จขกท. เข้าใจถูกหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของชาวสยาม/ไทยสมัยก่อน

อยากทราบว่า จขกท. เข้าใจถูกหรือเปล่า กับเรื่องอาหารการกินของชาวสยาม/ไทยสมัยก่อน ประเด็นในกระทู้นี้จะเน้นไปที่เนื้อสัตว์เป็นหลัก

อาหารหลักของชาวสยาม/ไทยนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันคือข้าว กับข้าวสมัยก่อนมักเน้นไปที่ผัก กับเนื้อสัตว์ที่มักจะเป็นสัตว์น้ำเป็นหลัก คือกุ้ง หอย ปู ปลา ที่หาได้ตามแม่น้ำลำคลอง โดยปลาน่าจะเป็นเนื้อที่กินกันมากที่สุด จนมีคำพูดในภาษาไทยเลยว่า "กินข้าวกินปลา"

(อันนี้ได้ยินมาจากคุณพ่อผสมกับการสันนิษฐานของ จขกท. เอง) ส่วนเนื้อสัตว์อื่นๆ อย่างเนื้อเป็ด เนื้อไก่ มักจะทำกินกันนานๆครั้งและมักเป็นโอกาสพิเศษ เช่น มีแขกมาเยี่ยมบ้าน หรือมีงานต่างๆ มีคนเคยบอกประมาณว่า CP เก่งที่สามารถทำให้เนื้อไก่กลายเป็นของกินเล่นได้ ทั้งที่ในอดีตไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่นานๆทีจะได้กินกัน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ส่วนเนื้อสัตว์ใหญ่อย่างเนื้อวัวเนื้อควาย จะนานๆทีถึงจะทำกินกัน มักทำกินในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือมีเหตุจำเป็นจริงๆ เนื่องจากมองว่าเป็นสัตว์มีบุญคุณช่วยในการเพาะปลูก และอีกประการคือเป็นปัจจัยในการผลิตที่สำคัญสำหรับการปลูกข้าว มีราคาแพง จึงไม่ทำกินกันบ่อย หากบ้านไหนสามารถทำเนื้อวัวเนื้อควายกินในช่วงเทศกาลได้มากแสดงว่าบ้านไหนถือว่าเป็นบ้านใหญ่ มีฐานะ มีหน้ามีตาในชุมชนนั้นๆ สำหรับเนื้อวัวเนื้อควายที่ขายกันในสมัยก่อน เดาว่าส่วนหนึ่งทำโดยชาวมุสลิม ซึ่งมักทำเนื้อหรืออาหารต่างๆ ทานกันเอง แล้วก็ขาย

สำหรับเนื้อหมูนั้น จขกท. เดาว่าน่าจะเป็นอาหารที่ชาวสยามกินตามชาวจีนที่อพยพเข้ามา ในตอนที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามให้มีการคิดค้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายชาตินิยม ส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่าเป็นไทย (เท่าที่อ่านมา) คือไม่ใส่เนื้อหมู ที่ตอนนั้นยังถูกมองว่าเป็นอาหารของชาวจีนอยู่ โดยชาวจีนในยุคนั้นเองก็ยังไม่ได้ผสมกลืนกลายกับสังคมไทยมากเท่าในปัจจุบัน

จำได้ว่าเคยอ่านเรื่อง "จดหมายจากเมืองไทย" ของ อ.โบตั๋น ตอนที่อึ้งกิม (เพื่อนของตัน ส่วงอู๋ ตัวละครเอกของเรื่อง) จะไปขอผู้หญิงไทยแต่งงาน พ่อกับแม่ของผู้หญิงก็คุยกันว่าจะเอาอย่างไรดี มีอยู่ประโยคหนึ่งพูดประมาณว่า "เป็นลูกสะใภ้คนจีนก็ดีสิ ได้กินไก่กินหมู" แสดงว่าเมื่อสัก 60 - 70 กว่าปีก่อนชาวไทยเองก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์อื่นๆนอกจากสัตว์น้ำมากมายนักแบบในปัจจุบัน

ประมาณนี้ หากใครมีข้อมูลหรือความเห็นประการใดลองมาแสดงความเห็นกันดูครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
"ในตอนที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามให้มีการคิดค้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายชาตินิยม"

- จอมพลแปลก สนับสนุนให้ขายก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยว เนื่องมาจากในประประชุมสภาครั้งหนึ่ง มีการเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวที่ทำโดยคนไทยเอง ก๋วยเตี๋ยวที่ว่านีคือก๋วยเตี๋ยวแห้งและน้ำ แบบที่เรากินกันทุกวันนี้ ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย

ลองอ่านจากวิกิ ------------------

ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายรัฐนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนบริโภคก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจอมพล ป. เห็นว่าหากประชาชนหันมาร่วมกันบริโภคก๋วยเตี๋ยว จะเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติในตอนนั้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนในประเทศ ดังคำกล่าวของจอมพล ป. ในสมัยนั้นว่า
    
    อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยว มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละ หนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้น ก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกันไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยขน์เต็มที่ในค่าของเงิน — จอมพล ป.พิบูลสงคราม

สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นช่วงหลังสงครามครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างในคนทุกระดับชั้น การรณรงค์ให้บริโภคก๋วยเตี๋ยวถือว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยนั้น

สำหรับส่วนประกอบของก๋วยเตี๋ยวนั้น ตั้งแต่ประเทศไทยรับเอาอิทธิพลบริโภคก๋วยเตี๋ยวมาจากชาวจีน จะไม่มีการใส่ถั่วงอกลวกในก๋วยเตี๋ยวดังเช่นในปัจจุบัน แต่การใส่ถั่วงอกเกิดจากแนวความคิดและนโยบายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ลองนำถั่วงอกใส่เพิ่มเข้าไปเมื่อรับประทานแล้วรสชาดอร่อย จึงสั่งให้ใส่ถั่วงอกเพิ่มเข้าไปในก๋วยเตี๋ยวด้วย และที่สำคัญเป็นการเพิ่มอาชีพเพาะถั่วงอกขาย เพื่อให้มารองรับนโยบายสนับสนุนให้คนไทยบริโภคก๋วยเตี๋ยว จึงถือได้ว่าก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยเพิ่งจะใส่ถั่วงอกเพิ่มในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นี่เอง

--------------------------------

อาหารหลักของไทยนั้นคือข้าว และมี กับข้าว คือของที่กินกับข้าว มีรสจัดกว่าข้าวซึ่งจืดๆ มีของแนมกับข้าว เช่นผักต่างๆ แต่คนไทยไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่มากนัก เนื่องจากหายาก แต่สมัยเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหมูและไก่เป็นของแพง ไข่ไก่ก็แพง ปลาน้ำจืดและปลาทะเลเป็นอาหารที่หากินได้ง่ายกว่า ถูกกว่า ถึงกับกล่าวว่าปลาทูเป็นอาหารของคนจน และมีไว้คลุกข้าวให้แมวกิน แต่สมัยนี้ปลาทูตัวใหญ่ๆแพงขนาดคนจนกินไม่ไหวแล้ว

-------------------------------

ลองอ่าน กาพย์เห่เรือ ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ก็พอจะเห็นรายการอาหารของคนไทยในสมุยก่อนๆ

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ                 นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                     เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                 พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน             อกให้หวนแสวง ๚   

๏ มัสมั่นแกงแก้วตา             หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง                แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด               วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา                     ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม        เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน                     ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส         พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น             วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย             ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง             เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน               ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า        ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม     ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ         รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น                เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม               แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ           ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด             ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม             สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง         นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า       รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์                ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด                 โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง               เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า             ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ           ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง       เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน             ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น                 เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี                โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที                         สมรแม่ มาแม
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม            เพียบแอ้อกอร ๚

๏ สังขยาหน้าตั้งไข่                 ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง             แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ                แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ                     ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                   โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร               น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ               ขนมนามนี้ยังแคลง
๏ ลุดตี่นี้น่าชม                         แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง                       แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ                   งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย                     ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๏ รสรักยักลำนำ                         ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน                     เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด           สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม                       ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน                 เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล                     เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง                    เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง                         ยังยินดีด้วยมีรัง
๏ ทองหยอดทอดสนิท                ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง                         แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ                    ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง                       สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม                 คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล                    สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส                 หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม                            หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย                เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์             เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่