***(ความเจ็บปวดนี้เป็นความเจ็บปวดแบบ Stereotype)
ความคิดในการเขียนสเตตัสนี้ของผมเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังยืนโหนรถเมล์ครับ วันนั้นเป็นวันที่ผมทำงานที่ใหม่วันแรก หลังจากที่ทำงานอีกที่นึงมาได้ 1 ปี และเช่นกันผมย้ายที่อยู่ตามสถานที่ทำงานเพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิด คือการเจอกับรถเมลล์ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แออัดกันในนั้น ผมพยายามจะแทรกตัวเพื่อขึ้นไปให้ได้ราวกับมันเป็นรถคันสุดท้ายของชีวิต แต่พอขึ้นเสร็จผมมองออกไปข้างนอกกลับเลวร้ายยิ่งกว่า สภาพการจราจรข้างนอกทำให้ผมไม่รู้เลยว่าจะไปทำงานวันแรกทันหรือไม่ ผมไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง โดยเฉพาะตัวผมเอง ผมมีเวลาช่วงโปร 6 เดือนเพื่อพิสูจน์กับบริษัทว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับการรับเข้าทำงาน แต่ถ้าวันแรกผมไปสายมันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ระหว่างนั้นรถก็ค่อยๆเลื่อนไปเรื่อยๆราวกับ Hipster ที่ค่อยๆใช้ชีวิตไปอย่างใจเย็น พร้อมทั้งเยาะเย้ยถากถางว่าเราว่า “ก็ชอบนักหนิ ชีวิต Slow life”
มันเลยทำให้ผมกลับมาตั้งคำถามกับผู้คนที่อยู่รายรอบ ว่าสิ่งเหล่านี้หรือที่พวกเค้าต้องเจอกันทุกวัน เราต่างใช้เวลากับการเดินทางไปร่วม 3-4 ชม.ต่อวัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนบอกเราว่า เวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้พวกเค้าอดทนกับปัญหาที่เกิดขึ้น คุณค่าในชีวิตของพวกเค้าคืออะไร
สุดท้ายผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง นี่นะหรือสิ่งที่ผมต้องเจอไปอีกสิบๆปี (ถ้าผมทำงานที่นี่ไปจนกษียณ) อะไรจะเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่าให้ผมยึดถือต่อเหตุการณ์ที่ต้องเจอในแต่ละวัน อุดมการณ์มากมายที่มีมาตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัยจะหายไปมั้ย ผมจะเติบโตไปเป็นคนที่ผมเคยเกลียดหรือเปล่า เลยเถิดไปจนถึงสังคมแต่ละยุคสมัย ใช่ครับ ผมเป็น Gen Y วัยที่กำลังซ่า วัยที่กำลังเต็มไปด้วยพละกำลังที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและท้าท้ายความเชื่อเก่าๆ วัยที่บางครั้งการพิมพ์ก็ไวกว่าความคิด วัยที่คน Gen X ต้องปวดหัวว่าจะจัดการพวกเรายังไงให้อยู่กับร่องกับรอยและทำอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ซึ่งถ้าหากมองกันแล้ว ยุคของคน Gen X ถือว่าเป็นยุคที่มีความมั่นคงมากๆ ผู้คนมักจะมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ขีด(หรือถูกขีด)ไว้ว่าหากดำเนินตามนั้นแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งรายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำสมอ กับบทบาทและหน้าที่ที่มีกรอบเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าควรทำอะไร “วินัยและความอดทน” จึงเป็นสิ่งที่คน Gen X มักจะมี แต่กลับกันกับคนยุค Gen Y เรามักจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง เราเชื่อในความยุติธรรมทั้งในเชิงรายได้และกฏหมาย ทำมากยอมได้มาก ทำผิดต้องได้รับผิด เราเกลียดระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่มักจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและการผูกขาด เราเชิดชูคนที่ทำฝันเป็นจริงได้ด้วยตัวเอง เรารักในอิสระและพร้อมจะหลุดออกจากกรอบตราบใดที่มันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพราะเราพร้อมรับความเสี่ยงจากสิ่งที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราได้สร้างไว้ให้ เราเบื่อความมั่นคง เพราะชีวิตของเราไม่มีความมั่นคงเลยตั้งแต่รายได้ เป้าหมายในชีวิต จนถึงเรื่องความสัมพันธ์ เราเบื่อการเมือง ใช่ครับ เราหมดหวังกับรัฐบาลที่ทำอะไรให้เราไม่ได้นอกจากความมั่นคง ภายใต้โลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและการไม่ได้รับโอกาสให้เรียนรู้ เราไม่อยากขออะไรจากรัฐบาลทั้งนั้น เราเข้าใจว่าอำนาจย่อมตามมาด้วยการควบคุม แต่เราขอแค่อย่าทำอะไรให้เราเดือดร้อนไปมากกว่านี้ และหวังว่าวันนึงคนรุ่นเราจะไม่ทำซ้ำรอยเดิมอีก เราเคยต่อสู้กับความเชื่อของเรา แต่ตอนนี้เราเหนื่อยล้าจากความพ่ายแพ้ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เราทำอะไรได้ไม่มากนัก ใครคนนึงเคยบอกเราว่า อย่าเปลี่ยนความเชื่อของผู้ใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังทำลายสิ่งที่เค้าเชื่อมาทั้งชีวิต และตอนนี้เราเข้าใจมันแล้ว
คน Gen Y แม้จะเต็มไปด้วยความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่เล็กมากๆถ้าเทียบกับคน Gen X เราไม่เคยมีความฝันอยากจะได้บ้านหลังใหญ่ รถหรูคันงาม หรือครอบครัวที่เต็มไปด้วยลูกหลาน ไม่ใช่ว่าไม่อยากมี แต่เรารู้ว่าสังคมตอนนี้มันไม่เอื้อให้เราทำแบบนั้น เราฝันแค่ว่าอยากมีคอนโดหรือบ้านเล็กๆสักหลังที่เราสามารถเดินทางได้สะดวก มีครอบครัวเล็กๆ มีลูก 1 คน สุดสัปดาห์เราสามารถไปเที่ยวทั้งในและต่างประทศได้โดยไม่ขัดสน หรือบางครั้งเราก็ฝันอยากเดินทางไปรอบโลก มีงานที่เราสามารถทำได้ทุกที่ และมอบประสบการณ์ดีๆให้กับเรามากกว่าตัวเงิน (แต่เงินก็ต้องพอให้เราอยู่ได้นะ!) ซึ่งความจริงแล้วเราต่างมีจุดร่วมเดียวกันคือ "การมีคุณภาพชีวิตที่ดี"
เนื่องในโอกาสที่ทำงานครบ 1 ปี กับอายุ 23 ขวบ ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้คน gen Y อยู่รอดในอนาคตได้มีดังนี้ครับ
1. รู้ตัวเอง
ไปอ่านได้ในหนังสือชื่อ Future ของคุณภิญโญ หรือ Managing Oneself อ่านหนังสือเล่มบ้างนะ ไม่ใช่เอาแต่อ่านผ่านๆเฉพาะบทความในมือถือ
2. หา Comfort Zone ของตัวเองให้เจอ
ผมคิดว่าคำว่า Go out of Comfort Zone ที่คนมักพูดกัน มันใช้ไม่ได้แล้ว สังคม Gen Y เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ไม่ได้สนับสนุน Comfort Zone ใดๆเลยอยู่แล้ว แต่ในขณะดียวกัน Comfort Zone ในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะแต่ในเรื่องของรายได้และการดำเนินชีวิต แต่มันหมายถึงการรู้เท่าทันตัวเอง รู้ว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ตอนไหนควรเร่งตอนไหนควรพัก เป็น “สมดุลในชีวิต”ของแต่ละคนที่ต้องหาให้เจอ ไม่งั้นแล้วเราจะจมไปกับความรู้และข้อมูลมากมายที่พร้อมจะให้เราเสพ โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย รวมถึงหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะรับฟัง มีอุดมการณ์ และคิดทำสิ่งดีๆไปด้วยกัน รวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง หาสังคมแบบนั้นให้พบนะครับ ยุค Gen Y คือยุคแห่งความโดดเดี่ยว ที่บางครั้งเราก็เชื่อว่าเราอยู่คนดียวได้ แต่ผมว่าอยู่คนเดียวบางทีมันก็เหงานะครับ
ป.ล.เหตุผลจริงๆ ที่อยากให้หา Comfort Zone ให้เจอ คืออะไรที่คนส่วนใหญ่ทำ มันมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จ และอะไรที่คนไม่ทำก็จะโดดเด่นขึ้นมา ผมเลยพิมพ์แบบนี้เพื่อให้สเตตัสตัวเองมีความ Unique ขึ้นมาแทนครับ อิอิ
3. จงสร้างแทนการต่อสู้
ถ้าเชื่อในอะไรสักอย่าง จงสร้าง การต่อสู้ทางความคิดหรือเปลี่ยนความเชื่อใครสักคนเป็นเรื่องยากมากๆ คุณไม่อาจทำให้คนทั้งโลกคิดได้เหมือนคุณ (ง่ายๆแค่คิดเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ เราก็จอดตั้งแต่ในบ้านแล้ว) เช่นกันการบ่นหรือโต้เถียงคนในโซเชียล เน็ตเวิคไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะเติมเต็มอีโก้ที่มีเยอะอยู่แล้วให้มากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญคุณคิดจริงๆหรอว่าในสังคมมนุษย์ที่มีอายุราว 2 แสนปี สิ่งที่คุณคิดนั้นมันไม่มีคนคิดก่อนคุณ ดังนั้น สิ่งที่เราพอทำไดัเพื่อทำให้คนมาเชื่อในแบบดียวกับเราก็คือการสร้างสิ่งที่เราเชื่อ ให้เค้าเห็นผลลัพธ์และประโยชน์เพื่อที่ได้จะมาสร้างร่วมกัน คนเรามักจะไม่เปลี่ยนความคิดตราบใดที่มันยังไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจนหรอกครับ หาแนวร่วมให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่คำเสียดสีหรือเหน็บแหนบที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและคำแซะต่างๆ คุณคงไม่อยากรับฟังคนที่กำลังตะโกนด่าคุณอยู่ใช่มั้ย นอกจากนั้นการมีเพื่อนที่จะสร้างสิ่งที่เราเชื่อไปกับเราในช่วงตั้งต้นนี่ล่ะครับคือเรื่องสำคัญ หากคุณหาเจอแล้วก็รักษาเค้าให้ดีๆด้วยนะครับ (เหมือนตอนนี้ผมกำลังปลี่ยนความคิดของคุณยังไงยังนั้นลย 555)
สุดท้ายผมไม่รู้ว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับใคร มันอาจจะเป็นกระทู้เท่ห์ๆกระทู้นึงที่เต็มไปด้วยคนมาแสดงความเห็นพื่อสนับสนุนทั้งความเชื่อและอีโก้ของผม หรือเป็นกระทู้ที่ไม่มีใครอ่าน เป็นกระทู้บ่นๆของโนบอดี้คนนึงท่ามกลาผู้คนนับล้าน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าวันนึงผมจะได้กลับมาอ่านมันและคิดว่าอะไรกันที่ทำให้ผมถึงเชื่อแบบนั้น ทำไมถึงคิดได้ทั้งดีและแย่ขนาดนี้ ซึ่งมันจะเป็นทั้งเครื่องเตือนสติและความทรงจำ ว่าครั้งนึงเราเคยเป็นคนแบบนี้และเชื่อแบบนี้ ใช่ครับ สุดท้ายมันก็เติบเต็มและทำให้ผมเติบโตอยู่ดี
ความเจ็บปวดของคนหนุ่มสาว
ความคิดในการเขียนสเตตัสนี้ของผมเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังยืนโหนรถเมล์ครับ วันนั้นเป็นวันที่ผมทำงานที่ใหม่วันแรก หลังจากที่ทำงานอีกที่นึงมาได้ 1 ปี และเช่นกันผมย้ายที่อยู่ตามสถานที่ทำงานเพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิด คือการเจอกับรถเมลล์ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แออัดกันในนั้น ผมพยายามจะแทรกตัวเพื่อขึ้นไปให้ได้ราวกับมันเป็นรถคันสุดท้ายของชีวิต แต่พอขึ้นเสร็จผมมองออกไปข้างนอกกลับเลวร้ายยิ่งกว่า สภาพการจราจรข้างนอกทำให้ผมไม่รู้เลยว่าจะไปทำงานวันแรกทันหรือไม่ ผมไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง โดยเฉพาะตัวผมเอง ผมมีเวลาช่วงโปร 6 เดือนเพื่อพิสูจน์กับบริษัทว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับการรับเข้าทำงาน แต่ถ้าวันแรกผมไปสายมันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ระหว่างนั้นรถก็ค่อยๆเลื่อนไปเรื่อยๆราวกับ Hipster ที่ค่อยๆใช้ชีวิตไปอย่างใจเย็น พร้อมทั้งเยาะเย้ยถากถางว่าเราว่า “ก็ชอบนักหนิ ชีวิต Slow life”
มันเลยทำให้ผมกลับมาตั้งคำถามกับผู้คนที่อยู่รายรอบ ว่าสิ่งเหล่านี้หรือที่พวกเค้าต้องเจอกันทุกวัน เราต่างใช้เวลากับการเดินทางไปร่วม 3-4 ชม.ต่อวัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนบอกเราว่า เวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้พวกเค้าอดทนกับปัญหาที่เกิดขึ้น คุณค่าในชีวิตของพวกเค้าคืออะไร
สุดท้ายผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง นี่นะหรือสิ่งที่ผมต้องเจอไปอีกสิบๆปี (ถ้าผมทำงานที่นี่ไปจนกษียณ) อะไรจะเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่าให้ผมยึดถือต่อเหตุการณ์ที่ต้องเจอในแต่ละวัน อุดมการณ์มากมายที่มีมาตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัยจะหายไปมั้ย ผมจะเติบโตไปเป็นคนที่ผมเคยเกลียดหรือเปล่า เลยเถิดไปจนถึงสังคมแต่ละยุคสมัย ใช่ครับ ผมเป็น Gen Y วัยที่กำลังซ่า วัยที่กำลังเต็มไปด้วยพละกำลังที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและท้าท้ายความเชื่อเก่าๆ วัยที่บางครั้งการพิมพ์ก็ไวกว่าความคิด วัยที่คน Gen X ต้องปวดหัวว่าจะจัดการพวกเรายังไงให้อยู่กับร่องกับรอยและทำอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ซึ่งถ้าหากมองกันแล้ว ยุคของคน Gen X ถือว่าเป็นยุคที่มีความมั่นคงมากๆ ผู้คนมักจะมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ขีด(หรือถูกขีด)ไว้ว่าหากดำเนินตามนั้นแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งรายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำสมอ กับบทบาทและหน้าที่ที่มีกรอบเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าควรทำอะไร “วินัยและความอดทน” จึงเป็นสิ่งที่คน Gen X มักจะมี แต่กลับกันกับคนยุค Gen Y เรามักจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง เราเชื่อในความยุติธรรมทั้งในเชิงรายได้และกฏหมาย ทำมากยอมได้มาก ทำผิดต้องได้รับผิด เราเกลียดระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่มักจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและการผูกขาด เราเชิดชูคนที่ทำฝันเป็นจริงได้ด้วยตัวเอง เรารักในอิสระและพร้อมจะหลุดออกจากกรอบตราบใดที่มันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพราะเราพร้อมรับความเสี่ยงจากสิ่งที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราได้สร้างไว้ให้ เราเบื่อความมั่นคง เพราะชีวิตของเราไม่มีความมั่นคงเลยตั้งแต่รายได้ เป้าหมายในชีวิต จนถึงเรื่องความสัมพันธ์ เราเบื่อการเมือง ใช่ครับ เราหมดหวังกับรัฐบาลที่ทำอะไรให้เราไม่ได้นอกจากความมั่นคง ภายใต้โลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและการไม่ได้รับโอกาสให้เรียนรู้ เราไม่อยากขออะไรจากรัฐบาลทั้งนั้น เราเข้าใจว่าอำนาจย่อมตามมาด้วยการควบคุม แต่เราขอแค่อย่าทำอะไรให้เราเดือดร้อนไปมากกว่านี้ และหวังว่าวันนึงคนรุ่นเราจะไม่ทำซ้ำรอยเดิมอีก เราเคยต่อสู้กับความเชื่อของเรา แต่ตอนนี้เราเหนื่อยล้าจากความพ่ายแพ้ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เราทำอะไรได้ไม่มากนัก ใครคนนึงเคยบอกเราว่า อย่าเปลี่ยนความเชื่อของผู้ใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังทำลายสิ่งที่เค้าเชื่อมาทั้งชีวิต และตอนนี้เราเข้าใจมันแล้ว
คน Gen Y แม้จะเต็มไปด้วยความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่เล็กมากๆถ้าเทียบกับคน Gen X เราไม่เคยมีความฝันอยากจะได้บ้านหลังใหญ่ รถหรูคันงาม หรือครอบครัวที่เต็มไปด้วยลูกหลาน ไม่ใช่ว่าไม่อยากมี แต่เรารู้ว่าสังคมตอนนี้มันไม่เอื้อให้เราทำแบบนั้น เราฝันแค่ว่าอยากมีคอนโดหรือบ้านเล็กๆสักหลังที่เราสามารถเดินทางได้สะดวก มีครอบครัวเล็กๆ มีลูก 1 คน สุดสัปดาห์เราสามารถไปเที่ยวทั้งในและต่างประทศได้โดยไม่ขัดสน หรือบางครั้งเราก็ฝันอยากเดินทางไปรอบโลก มีงานที่เราสามารถทำได้ทุกที่ และมอบประสบการณ์ดีๆให้กับเรามากกว่าตัวเงิน (แต่เงินก็ต้องพอให้เราอยู่ได้นะ!) ซึ่งความจริงแล้วเราต่างมีจุดร่วมเดียวกันคือ "การมีคุณภาพชีวิตที่ดี"
เนื่องในโอกาสที่ทำงานครบ 1 ปี กับอายุ 23 ขวบ ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้คน gen Y อยู่รอดในอนาคตได้มีดังนี้ครับ
1. รู้ตัวเอง
ไปอ่านได้ในหนังสือชื่อ Future ของคุณภิญโญ หรือ Managing Oneself อ่านหนังสือเล่มบ้างนะ ไม่ใช่เอาแต่อ่านผ่านๆเฉพาะบทความในมือถือ
2. หา Comfort Zone ของตัวเองให้เจอ
ผมคิดว่าคำว่า Go out of Comfort Zone ที่คนมักพูดกัน มันใช้ไม่ได้แล้ว สังคม Gen Y เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ไม่ได้สนับสนุน Comfort Zone ใดๆเลยอยู่แล้ว แต่ในขณะดียวกัน Comfort Zone ในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะแต่ในเรื่องของรายได้และการดำเนินชีวิต แต่มันหมายถึงการรู้เท่าทันตัวเอง รู้ว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ตอนไหนควรเร่งตอนไหนควรพัก เป็น “สมดุลในชีวิต”ของแต่ละคนที่ต้องหาให้เจอ ไม่งั้นแล้วเราจะจมไปกับความรู้และข้อมูลมากมายที่พร้อมจะให้เราเสพ โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย รวมถึงหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะรับฟัง มีอุดมการณ์ และคิดทำสิ่งดีๆไปด้วยกัน รวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง หาสังคมแบบนั้นให้พบนะครับ ยุค Gen Y คือยุคแห่งความโดดเดี่ยว ที่บางครั้งเราก็เชื่อว่าเราอยู่คนดียวได้ แต่ผมว่าอยู่คนเดียวบางทีมันก็เหงานะครับ
ป.ล.เหตุผลจริงๆ ที่อยากให้หา Comfort Zone ให้เจอ คืออะไรที่คนส่วนใหญ่ทำ มันมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จ และอะไรที่คนไม่ทำก็จะโดดเด่นขึ้นมา ผมเลยพิมพ์แบบนี้เพื่อให้สเตตัสตัวเองมีความ Unique ขึ้นมาแทนครับ อิอิ
3. จงสร้างแทนการต่อสู้
ถ้าเชื่อในอะไรสักอย่าง จงสร้าง การต่อสู้ทางความคิดหรือเปลี่ยนความเชื่อใครสักคนเป็นเรื่องยากมากๆ คุณไม่อาจทำให้คนทั้งโลกคิดได้เหมือนคุณ (ง่ายๆแค่คิดเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ เราก็จอดตั้งแต่ในบ้านแล้ว) เช่นกันการบ่นหรือโต้เถียงคนในโซเชียล เน็ตเวิคไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะเติมเต็มอีโก้ที่มีเยอะอยู่แล้วให้มากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญคุณคิดจริงๆหรอว่าในสังคมมนุษย์ที่มีอายุราว 2 แสนปี สิ่งที่คุณคิดนั้นมันไม่มีคนคิดก่อนคุณ ดังนั้น สิ่งที่เราพอทำไดัเพื่อทำให้คนมาเชื่อในแบบดียวกับเราก็คือการสร้างสิ่งที่เราเชื่อ ให้เค้าเห็นผลลัพธ์และประโยชน์เพื่อที่ได้จะมาสร้างร่วมกัน คนเรามักจะไม่เปลี่ยนความคิดตราบใดที่มันยังไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจนหรอกครับ หาแนวร่วมให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่คำเสียดสีหรือเหน็บแหนบที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและคำแซะต่างๆ คุณคงไม่อยากรับฟังคนที่กำลังตะโกนด่าคุณอยู่ใช่มั้ย นอกจากนั้นการมีเพื่อนที่จะสร้างสิ่งที่เราเชื่อไปกับเราในช่วงตั้งต้นนี่ล่ะครับคือเรื่องสำคัญ หากคุณหาเจอแล้วก็รักษาเค้าให้ดีๆด้วยนะครับ (เหมือนตอนนี้ผมกำลังปลี่ยนความคิดของคุณยังไงยังนั้นลย 555)
สุดท้ายผมไม่รู้ว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับใคร มันอาจจะเป็นกระทู้เท่ห์ๆกระทู้นึงที่เต็มไปด้วยคนมาแสดงความเห็นพื่อสนับสนุนทั้งความเชื่อและอีโก้ของผม หรือเป็นกระทู้ที่ไม่มีใครอ่าน เป็นกระทู้บ่นๆของโนบอดี้คนนึงท่ามกลาผู้คนนับล้าน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าวันนึงผมจะได้กลับมาอ่านมันและคิดว่าอะไรกันที่ทำให้ผมถึงเชื่อแบบนั้น ทำไมถึงคิดได้ทั้งดีและแย่ขนาดนี้ ซึ่งมันจะเป็นทั้งเครื่องเตือนสติและความทรงจำ ว่าครั้งนึงเราเคยเป็นคนแบบนี้และเชื่อแบบนี้ ใช่ครับ สุดท้ายมันก็เติบเต็มและทำให้ผมเติบโตอยู่ดี