูปี
- บอกกล่าวที่บ้าน พ่อ แม่ แฟน ให้เรียบร้อย เตรียมตัวตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วครู่ เพราะอาจจะไม่มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้
Day 1 : BKK-New Delhi
จากไทยไปนิวเดลีใช้เวลาแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเรามาถึงกันตอนเที่ยง! แดดที่เดลีมันช่างแผดเผา เหมือนจะละลายไปกับพื้นถนน
สารภาพเลยว่าพวกเราไปไม่กี่ที่ คือ Connaught Place เพื่อหาข้าวกิน มื้อแรกในอินเดีย รอด!!!,ป้อม Red Fort กับตลาด Chandni Chowk
แล้วกลับมาหมดแรงข้าวต้มที่สนามบิน อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ
- ถ้าไม่ได้ยินเสียงแตรรถ แปลว่ายังมาไม่ถึงอินเดีย! ตราตรึงมากบอกเลย
Day 2: New Delhi-Leh
ไฟลท์บินของพวกเราคือตอน 6.40 แต่ฝนเทแต่เช้าเลย ท้องฟ้าขมุกขะมัว พร้อมกับเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเที่ยวบินดีเลย์! แอบกลัวเบาๆว่าจะไม่ได้เห็นเทือกเขาหิมาลัย
สัญญากับตัวเองว่าขึ้นเครื่องแล้วจะไม่หลับเด็ดขาด แต่ด้วยความที่เมื่อคืนนอนสนามบิน หลับๆตื่นๆ เลยเผลองีบไปนิดนึง>< ต้องขอบคุณเพื่อนที่สะกิดขึ้นมาดูวิว
เป็นไฟลท์ที่ระยะเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่ไม่สามารถละสายตาจากวิวข้างนอกหน้าต่างได้เลยยันเครื่องลง สวยจนแทบจะลืมหายใจ เทือกเขาหิมาลัยสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ขาไปให้เลือกที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายนะคะ ขากลับก็ฝั่งขวา บอกเลยว่าคุ้มเกินคุ้ม
ท้องฟ้าช่างไม่เป็นใจซะเลย แต่ก็สวยไปอีกแบบ )
ทันทีที่เครื่องแตะรันเวย์สนามบินเลห์ มองไปรอบๆนี่เหมือนโดนโอบล้อมไปด้วยภูเขา 360 องศา ยกมือถือมาจะถ่าย แต่เจ้าหน้าที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ นี่แอบถ่ายตอนเค้าเผลอ555 บรรยากาศมันช่างมาคุเหลือเกิน ฟ้าสีเทาๆ แถมมีหิมะปรอยมาเป็นสาย ในใจก็เริ่มหวั่นๆ ว่าทริปนี้กูจะเห็นอะไรมั้ย พอก้าวออกจากเครื่องบิน อารมณ์ตอนนั้นแบบ อื้อหือ! ใครเอาช่องฟรีซมาเปิดใส่หน้า สั่นตั้งแต่วิแรก จากนิวเดลี 40 องศามาเหลืออุณหภูมิเลขตัวเดียวหรืออาจจะต่ำกว่า0 ด้วยเสื้อยืด1ตัวถ้วนนนน
สนามบินที่นี่เป็นอาคารเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่บอกก็คงดูไม่ออกว่าเป็นสนามบิน รับกระเป๋าเสร็จ ออกมายืนเก้ๆกังๆนอกอาคาร หาแท็กซี่เข้าเมืองเลห์ก่อนละกัน หนาววุ้ยยยย ราคาก็จะประมาณ 2-3ร้อยรูปี แม้พี่แขกอินเดียจะได้ชื่อว่าชอบโก่งราคา แต่ที่เลห์เราไม่ต้องกลัวว่าพี่เค้าจะโกงเลยค่ะ เพราะที่เลห์จะมีเรทแท็กซี่มาตรฐานบอกไว้ ขอเค้าดูได้หรือเช็คได้ในเว็บ
http://www.travelhimalayas.in/transportation/taxi-rental/316-leh-local-taxi-rates-2015.html