ถ้ามีคนชวนคุณออกทริปไปท่องเที่ยวกลางหุบเขาสูง ผจญกับอากาศหนาวเย็น “อินเดีย” คงไม่ใช่ชื่อแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคุณอย่างแน่นอน ทริปนี้เพื่อนผมชวนไปแบบไม่ได้ตั้งตัว ตกลงใจไปแค่เพราะภาพถ่ายสวยๆ ที่คนอื่นโพสในพันทิป แต่ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเลห์จะเป็นที่ที่ประทับใจมากที่สุดที่นึงที่ผมเคยไป และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่ผมก็ยังเขียนถึงมันได้ราวกับเพิ่งไปมาเมื่อวาน เลยขอขุดภาพและความทรงจำดีๆ มาแชร์ให้อ่านกัน
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 20.09.2016 – 26.09.2016
เส้นทางบิน: กรุงเทพฯ >> นิวเดลี >> เลห์ >> นิวเดลี >> กรุงเทพฯ
นักเดินทาง: 4 คน
จุดมุ่งหมาย: เลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่:
Youtube:
http://www.youtube.com/c/KnowWhereLand
Facebook:
https://facebook.com/KnowWhereLand
#KnowWhereLand
ขอบคุณครับ =)
แรงสะกิดเบาๆ ที่ไหล่ขวาทำให้ผมต้องละสายตาไปจากวิวนอกหน้าต่าง ผมมองไปที่ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างผม เขายื่นกล้องมาให้ผมและชี้ไปที่หน้าต่างพร้อมกับทำท่าถ่ายรูป เป็นการสื่อสารด้วยสายตาที่นิ่งและรอยยิ้มจืดจางที่หลบอยู่หลังหนวดที่หนาเข้ม ผมยิ้มอ่อนๆ เพื่อแสดงความเข้าใจแล้วรับกล้องมากดถ่ายรูปวิวที่อยู่ด้านนอก สันภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวตัดกับแนวเขาสีเทา มันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ผมถ่ายไปหลายรูปก่อนที่จะส่งกล้องกลับไปให้ผู้ชายคนนั้น เขาขอบคุณด้วยการพยักหน้าเบาๆ แล้วเปิดดูรูปอย่างมีความสุขราวกับถ่ายด้วยตัวเอง ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดแม้แต่คำเดียวระหว่างเรา จากนั้นเสียงกัปตันก็แทรกขึ้นมาในลำโพงเป็นภาษาอินเดียที่ตามมาด้วยภาษาอังกฤษ "ผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เรากำลังลดระดับความสูงเพื่อลงจอดที่สนามบินเมืองเลห์ อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส” ผมไม่เคยนึกเลยว่าการมาอินเดียครั้งแรกของผมจะเป็นการผจญอากาศที่เย็นขนาดนี้
เมืองเลห์ (Leh) อยู่ในแคว้น ลาดักห์ (Ladakh) ซึ่งเป็นบริเวณที่สูงที่สุดของประเทศอินเดีย คำว่า “ลาดักห์” ในภาษาท้องถิ่นนั้นแปลว่า “ดินแดนแห่งเส้นทางที่สูง” ตัวเมืองเลห์อยู่บนพื้นที่ราบสูงที่ 3,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาสูงตามแนวเทือกเขาหิมาลัย เมื่อสมัยก่อน ความลำบากในการเดินทางทำให้ที่นี่มีวัฒนธรรมที่ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการพัฒนาเส้นทางการเดินทางให้สะดวกมากขึ้น การท่องเที่ยวก็เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างขยับขยายที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากมายที่ไหลเวียนเข้ามา และถึงแม้ว่าเลห์จะเป็นเมืองที่อยู่ด้านหลังภูเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นเมือง “หลังเขา” แต่อย่างใด
หลายคนบอกว่าเสน่ห์ของเลห์เป็นสิ่งที่ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทริปนี้
DAY 1
ผมก้าวเท้าจากปลายบันไดลงบนพื้นของสนามบิน ลมหายใจที่สูดเข้าปอดนั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นและเบาบางของอากาศ สายตามองผ่านม่านแสงอาทิตย์สีส้มยามเช้าไปยังแนวหุบเขาสีเทาที่ห้อมล้อมอาณาเขตของเมืองเลห์ แนวเขาที่สูงใหญ่ทำให้เครื่องบินโดยสารกลายเป็นเหมือนของเล่นชิ้นเล็ก กัปตันของเราสองคนยืนคุยกันอยู่ที่ปลายลานบินที่ดูกว้างใหญ่และว่างเปล่า เราเดินกันไปที่รถบัสคันเล็กที่จอดรอรับเพื่อไปส่งที่อาคารผู้โดยสารขาเข้าที่อยู่ไม่ห่างจากที่เราลงจอด เราลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในตึกผู้โดยสารขนาดเล็กเพื่อรอรับกระเป๋าเดินทาง หลังจากนั้น เรายื่นเอกสารให้พนักงานตรวจ พนักงานมองดูเอกสารว่าเรามาจากที่ไหน ก่อนที่จะยิ้มให้แล้วพูดว่า “สวัสดี” เราแอบตกใจนิดนึง แต่ก็ยิ้มตอบพร้อมกับคำว่า “สวัสดีครับ” เราเดินผ่านประตูทางออกไปด้านนอก ซึ่งไกด์ของเรากำลังยืนรอพวกเราอยู่ เขาโบกมือให้เราตามไปที่รถ พวกเราขึ้นรถแล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่พัก
รถขนส่งผู้โดยสารขาเข้า
โรงแรมที่เรามาพักเป็นที่ยอดฮิตของคนไทย ถ้าใครเคยอ่านกระทู้ในพันทิป จะจำได้จากภาพตรงที่นั่งกินข้าวที่มีผ้าใบสีเขียวขึงเป็นหลังคาอยู่ ผมเองตอนแรกจินตนาการไว้ว่าจะมาอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากความศิวิไลซ์ แต่สิ่งที่เจอคือห้องนอนที่กว้างขวาง ห้องน้ำสะอาด เตียงนอนและผ้าห่มดูอุ่นสบายสำหรับอากาศยามค่ำคืนที่เหน็บหนาว ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดไว้ ความลำบากอย่างเดียวคือการเดินขึ้นไปห้องอาหารชั้น 3 ที่ทำให้เราได้รู้สึกถึงความเบาบางของออกซิเจนในอากาศที่ระดับความสูงสามพันกว่าเมตรจากระดับน้ำทะเล มันทำให้คุณหายใจถี่แบบที่ไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน ร่างกายของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ระดับน้ำทะเลอย่างพวกเราจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศ ผมเองกินยา Diamox ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มเดินทางเพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้เร็วขึ้น
ห้องออฟฟิศพนักงานโรงแรม ด้านหลังเห็นห้องอาหารชั้น 3
หลังจากแอบหอบที่ปลายบันได ผมก็เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร มีเพียงลมเย็นๆ ที่อยู่ระหว่างเรากับวิวรอบตัวที่มองออกไปเห็นหุบเขาเรียงราย ผมตัดสินใจสั่งชามาซาล่าร้อนมาจิบระหว่างชมวิว ชามาซาล่าเป็นชานมที่ใส่เครื่องเทศ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศผสมผสานกับความหวานมันจากนม เป็นรสชาติท้องถิ่นที่ผมติดใจจนต้องสั่งทุกเช้า ขณะนั่งจิบชา ไกด์ก็เดินมาบอกให้พวกเรานอนพักสัก 4-5 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว เดี๋ยวตอนบ่ายเขาจะกลับมารับ ขณะนั้นเวลาประมาณ 9โมงเช้าเท่านั้น แต่พวกเราก็แอบง่วงอยู่แล้วเพราะตื่นแต่เช้ามาขึ้นเครื่องบิน โอเค นอนก็นอน
เมื่อถึงช่วงบ่าย พวกเรานั่งรถของไกด์ออกไปดูจุดสำคัญต่างๆ รอบตัวเมือง โดยเริ่มจาก Ancient Palace of Leh เป็นปราสาทเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงมาเห็นเมืองเลห์อย่างทั่วถึง ตอนเดินไปที่ทางเข้า เห็นความชันของบันไดนี่แอบคิดในใจถึงบันไดที่โรงแรมซึ่งดูเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับที่นี่ ด้านในตัวตึกก็ต้องปีนบันไดไม้ขึ้นไปอีกประมาณ 3 ชั้น ใช้พลังเยอะกว่าที่คิด แต่พอยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุด มองวิวทิวทัศน์ตัวเมืองที่มีเทือกเขาสูงอยู่ด้านหลัง ค่อยรู้สึกว่าคุ้มค่าเหนื่อยหน่อย ผมกลับลงมาก็เจอเพื่อนๆ นั่งหมดแรงกันอยู่ตรงทางออก เราเดินกลับไปที่รถเพื่อออกเดินทางต่อ
วิวจากระเบียงของปราสาทโบราณแห่งเมืองเลห์
จุดที่สองคือ Shanti Stupa แปลชื่อตรง ๆ ประมาณ “เจดีย์สันติภาพ” แต่ไม่มีรูปปั้นถือคบเพลิงนะ อันนั้น เทพีสันติภาพ (อดเล่นไม่ได้จริง ๆ) เจดีย์นี้อยู่ที่เนินเขาอีกลูกตรงข้ามกัน มองเห็นปราสาทที่เราไปปีนมาตะกี้อยู่ไกล ๆ แน่นอนวิวที่นี่ก็สุดลูกหูลูกตาไม่แพ้กัน ยืนนิ่งเงียบ ๆ ชมวิวที่แสนจะสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดผ่านใบหน้า รู้สึกถึงสันติภาพไปทุกอณู มองไปด้านข้าง มีกลุ่มแม่ชีใส่ชุดนักบวชสีแดงเลือดหมูกำลังตั้งท่าสำรวม หายใจเข้า หายใจออก 3 2 1 แชะ! มีถ่ายรูปหมู่เล็กน้อยแต่พองามโดยช่างภาพผู้ติดตามในกลุ่มแม่ชี
เจดีย์สันติภาพ
สถานที่ถัดมาคือตลาดที่ใจกลางเมือง เมืองเลห์ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ถนนที่นี่ก็ถือว่าสร้างได้ดี แม้ว่าซอยเล็กจะยังเป็นดินและหินขรุขระบ้าง แต่พอเข้าถนนเส้นหลักก็จะเรียบ คนที่นี่ส่วนใหญ่ใช้รถคันเล็ก เพราะเส้นทางในซอยต่าง ๆ นั้นค่อนข้างแคบ
ตลาดกลางเมือง ด้านหลังมองเห็นปราสาทโบราณ
บรรยากาศตลาดเมืองเลห์
รถจอดเพื่อปล่อยเราลงที่ทางเข้าของตลาด มีร้านขายของมากมาย ทั้งผ้าพันคอ เสื้อหนาว ของใช้และของประดับต่างๆ เรียกว่าเป็นเหมือนโซนสยามของเมือง แต่ตลาดที่นี่เดินไปอาจจะเจอวัวยืนอยู่ดื้อๆ กลางทางเดิน เป็นเรื่องปกติ อย่าตกใจ เราใช้เวลาที่เหลือของวันนี้เดินดูของฝากให้คนที่บ้าน แวะทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารเล็กๆ ทั้งร้านมีโต๊ะลูกค้าแค่ 4 ตัว ขายซาโมซ่าซึ่งเหมือนปอเปี๊ยะสามเหลี่ยมไส้ผักทอดขนาดใหญ่ ในเมนูมีแกงต่างๆ ให้เลือก อาหารทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ เราทานอาหารไปพร้อมกับจิบชามาซาล่าร้อนๆ เพราะเมื่อตะวันเริ่มลับฟ้า อากาศก็ยิ่งหนาวลง เมื่อทานเสร็จ เราก็เดินฝ่าอากาศหนาวกลับโรงแรมไปพักผ่อน อุณหภูมิที่ต่ำลงทำให้เราต้องพึ่งเครื่องทำความร้อนในห้องนอน ความเหนื่อยล้าของการท่องเที่ยวในวันแรกทำให้เราหลับไปอย่างง่ายดาย
ไม่ใช่รูปปั้นและไม่มีอะไรกั้นกลางระหว่างเรา
นักท่องเที่ยวชิมอาหารข้างทางที่ตลาด
[CR] เติมเต็มบนเส้นทางที่ว่างเปล่า เลห์ ลาดักห์ [Leh Ladakh]
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 20.09.2016 – 26.09.2016
เส้นทางบิน: กรุงเทพฯ >> นิวเดลี >> เลห์ >> นิวเดลี >> กรุงเทพฯ
นักเดินทาง: 4 คน
จุดมุ่งหมาย: เลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่:
Youtube: http://www.youtube.com/c/KnowWhereLand
Facebook: https://facebook.com/KnowWhereLand
#KnowWhereLand
ขอบคุณครับ =)
แรงสะกิดเบาๆ ที่ไหล่ขวาทำให้ผมต้องละสายตาไปจากวิวนอกหน้าต่าง ผมมองไปที่ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างผม เขายื่นกล้องมาให้ผมและชี้ไปที่หน้าต่างพร้อมกับทำท่าถ่ายรูป เป็นการสื่อสารด้วยสายตาที่นิ่งและรอยยิ้มจืดจางที่หลบอยู่หลังหนวดที่หนาเข้ม ผมยิ้มอ่อนๆ เพื่อแสดงความเข้าใจแล้วรับกล้องมากดถ่ายรูปวิวที่อยู่ด้านนอก สันภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวตัดกับแนวเขาสีเทา มันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ผมถ่ายไปหลายรูปก่อนที่จะส่งกล้องกลับไปให้ผู้ชายคนนั้น เขาขอบคุณด้วยการพยักหน้าเบาๆ แล้วเปิดดูรูปอย่างมีความสุขราวกับถ่ายด้วยตัวเอง ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดแม้แต่คำเดียวระหว่างเรา จากนั้นเสียงกัปตันก็แทรกขึ้นมาในลำโพงเป็นภาษาอินเดียที่ตามมาด้วยภาษาอังกฤษ "ผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เรากำลังลดระดับความสูงเพื่อลงจอดที่สนามบินเมืองเลห์ อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส” ผมไม่เคยนึกเลยว่าการมาอินเดียครั้งแรกของผมจะเป็นการผจญอากาศที่เย็นขนาดนี้
เมืองเลห์ (Leh) อยู่ในแคว้น ลาดักห์ (Ladakh) ซึ่งเป็นบริเวณที่สูงที่สุดของประเทศอินเดีย คำว่า “ลาดักห์” ในภาษาท้องถิ่นนั้นแปลว่า “ดินแดนแห่งเส้นทางที่สูง” ตัวเมืองเลห์อยู่บนพื้นที่ราบสูงที่ 3,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาสูงตามแนวเทือกเขาหิมาลัย เมื่อสมัยก่อน ความลำบากในการเดินทางทำให้ที่นี่มีวัฒนธรรมที่ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการพัฒนาเส้นทางการเดินทางให้สะดวกมากขึ้น การท่องเที่ยวก็เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างขยับขยายที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากมายที่ไหลเวียนเข้ามา และถึงแม้ว่าเลห์จะเป็นเมืองที่อยู่ด้านหลังภูเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นเมือง “หลังเขา” แต่อย่างใด
หลายคนบอกว่าเสน่ห์ของเลห์เป็นสิ่งที่ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทริปนี้
เมื่อถึงช่วงบ่าย พวกเรานั่งรถของไกด์ออกไปดูจุดสำคัญต่างๆ รอบตัวเมือง โดยเริ่มจาก Ancient Palace of Leh เป็นปราสาทเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงมาเห็นเมืองเลห์อย่างทั่วถึง ตอนเดินไปที่ทางเข้า เห็นความชันของบันไดนี่แอบคิดในใจถึงบันไดที่โรงแรมซึ่งดูเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับที่นี่ ด้านในตัวตึกก็ต้องปีนบันไดไม้ขึ้นไปอีกประมาณ 3 ชั้น ใช้พลังเยอะกว่าที่คิด แต่พอยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุด มองวิวทิวทัศน์ตัวเมืองที่มีเทือกเขาสูงอยู่ด้านหลัง ค่อยรู้สึกว่าคุ้มค่าเหนื่อยหน่อย ผมกลับลงมาก็เจอเพื่อนๆ นั่งหมดแรงกันอยู่ตรงทางออก เราเดินกลับไปที่รถเพื่อออกเดินทางต่อ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้