วันนี้ 2017.07.21 เป็นวันที่ลืมตาตื่นตอนเช้าที่เหมือนโลกถล่มไปอีกรอบนึง ... ตื่นเพื่อมารู้ความจริงว่า "Linkin Park จะไม่มี Chester แล้วนะ..." เราเติบโตมากับวงนี้ เรารู้จักกันกับเพลง Numb ... เรื่อยมาจนเพลงในหนัง Transformer หนังที่เราชอบ ... สไตล์ดนตรีที่ไม่เหมือนใคร ร๊อกหนักๆหน่อยที่มันดูไม่เข้ากันกับเราแต่เราก็รัก เนื้อเพลงที่มีความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองในยุคนั้นเป็นคำพูดผ่านเสียงเพลงแทนตัวเราได้ดี ถึงช่วงหลังๆจะเน้นความ Pop ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทุกครั้งที่กลับมาดู Transformer เรายังคงชอบและรักที่จะฟัง Soundtrack นั้นซ้ำไปซ้ำมาเสมอ
ในฐานะศิลปินและแฟนคลับ Chester ขาดกำลังใจและการยอมรับจากแฟนคลับ มีแฟนคลับบางคนที่ตามไปดูโชว์ของเขาแต่ไปในทาง "ด่าทอ" ชูป้าย ด่ากราด ... Chester ควรได้รับความรักในทาง Support อย่างน้อย ก็ให้หัวใจของ Chester รุ้สึกมีคุณค่า และไม่ดิ่งลงไปสู่ #โรคซึมเศร้า ถ้าฉันทำได้ คงอยากเข้าไปบีบมือเค้าและพูดว่า "I understand you all words you said."
ในฐานะคนที่ป่วยเป็น #โรคซึมเศร้า ด้วยกัน เราเคารพในการตัดสินใจของ Chester เขาต้องการพักจากปัญหาที่เหมือนมีระเบิดเวลาฝังในสมองตลอดเวลา เรารู้เพราะเราก็เป็น ... เราเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ Chester รู้สึกเมื่อกลับมาฟัง One More Light ใหม่อีกครั้ง ... มันเป็นจดหมายบอกลาผ่านเสียงเพลงที่ครบถ้วนกระบวนความที่สุด แต่ลึกๆแล้วเราก็เสียใจ... เราเหมือนสูญเสียเพื่อนร่วม"โรค"เดียวกันที่เค้าเป็นเหมือนแรงบันดาลใจสมัยเด็กๆของเราไป เพราะทุกวันนี้เราเป็นผู้ป่วยที่ในอีกแง่นึง เราเองก็เป็นคนที่ให้คำปรึกษาคนอื่น คอยแนะนำเพื่อนๆที่เป็นโรคเดียวกัน ... เพราะเราอยากให้เขาหาย ... การจากไปของ Chester เป็นเหมือนคนที่ทำให้เรารู้สึกล้มเหลวในการช่วยเหลือใครแต่ก็เป็นแรงฮึดให้เราต้องพยายามให้คำปรึกษาให้คนอื่นๆมากขึ้นเหมือนกัน
คนนอกสังคมของ "โรคซึมเศร้า" เค้าจะไม่มีทางเข้าใจอย่างถ่องแท้ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ... (เหมือนที่มีใครสักคนพยายามปรักปรำคนที่เป็นแบบเรามากมาย อย่างน้อยวันนี้ก็มีคนๆหนึ่งที่ทำพลาดอย่างรุนแรง และคำพูดนั้นอาจกระตุ้นให้เกิด Critical ได้ทุกเมื่อ....)
เราอยากบอกว่า "อยากให้ทุกคนใส่ใจกับความรู้สึกของคนรอบข้าง..." การทำร้ายหรือหักหาญน้ำใจกัน มันอาจจะเกิดขึ้นแล้วจบไป แต่กับคนเป็นโรคแบบนี้ ทุกสิ่งไม่เคยผ่านไปนะคะ เค้าจะจำและพอถึงจุดวิกฤต เค้าอาจจะหายไปเพราะมันคือคำตอบที่ดีที่สุดของเขา เหมือนที่ Chester คิด และเราเองก็เคยคิด...
Wishlistของชีวิตคือได้ไปดูคอนฯ Linkin Park สักครั้งใน นับจากวันนี้ไป ... ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว #RIPChesterBennington คุณได้พักแล้วนะ ;-;
------------------
ไหนๆก็พูดเรื่อง #โรคซึมเศร้า ช่วงนี้อุทิศตนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นแก่คนอื่น เนื่องจากมีช่วงที่เขียนงานไม่ได้อีกเลย มองว่างานที่ชอบเป็นเรื่องไม่สนุกแล้ว ... พอเล่าให้คนอื่นฟัง มีหลายคนที่กล้าที่จะพูด เราเองก็ดีใจแทน โพสนี้เลยขอรวมเอาสิ่งที่พูดใน twitter ทั้งหมด มาเล่าใหม่อีกรอบผ่านโพสนี้
เราแค่อยากให้คุณเข้าใจพวกเขาและอย่าที่จะมองพวกเราเป็นคนไม่มีความคิดหรือเป็นคนเลวร้าย พวกเราไม่ได้อยากเป็นคนไม่ดีในสายตาใคร แต่พวกเราแค่เลือกไม่ได้และเป็นไปแล้ว เท่านั้นเองค่ะ
========
นี่คือรูปเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2556 เคยวาดรูปนี้ตอนฟังเพลง Janus - Boyfriend
"Janus" คือเทพเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลง คือตัวแทนของการเริ่มต้นและสิ้นสุด คือตัวแทนของด้านมืดและด้านสว่างของมนุษย์ และยังเป็นที่มาของความหมายของ "การตีสองหน้า"
"지금 웃고 있지만 애써 참고 있어 난
떨리는 내 두 손을 힘껏 잡고 있어 난
속고 있는 거야 넌 괜찮다는 내 말에
등 뒤에서 눈물을 모두 쏟고 있어 난 ..."
ถึงต้องฝืนตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังยิ้มได้
ฉันกำมือทั้งสองไว้แน่น
ฉันโกหก บอกไปว่าฉันไม่เป็นไร
แต่เมื่อคุณจากไป ฉันต้องยืนปาดน้ำตา ...
มันมากกว่าภาพวาด มันลึกซึ้งกว่าสิ่งที่เห็น ... มันคือความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นในตอนนี้ ... "ทุกเรื่อง"
ตอนนั้นไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันคือจุดที่เริ่มชัดเจนของการเป็นโรคนี้ เราคิดว่าเราจัดการตัวเองได้ เรายังเด็ก เราสนุกสนานกับการใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่ชอบได้อยู่บ้างก็โอเค แต่อาการเริ่มหนักขึ้นจนราวๆปีนี้ที่มันชัดเจนที่สุด บีเขียนงานไม่ได้ เขียนดราฟไว้ก็เขียนแต่ไม่สามารถเขียนจบได้เลย เราจึงทำได้แค่ทำสิ่งตรงนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้ว....มันไม่เคยพอ เราต้องพยายามไปอีก อดทนไปอีก โกหกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอกจน ณ จุดๆหนึ่งเราสูญเสียตัวตนของเราไปเลย เปลี่ยนเป็นคนละคน และบางทีเหมือนเห็นภาพคนเก่าแบบวิญญาณขาวๆมองตัวเราเองในตอนนี้ .... ในละครเกาหลีที่เราไม่เคยเข้าใจโรคนี้มากมาย กลับกลายเป็นว่าเราเป็นเสียเอง เราเข้าใจเลยว่ามันทรมานตัวเองขนาดไหน?
ไม่มีใครทนฟังคำต่อว่าจากการกระทำที่หวังดีและคิดมาตั้งแต่แรกได้นาน คนที่ทนและเดินออกไปก่อน เค้ามีเหตุผล แต่มันก็มีที่สักวัน ... เค้าจะไม่ทน การพูดจาหักหาญน้ำใจต่อหน้าคนอื่น ยิ่งต่อหน้าคนใต้บังคับบัญชา โดยที่ไม่ได้มองว่าคนที่คุณด่าเขามาทำอะไร = คุณทำร้ายหัวใจของเขาไปครึ่งนึงแล้ว คนบางคนอดทนรับสิ่งที่ "ถูกกระทำ" ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาหลุดสู่มิติของคำว่า "ไม่ทน" "ความตาย" อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเขาก็ได้ สิ่งที่แย่กว่าการที่ผู้ป่วยเลือก "ฆ่าตัวตาย" คือทางออกที่ดีของเขาคือการที่สังคมภายนอกมองว่าเขา"ฆ่าตัวตาย"เพราะไม่คิด ไม่มีสมอง บีเคยผ่านจุดฆ่าตัวตายมาแล้ว(หลายครั้ง สารพัดวิธีแต่ไม่สำเร็จ) ตอนนั้นคิดว่า "ฉันอยากหนีออกไป ฉันไม่มีที่ยืนอีกแล้ว" และเริ่มคิดถึงคนที่ตายไปก่อนเรา (คนที่บีคิดถึงมากที่สุดคือ -พี่เมย์- พี่ชายของบีที่เสียไปก่อนหน้าที่บีจะเกิด บีมีแค่รูปตอนพี่ชายอายุแค่ขวบสองขวบเป็นรูปดูต่างหน้าเท่านั้น บางครั้งก็ด่าทอพี่ชายตัวเองว่าทำไมไม่รอน้อง ทำไมต้องปล่อยให้น้องรอ แต่หายครั้งที่กลัว ก็จะนึกถึงและบอกว่า "พี่ช่วยดูน้องด้วยนะ" ถ้าพี่ยังอยู่ เค้าคงอายุ30กว่าๆในตอนนี้)
พอเรารอดมาได้ เริ่มมีความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า แต่พอได้ยินใครสักคนพูดว่า "ทำอะไรไม่คิด โง่!" เราก็กลับมาหาวิธีฆ่าตัวตายใหม่ อาการที่เป็นอยู่จะคล้ายเหมือนสองขั้ว คือเวลาแฮปปี้จะแฮปปี้สุดมาก แต่เวลาที่เศร้า จะเงียบ เครียด และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในบางครั้ง เคยเป็นหนักสุดรองจากฆ่าตัวตายคือปาข้าวของจนพัง มันพังแล้วก็ไปทำลายซ้ำ แต่พอผ่านจุดพีคไปก็ต้องมานั่งร้องไห้ที่ตัวเองทำลายข้าวของ (จำได้ดีคือชามข้าวมิกกี้เม้าส์ เราชอบมินนี่เม้าส์และ Stitch ตอนนั้นปาจนแตกละเอียดแล้วกลับมานั่งร้องไห้เพราะเป็นจานโปรดที่ใช้มาตั้งแต่เกิดจนโต ส่วนของใหญ่สุดที่ทำลายไปคือม้านั่งไม้สักแบบนั่งสองคน ฟาดแรงจนหัก โชคดีเหลือเกินที่เป็นช่างแล้วมีช่างไม้คนเก่งในทีมซ่อมมาให้ใช้ใหม่ㅠㅠ) คนภายนอกอาจมองว่าเราป่วยตามกระแส แต่เปล่าเลย อาการ #โรคซึมเศร้า ถ้ามาถึงจุดวนลูปฆ่าตัวตาย มี 10 ระดับคงอยู่ช่วง 8-10 แล้วซึ่งอันตรายมากค่ะ
ไม่กี่วันก่อน ... อาการเริ่มหนักขึ้นด้วย เคยคิดว่าการที่ยังสามารถควบคุมตัวเองได้จากการเป็น #โรคซึมเศร้า จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น ... แต่รู้แล้วค่ะว่า "ฉันคิดผิด" ㅠㅠ
เหตุเกิดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต วันนี้ซื้อของเยอะค่ะ เราแบ่งของในรถเข็นออกเป็น2คัน เราเข็นไปตามทางเท้าที่ทางห้างทำทางslopeไว้ให้ ส่วนรถเข็นอีกคัน แม่เป็นคนเข็น เราเดินนำแม่ไปที่รถก่อนตามทางเท้า เราจอดรถเข็นไว้ท้ายรถเพื่อรอเอาของใส่ แต่เราหันกลับไปหาแม่แล้วไม่เจอ พอเราหันหลังกลับไป เราเห็นแม่จะเข็นมาอีกทางคือลง slope แล้ววิ่งมาริมถนนเพื่อเข้าทางด้านหน้า ก็เลยวิ่งไปหาแม่เพื่อเข็นรถแม่แทน เข็นมายังไม่ถึงรถ ก็ได้ยินเสียงดัง "โครม!" ต้นเสียงคือรถเข็นที่เราจอดเอาไว้คันแรกพลิกข้างล้มใส่รถอีกคันพร้อมของในรถที่เทกระจาดออกมา ตอนนั้นวิ่งและพยายามจะเอารถขึ้นมา ตอนนั้นด้วยอาการที่เป็นอยู่ เลยจำอะไรไม่ค่ออยได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่พอรู้คือมีคนเข้ามาช่วย มีคนเข้ามาช่วย~4-5คน เข้ามาช่วยเก็บของบ้าง ช่วยยกรถเข็นบ้าง (รถหนักเพราะน้ำชาเขียวที่ซื้อไปตุนที่โรงงาน ลูกน้องชอบกิน) ตอนนั้นเราพยายามยกรถมีพี่ผู้ชายคนนึงพูดขึ้นมาว่า "เก็บของก่อนนะ แล้วค่อยยกรถขึ้น" (น่าจะประมาณนี้) และก็มีพี่ผู้หญิงช่วยเก็บของและพูดว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยนะ"
ประเด็นคือคำพูดของพี่ผู้ชายคนแรก เราไม่ได้ขานตอบ เอาแต่รีบก้มหน้าก้มตาเก็บของที่ตกเพราะกลัว (แต่ลึกๆคือรู้ว่าแม่ด่าแน่นอน) ส่วนคำพูดพี่ผู้หญิง เราไม่ได้ตอบเค้าเพราะก้มหน้าลงไปเก็บน้ำยาล้างจานใต้ท้องรถอีกคันที่รถล้มไปใส่ เลยไม่รู้ว่าพี่ผู้หญิงพูดกับแม่หรือกับเรา อ่อ .... มีอีกคำนึงด้วย "มากันสองคน รถสองคันใช่มั้ย?" นี่ก็ไม่ได้ตอบเพราะตอนนั้นเราไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ สมองประมวลผลผิดพลาดขั้นรุนแรงㅠㅠ หลังเก็บของ ตอนนั้นมี พนง. มาช่วยแล้วถามว่า "จะนำของขึ้นรถคันไหนครับ?"นี่เป็นคำถามเดียวที่เราตอบเค้า แต่ก็ตอบเหมือนคนไม่มีสติสักเท่าไหร่ด้วย
ระหว่างแม่จัดของท้ายรถ ตามสไตล์ของผู้ที่ไม่ทราบว่าเป็น #โรคซึมเศร้า ชนิดที่เริ่มกระทบต่อการใช้ชีวิตแล้ว ก็เริ่มสาดทุกอย่างต่อหน้าคนตรงนั้น "จำวันนี้ไปจนวันตายเลยนะ ไปตายห่าที่ไหนก็ไป กระโดดเอาตัวพุ่งให้รถชนสมองไหลไปเลยก็ได้ อี
ไอ้ลูกชั่ว..." เราก็ยืนฟังเค้าเฉยๆเลย มันเลยจุดของ "ความเจ็บปวด" ไปเป็น "ไม่รู้สึกอะไรเลย" ไม่รู้ว่าต้องอาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไร และไม่รู้ว่าต้องอยู่บนโลกต่อไปทำไม
เท่าที่มานั่งนึกได้คือแม่ว่าเรื่องจอดรถเข็นไม่ดีให้รถล้มใส่รถคนอื่น ทำให้แม่อับอาย และก็มีเรื่องไปรับของ ปณ แล้วแม่ไม่รู้ว่าเป็นของรีวิว แม่เป็นคนที่ประเภทไม่อยากให้เรามีความลับต่อกัน(แต่เวลาลูกพูดความจริง แม่ไม่เคยฟังเลย) จม. ทุกฉบับ ถ้าแม่รับ แม่จะแกะอ่านทุกฉบับแม้แต่ชื่อเรา เรื่องทำงานรีวิว แม่ไม่เคยสนับสนุน ออกแนวต่อต้านและดูถูก เพราะคิดว่าเป็นงาน "ขายตัว" ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเน็ตไอดอลกับบล็อกเกอร์ไม่เหมือนกัน เราเคยอธิบายแต่ไม่เป็นผล นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ไม่รับงานอีเว้นท์ เคยปฏิเสธงานถ่ายแบบ สัมภาษณ์ลงนิตยสาร เพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ แค่นั้นจริงๆ
กล่องรีวิวที่ไปรับมาวันนี้คือน้ำหอม W.Dressroom จากเกาหลี แต่แม่เจอเลยถาม สุดท้ายก็ต้องปิดเค้าว่ามันก็แค่กล่องแล้วเราก็หยิบไปทิ้งตรงนั้นเลย😭 แม่ก็ยังคงด่าซ้ำไปซ้ำมาว่า "อีชั่ว ลูกทรพี สารเลว .... ไปกราบ(อวัยวะเพศหญิง)กราบ(อวัยวะเพศชาย)ลูกคนอื่นโน่น..." เราก็ได้แต่ยืนนิ่งๆข้างรถ
กลับจากซื้อของก็มาทะเลาะกันอีก รวมๆคือ "ทำไมไม่ตอบคนที่มาช่วย มันชั่ว เห็นแก่ตัว..." แต่เปล่า ตอนนั้นสมองประมวลผลผิดพลาดมากㅠㅠ ถ้าเป็นบีคนเก่า จะเป็นคนที่เข้าไปช่วยคนอื่นเสมอ และเราก็จะขอบคุณ ชอบพูดคำว่าขอบคุณกับทุกคนที่ทำอะไรให้เล็กๆน้อยที่รู้สึกดี #นั่นแหละคนเก่า แต่พอเป็น #โรคซึมเศร้า ทุกอย่างเปลี่ยนหมด เก็บตัว ไม่ค่อยกล้าพูดกับใคร รู้สึกตัวเองตัวเล็กมาก ไม่มีประโยชน์ พูดออกมาทีคือฟังไม่ได้ หยาบขึ้น
ถามว่าพอเป็น #โรคซึมเศร้า เราพอใจมั้ย? ลึกๆคือเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด แปลกกว่าคนปกติ คนไม่ค่อยอยากคุย คุยด้วยก็เบื่อเพราะพูดไม่รู้เรื่อง รู้สึกเองว่าเราเป็นคนที่สังคมรังเกียจ #โรคซึมเศร้า ถ้าวันนึงเราคุมไม่ได้ แล้วเราเผลอไปทำร้ายใครขึ้นมา สร้างความเดือดร้อนให้คนใกล้ตัวอีก อย่างวันนั้น ในมุมมองของคนที่เข้ามาช่วยเราแต่เราไม่ได้ขอบคุณเขา ไม่แม้แต่จะตอบคำถาม พวกเขาจะรู้สึกยังไง? "อีนี่เห็นแก่ตัว ไม่น่าช่วยมันเลย"
"ตอนพวกเขามาช่วยนี่คิดอะไรอยู่ มายุ่งเรื่องของกูทำไม คิดแบบนี้ใช่มั้ย?" ต้องตอบแม่ไปว่าใช่เพราะเถียงไม่ได้ แต่...ㅠㅠ เราจำได้แม้กระทั่งสีเสื้อ ผมยาว รองเท้าผ้าใบ เป็นคนมีอายุ เรากลับมาจำได้ตอนที่ผ่านอาการช่วงนั้นไปแล้ว ยิ่งโทษตัวเองหนักไปอีก ตอนนั้นรู้แค่ว่าสมองประมวลผลผิดพลาดมาก ในหัวนี่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่แนวทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเลย
(ต่อในCommentค่ะ)
เนื่องด้วยการเสียชีวิตของแรงบันดาลใจอีก 1 คนสมัยเด็กของฉัน ฉันแค่มีบางอย่างอยากเล่าให้คุณฟัง
ในฐานะศิลปินและแฟนคลับ Chester ขาดกำลังใจและการยอมรับจากแฟนคลับ มีแฟนคลับบางคนที่ตามไปดูโชว์ของเขาแต่ไปในทาง "ด่าทอ" ชูป้าย ด่ากราด ... Chester ควรได้รับความรักในทาง Support อย่างน้อย ก็ให้หัวใจของ Chester รุ้สึกมีคุณค่า และไม่ดิ่งลงไปสู่ #โรคซึมเศร้า ถ้าฉันทำได้ คงอยากเข้าไปบีบมือเค้าและพูดว่า "I understand you all words you said."
ในฐานะคนที่ป่วยเป็น #โรคซึมเศร้า ด้วยกัน เราเคารพในการตัดสินใจของ Chester เขาต้องการพักจากปัญหาที่เหมือนมีระเบิดเวลาฝังในสมองตลอดเวลา เรารู้เพราะเราก็เป็น ... เราเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ Chester รู้สึกเมื่อกลับมาฟัง One More Light ใหม่อีกครั้ง ... มันเป็นจดหมายบอกลาผ่านเสียงเพลงที่ครบถ้วนกระบวนความที่สุด แต่ลึกๆแล้วเราก็เสียใจ... เราเหมือนสูญเสียเพื่อนร่วม"โรค"เดียวกันที่เค้าเป็นเหมือนแรงบันดาลใจสมัยเด็กๆของเราไป เพราะทุกวันนี้เราเป็นผู้ป่วยที่ในอีกแง่นึง เราเองก็เป็นคนที่ให้คำปรึกษาคนอื่น คอยแนะนำเพื่อนๆที่เป็นโรคเดียวกัน ... เพราะเราอยากให้เขาหาย ... การจากไปของ Chester เป็นเหมือนคนที่ทำให้เรารู้สึกล้มเหลวในการช่วยเหลือใครแต่ก็เป็นแรงฮึดให้เราต้องพยายามให้คำปรึกษาให้คนอื่นๆมากขึ้นเหมือนกัน
คนนอกสังคมของ "โรคซึมเศร้า" เค้าจะไม่มีทางเข้าใจอย่างถ่องแท้ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ... (เหมือนที่มีใครสักคนพยายามปรักปรำคนที่เป็นแบบเรามากมาย อย่างน้อยวันนี้ก็มีคนๆหนึ่งที่ทำพลาดอย่างรุนแรง และคำพูดนั้นอาจกระตุ้นให้เกิด Critical ได้ทุกเมื่อ....)
เราอยากบอกว่า "อยากให้ทุกคนใส่ใจกับความรู้สึกของคนรอบข้าง..." การทำร้ายหรือหักหาญน้ำใจกัน มันอาจจะเกิดขึ้นแล้วจบไป แต่กับคนเป็นโรคแบบนี้ ทุกสิ่งไม่เคยผ่านไปนะคะ เค้าจะจำและพอถึงจุดวิกฤต เค้าอาจจะหายไปเพราะมันคือคำตอบที่ดีที่สุดของเขา เหมือนที่ Chester คิด และเราเองก็เคยคิด...
Wishlistของชีวิตคือได้ไปดูคอนฯ Linkin Park สักครั้งใน นับจากวันนี้ไป ... ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว #RIPChesterBennington คุณได้พักแล้วนะ ;-;
------------------
ไหนๆก็พูดเรื่อง #โรคซึมเศร้า ช่วงนี้อุทิศตนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นแก่คนอื่น เนื่องจากมีช่วงที่เขียนงานไม่ได้อีกเลย มองว่างานที่ชอบเป็นเรื่องไม่สนุกแล้ว ... พอเล่าให้คนอื่นฟัง มีหลายคนที่กล้าที่จะพูด เราเองก็ดีใจแทน โพสนี้เลยขอรวมเอาสิ่งที่พูดใน twitter ทั้งหมด มาเล่าใหม่อีกรอบผ่านโพสนี้
เราแค่อยากให้คุณเข้าใจพวกเขาและอย่าที่จะมองพวกเราเป็นคนไม่มีความคิดหรือเป็นคนเลวร้าย พวกเราไม่ได้อยากเป็นคนไม่ดีในสายตาใคร แต่พวกเราแค่เลือกไม่ได้และเป็นไปแล้ว เท่านั้นเองค่ะ
========
นี่คือรูปเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2556 เคยวาดรูปนี้ตอนฟังเพลง Janus - Boyfriend
"Janus" คือเทพเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลง คือตัวแทนของการเริ่มต้นและสิ้นสุด คือตัวแทนของด้านมืดและด้านสว่างของมนุษย์ และยังเป็นที่มาของความหมายของ "การตีสองหน้า"
"지금 웃고 있지만 애써 참고 있어 난
떨리는 내 두 손을 힘껏 잡고 있어 난
속고 있는 거야 넌 괜찮다는 내 말에
등 뒤에서 눈물을 모두 쏟고 있어 난 ..."
ถึงต้องฝืนตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังยิ้มได้
ฉันกำมือทั้งสองไว้แน่น
ฉันโกหก บอกไปว่าฉันไม่เป็นไร
แต่เมื่อคุณจากไป ฉันต้องยืนปาดน้ำตา ...
มันมากกว่าภาพวาด มันลึกซึ้งกว่าสิ่งที่เห็น ... มันคือความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นในตอนนี้ ... "ทุกเรื่อง"
ตอนนั้นไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันคือจุดที่เริ่มชัดเจนของการเป็นโรคนี้ เราคิดว่าเราจัดการตัวเองได้ เรายังเด็ก เราสนุกสนานกับการใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่ชอบได้อยู่บ้างก็โอเค แต่อาการเริ่มหนักขึ้นจนราวๆปีนี้ที่มันชัดเจนที่สุด บีเขียนงานไม่ได้ เขียนดราฟไว้ก็เขียนแต่ไม่สามารถเขียนจบได้เลย เราจึงทำได้แค่ทำสิ่งตรงนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้ว....มันไม่เคยพอ เราต้องพยายามไปอีก อดทนไปอีก โกหกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอกจน ณ จุดๆหนึ่งเราสูญเสียตัวตนของเราไปเลย เปลี่ยนเป็นคนละคน และบางทีเหมือนเห็นภาพคนเก่าแบบวิญญาณขาวๆมองตัวเราเองในตอนนี้ .... ในละครเกาหลีที่เราไม่เคยเข้าใจโรคนี้มากมาย กลับกลายเป็นว่าเราเป็นเสียเอง เราเข้าใจเลยว่ามันทรมานตัวเองขนาดไหน?
ไม่มีใครทนฟังคำต่อว่าจากการกระทำที่หวังดีและคิดมาตั้งแต่แรกได้นาน คนที่ทนและเดินออกไปก่อน เค้ามีเหตุผล แต่มันก็มีที่สักวัน ... เค้าจะไม่ทน การพูดจาหักหาญน้ำใจต่อหน้าคนอื่น ยิ่งต่อหน้าคนใต้บังคับบัญชา โดยที่ไม่ได้มองว่าคนที่คุณด่าเขามาทำอะไร = คุณทำร้ายหัวใจของเขาไปครึ่งนึงแล้ว คนบางคนอดทนรับสิ่งที่ "ถูกกระทำ" ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาหลุดสู่มิติของคำว่า "ไม่ทน" "ความตาย" อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเขาก็ได้ สิ่งที่แย่กว่าการที่ผู้ป่วยเลือก "ฆ่าตัวตาย" คือทางออกที่ดีของเขาคือการที่สังคมภายนอกมองว่าเขา"ฆ่าตัวตาย"เพราะไม่คิด ไม่มีสมอง บีเคยผ่านจุดฆ่าตัวตายมาแล้ว(หลายครั้ง สารพัดวิธีแต่ไม่สำเร็จ) ตอนนั้นคิดว่า "ฉันอยากหนีออกไป ฉันไม่มีที่ยืนอีกแล้ว" และเริ่มคิดถึงคนที่ตายไปก่อนเรา (คนที่บีคิดถึงมากที่สุดคือ -พี่เมย์- พี่ชายของบีที่เสียไปก่อนหน้าที่บีจะเกิด บีมีแค่รูปตอนพี่ชายอายุแค่ขวบสองขวบเป็นรูปดูต่างหน้าเท่านั้น บางครั้งก็ด่าทอพี่ชายตัวเองว่าทำไมไม่รอน้อง ทำไมต้องปล่อยให้น้องรอ แต่หายครั้งที่กลัว ก็จะนึกถึงและบอกว่า "พี่ช่วยดูน้องด้วยนะ" ถ้าพี่ยังอยู่ เค้าคงอายุ30กว่าๆในตอนนี้)
พอเรารอดมาได้ เริ่มมีความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า แต่พอได้ยินใครสักคนพูดว่า "ทำอะไรไม่คิด โง่!" เราก็กลับมาหาวิธีฆ่าตัวตายใหม่ อาการที่เป็นอยู่จะคล้ายเหมือนสองขั้ว คือเวลาแฮปปี้จะแฮปปี้สุดมาก แต่เวลาที่เศร้า จะเงียบ เครียด และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในบางครั้ง เคยเป็นหนักสุดรองจากฆ่าตัวตายคือปาข้าวของจนพัง มันพังแล้วก็ไปทำลายซ้ำ แต่พอผ่านจุดพีคไปก็ต้องมานั่งร้องไห้ที่ตัวเองทำลายข้าวของ (จำได้ดีคือชามข้าวมิกกี้เม้าส์ เราชอบมินนี่เม้าส์และ Stitch ตอนนั้นปาจนแตกละเอียดแล้วกลับมานั่งร้องไห้เพราะเป็นจานโปรดที่ใช้มาตั้งแต่เกิดจนโต ส่วนของใหญ่สุดที่ทำลายไปคือม้านั่งไม้สักแบบนั่งสองคน ฟาดแรงจนหัก โชคดีเหลือเกินที่เป็นช่างแล้วมีช่างไม้คนเก่งในทีมซ่อมมาให้ใช้ใหม่ㅠㅠ) คนภายนอกอาจมองว่าเราป่วยตามกระแส แต่เปล่าเลย อาการ #โรคซึมเศร้า ถ้ามาถึงจุดวนลูปฆ่าตัวตาย มี 10 ระดับคงอยู่ช่วง 8-10 แล้วซึ่งอันตรายมากค่ะ
ไม่กี่วันก่อน ... อาการเริ่มหนักขึ้นด้วย เคยคิดว่าการที่ยังสามารถควบคุมตัวเองได้จากการเป็น #โรคซึมเศร้า จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น ... แต่รู้แล้วค่ะว่า "ฉันคิดผิด" ㅠㅠ
เหตุเกิดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต วันนี้ซื้อของเยอะค่ะ เราแบ่งของในรถเข็นออกเป็น2คัน เราเข็นไปตามทางเท้าที่ทางห้างทำทางslopeไว้ให้ ส่วนรถเข็นอีกคัน แม่เป็นคนเข็น เราเดินนำแม่ไปที่รถก่อนตามทางเท้า เราจอดรถเข็นไว้ท้ายรถเพื่อรอเอาของใส่ แต่เราหันกลับไปหาแม่แล้วไม่เจอ พอเราหันหลังกลับไป เราเห็นแม่จะเข็นมาอีกทางคือลง slope แล้ววิ่งมาริมถนนเพื่อเข้าทางด้านหน้า ก็เลยวิ่งไปหาแม่เพื่อเข็นรถแม่แทน เข็นมายังไม่ถึงรถ ก็ได้ยินเสียงดัง "โครม!" ต้นเสียงคือรถเข็นที่เราจอดเอาไว้คันแรกพลิกข้างล้มใส่รถอีกคันพร้อมของในรถที่เทกระจาดออกมา ตอนนั้นวิ่งและพยายามจะเอารถขึ้นมา ตอนนั้นด้วยอาการที่เป็นอยู่ เลยจำอะไรไม่ค่ออยได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่พอรู้คือมีคนเข้ามาช่วย มีคนเข้ามาช่วย~4-5คน เข้ามาช่วยเก็บของบ้าง ช่วยยกรถเข็นบ้าง (รถหนักเพราะน้ำชาเขียวที่ซื้อไปตุนที่โรงงาน ลูกน้องชอบกิน) ตอนนั้นเราพยายามยกรถมีพี่ผู้ชายคนนึงพูดขึ้นมาว่า "เก็บของก่อนนะ แล้วค่อยยกรถขึ้น" (น่าจะประมาณนี้) และก็มีพี่ผู้หญิงช่วยเก็บของและพูดว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยนะ"
ประเด็นคือคำพูดของพี่ผู้ชายคนแรก เราไม่ได้ขานตอบ เอาแต่รีบก้มหน้าก้มตาเก็บของที่ตกเพราะกลัว (แต่ลึกๆคือรู้ว่าแม่ด่าแน่นอน) ส่วนคำพูดพี่ผู้หญิง เราไม่ได้ตอบเค้าเพราะก้มหน้าลงไปเก็บน้ำยาล้างจานใต้ท้องรถอีกคันที่รถล้มไปใส่ เลยไม่รู้ว่าพี่ผู้หญิงพูดกับแม่หรือกับเรา อ่อ .... มีอีกคำนึงด้วย "มากันสองคน รถสองคันใช่มั้ย?" นี่ก็ไม่ได้ตอบเพราะตอนนั้นเราไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ สมองประมวลผลผิดพลาดขั้นรุนแรงㅠㅠ หลังเก็บของ ตอนนั้นมี พนง. มาช่วยแล้วถามว่า "จะนำของขึ้นรถคันไหนครับ?"นี่เป็นคำถามเดียวที่เราตอบเค้า แต่ก็ตอบเหมือนคนไม่มีสติสักเท่าไหร่ด้วย
ระหว่างแม่จัดของท้ายรถ ตามสไตล์ของผู้ที่ไม่ทราบว่าเป็น #โรคซึมเศร้า ชนิดที่เริ่มกระทบต่อการใช้ชีวิตแล้ว ก็เริ่มสาดทุกอย่างต่อหน้าคนตรงนั้น "จำวันนี้ไปจนวันตายเลยนะ ไปตายห่าที่ไหนก็ไป กระโดดเอาตัวพุ่งให้รถชนสมองไหลไปเลยก็ได้ อี ไอ้ลูกชั่ว..." เราก็ยืนฟังเค้าเฉยๆเลย มันเลยจุดของ "ความเจ็บปวด" ไปเป็น "ไม่รู้สึกอะไรเลย" ไม่รู้ว่าต้องอาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไร และไม่รู้ว่าต้องอยู่บนโลกต่อไปทำไม
เท่าที่มานั่งนึกได้คือแม่ว่าเรื่องจอดรถเข็นไม่ดีให้รถล้มใส่รถคนอื่น ทำให้แม่อับอาย และก็มีเรื่องไปรับของ ปณ แล้วแม่ไม่รู้ว่าเป็นของรีวิว แม่เป็นคนที่ประเภทไม่อยากให้เรามีความลับต่อกัน(แต่เวลาลูกพูดความจริง แม่ไม่เคยฟังเลย) จม. ทุกฉบับ ถ้าแม่รับ แม่จะแกะอ่านทุกฉบับแม้แต่ชื่อเรา เรื่องทำงานรีวิว แม่ไม่เคยสนับสนุน ออกแนวต่อต้านและดูถูก เพราะคิดว่าเป็นงาน "ขายตัว" ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเน็ตไอดอลกับบล็อกเกอร์ไม่เหมือนกัน เราเคยอธิบายแต่ไม่เป็นผล นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ไม่รับงานอีเว้นท์ เคยปฏิเสธงานถ่ายแบบ สัมภาษณ์ลงนิตยสาร เพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ แค่นั้นจริงๆ
กล่องรีวิวที่ไปรับมาวันนี้คือน้ำหอม W.Dressroom จากเกาหลี แต่แม่เจอเลยถาม สุดท้ายก็ต้องปิดเค้าว่ามันก็แค่กล่องแล้วเราก็หยิบไปทิ้งตรงนั้นเลย😭 แม่ก็ยังคงด่าซ้ำไปซ้ำมาว่า "อีชั่ว ลูกทรพี สารเลว .... ไปกราบ(อวัยวะเพศหญิง)กราบ(อวัยวะเพศชาย)ลูกคนอื่นโน่น..." เราก็ได้แต่ยืนนิ่งๆข้างรถ
กลับจากซื้อของก็มาทะเลาะกันอีก รวมๆคือ "ทำไมไม่ตอบคนที่มาช่วย มันชั่ว เห็นแก่ตัว..." แต่เปล่า ตอนนั้นสมองประมวลผลผิดพลาดมากㅠㅠ ถ้าเป็นบีคนเก่า จะเป็นคนที่เข้าไปช่วยคนอื่นเสมอ และเราก็จะขอบคุณ ชอบพูดคำว่าขอบคุณกับทุกคนที่ทำอะไรให้เล็กๆน้อยที่รู้สึกดี #นั่นแหละคนเก่า แต่พอเป็น #โรคซึมเศร้า ทุกอย่างเปลี่ยนหมด เก็บตัว ไม่ค่อยกล้าพูดกับใคร รู้สึกตัวเองตัวเล็กมาก ไม่มีประโยชน์ พูดออกมาทีคือฟังไม่ได้ หยาบขึ้น
ถามว่าพอเป็น #โรคซึมเศร้า เราพอใจมั้ย? ลึกๆคือเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด แปลกกว่าคนปกติ คนไม่ค่อยอยากคุย คุยด้วยก็เบื่อเพราะพูดไม่รู้เรื่อง รู้สึกเองว่าเราเป็นคนที่สังคมรังเกียจ #โรคซึมเศร้า ถ้าวันนึงเราคุมไม่ได้ แล้วเราเผลอไปทำร้ายใครขึ้นมา สร้างความเดือดร้อนให้คนใกล้ตัวอีก อย่างวันนั้น ในมุมมองของคนที่เข้ามาช่วยเราแต่เราไม่ได้ขอบคุณเขา ไม่แม้แต่จะตอบคำถาม พวกเขาจะรู้สึกยังไง? "อีนี่เห็นแก่ตัว ไม่น่าช่วยมันเลย"
"ตอนพวกเขามาช่วยนี่คิดอะไรอยู่ มายุ่งเรื่องของกูทำไม คิดแบบนี้ใช่มั้ย?" ต้องตอบแม่ไปว่าใช่เพราะเถียงไม่ได้ แต่...ㅠㅠ เราจำได้แม้กระทั่งสีเสื้อ ผมยาว รองเท้าผ้าใบ เป็นคนมีอายุ เรากลับมาจำได้ตอนที่ผ่านอาการช่วงนั้นไปแล้ว ยิ่งโทษตัวเองหนักไปอีก ตอนนั้นรู้แค่ว่าสมองประมวลผลผิดพลาดมาก ในหัวนี่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่แนวทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเลย
(ต่อในCommentค่ะ)