สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
"ในตอนที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามให้มีการคิดค้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายชาตินิยม"
- จอมพลแปลก สนับสนุนให้ขายก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยว เนื่องมาจากในประประชุมสภาครั้งหนึ่ง มีการเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวที่ทำโดยคนไทยเอง ก๋วยเตี๋ยวที่ว่านีคือก๋วยเตี๋ยวแห้งและน้ำ แบบที่เรากินกันทุกวันนี้ ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ลองอ่านจากวิกิ ------------------
ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายรัฐนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนบริโภคก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจอมพล ป. เห็นว่าหากประชาชนหันมาร่วมกันบริโภคก๋วยเตี๋ยว จะเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติในตอนนั้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนในประเทศ ดังคำกล่าวของจอมพล ป. ในสมัยนั้นว่า
อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยว มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละ หนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้น ก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกันไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยขน์เต็มที่ในค่าของเงิน — จอมพล ป.พิบูลสงคราม
สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นช่วงหลังสงครามครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างในคนทุกระดับชั้น การรณรงค์ให้บริโภคก๋วยเตี๋ยวถือว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยนั้น
สำหรับส่วนประกอบของก๋วยเตี๋ยวนั้น ตั้งแต่ประเทศไทยรับเอาอิทธิพลบริโภคก๋วยเตี๋ยวมาจากชาวจีน จะไม่มีการใส่ถั่วงอกลวกในก๋วยเตี๋ยวดังเช่นในปัจจุบัน แต่การใส่ถั่วงอกเกิดจากแนวความคิดและนโยบายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ลองนำถั่วงอกใส่เพิ่มเข้าไปเมื่อรับประทานแล้วรสชาดอร่อย จึงสั่งให้ใส่ถั่วงอกเพิ่มเข้าไปในก๋วยเตี๋ยวด้วย และที่สำคัญเป็นการเพิ่มอาชีพเพาะถั่วงอกขาย เพื่อให้มารองรับนโยบายสนับสนุนให้คนไทยบริโภคก๋วยเตี๋ยว จึงถือได้ว่าก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยเพิ่งจะใส่ถั่วงอกเพิ่มในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นี่เอง
--------------------------------
อาหารหลักของไทยนั้นคือข้าว และมี กับข้าว คือของที่กินกับข้าว มีรสจัดกว่าข้าวซึ่งจืดๆ มีของแนมกับข้าว เช่นผักต่างๆ แต่คนไทยไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่มากนัก เนื่องจากหายาก แต่สมัยเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหมูและไก่เป็นของแพง ไข่ไก่ก็แพง ปลาน้ำจืดและปลาทะเลเป็นอาหารที่หากินได้ง่ายกว่า ถูกกว่า ถึงกับกล่าวว่าปลาทูเป็นอาหารของคนจน และมีไว้คลุกข้าวให้แมวกิน แต่สมัยนี้ปลาทูตัวใหญ่ๆแพงขนาดคนจนกินไม่ไหวแล้ว
-------------------------------
ลองอ่าน กาพย์เห่เรือ ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ก็พอจะเห็นรายการอาหารของคนไทยในสมุยก่อนๆ
๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกให้หวนแสวง ๚
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚
๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที สมรแม่ มาแม
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม เพียบแอ้อกอร ๚
๏ สังขยาหน้าตั้งไข่ ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนี้ยังแคลง
๏ ลุดตี่นี้น่าชม แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๏ รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง ยังยินดีด้วยมีรัง
๏ ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚
- จอมพลแปลก สนับสนุนให้ขายก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยว เนื่องมาจากในประประชุมสภาครั้งหนึ่ง มีการเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวที่ทำโดยคนไทยเอง ก๋วยเตี๋ยวที่ว่านีคือก๋วยเตี๋ยวแห้งและน้ำ แบบที่เรากินกันทุกวันนี้ ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ลองอ่านจากวิกิ ------------------
ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายรัฐนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนบริโภคก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจอมพล ป. เห็นว่าหากประชาชนหันมาร่วมกันบริโภคก๋วยเตี๋ยว จะเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติในตอนนั้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนในประเทศ ดังคำกล่าวของจอมพล ป. ในสมัยนั้นว่า
อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยว มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละ หนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้น ก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกันไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยขน์เต็มที่ในค่าของเงิน — จอมพล ป.พิบูลสงคราม
สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นช่วงหลังสงครามครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างในคนทุกระดับชั้น การรณรงค์ให้บริโภคก๋วยเตี๋ยวถือว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยนั้น
สำหรับส่วนประกอบของก๋วยเตี๋ยวนั้น ตั้งแต่ประเทศไทยรับเอาอิทธิพลบริโภคก๋วยเตี๋ยวมาจากชาวจีน จะไม่มีการใส่ถั่วงอกลวกในก๋วยเตี๋ยวดังเช่นในปัจจุบัน แต่การใส่ถั่วงอกเกิดจากแนวความคิดและนโยบายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ลองนำถั่วงอกใส่เพิ่มเข้าไปเมื่อรับประทานแล้วรสชาดอร่อย จึงสั่งให้ใส่ถั่วงอกเพิ่มเข้าไปในก๋วยเตี๋ยวด้วย และที่สำคัญเป็นการเพิ่มอาชีพเพาะถั่วงอกขาย เพื่อให้มารองรับนโยบายสนับสนุนให้คนไทยบริโภคก๋วยเตี๋ยว จึงถือได้ว่าก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยเพิ่งจะใส่ถั่วงอกเพิ่มในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นี่เอง
--------------------------------
อาหารหลักของไทยนั้นคือข้าว และมี กับข้าว คือของที่กินกับข้าว มีรสจัดกว่าข้าวซึ่งจืดๆ มีของแนมกับข้าว เช่นผักต่างๆ แต่คนไทยไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่มากนัก เนื่องจากหายาก แต่สมัยเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหมูและไก่เป็นของแพง ไข่ไก่ก็แพง ปลาน้ำจืดและปลาทะเลเป็นอาหารที่หากินได้ง่ายกว่า ถูกกว่า ถึงกับกล่าวว่าปลาทูเป็นอาหารของคนจน และมีไว้คลุกข้าวให้แมวกิน แต่สมัยนี้ปลาทูตัวใหญ่ๆแพงขนาดคนจนกินไม่ไหวแล้ว
-------------------------------
ลองอ่าน กาพย์เห่เรือ ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ก็พอจะเห็นรายการอาหารของคนไทยในสมุยก่อนๆ
๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกให้หวนแสวง ๚
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚
๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที สมรแม่ มาแม
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม เพียบแอ้อกอร ๚
๏ สังขยาหน้าตั้งไข่ ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนี้ยังแคลง
๏ ลุดตี่นี้น่าชม แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๏ รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง ยังยินดีด้วยมีรัง
๏ ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚
แสดงความคิดเห็น
จขกท. เข้าใจถูกหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของชาวสยาม/ไทยสมัยก่อน
อาหารหลักของชาวสยาม/ไทยนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันคือข้าว กับข้าวสมัยก่อนมักเน้นไปที่ผัก กับเนื้อสัตว์ที่มักจะเป็นสัตว์น้ำเป็นหลัก คือกุ้ง หอย ปู ปลา ที่หาได้ตามแม่น้ำลำคลอง โดยปลาน่าจะเป็นเนื้อที่กินกันมากที่สุด จนมีคำพูดในภาษาไทยเลยว่า "กินข้าวกินปลา"
(อันนี้ได้ยินมาจากคุณพ่อผสมกับการสันนิษฐานของ จขกท. เอง) ส่วนเนื้อสัตว์อื่นๆ อย่างเนื้อเป็ด เนื้อไก่ มักจะทำกินกันนานๆครั้งและมักเป็นโอกาสพิเศษ เช่น มีแขกมาเยี่ยมบ้าน หรือมีงานต่างๆ มีคนเคยบอกประมาณว่า CP เก่งที่สามารถทำให้เนื้อไก่กลายเป็นของกินเล่นได้ ทั้งที่ในอดีตไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่นานๆทีจะได้กินกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนเนื้อสัตว์ใหญ่อย่างเนื้อวัวเนื้อควาย จะนานๆทีถึงจะทำกินกัน มักทำกินในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือมีเหตุจำเป็นจริงๆ เนื่องจากมองว่าเป็นสัตว์มีบุญคุณช่วยในการเพาะปลูก และอีกประการคือเป็นปัจจัยในการผลิตที่สำคัญสำหรับการปลูกข้าว มีราคาแพง จึงไม่ทำกินกันบ่อย หากบ้านไหนสามารถทำเนื้อวัวเนื้อควายกินในช่วงเทศกาลได้มากแสดงว่าบ้านไหนถือว่าเป็นบ้านใหญ่ มีฐานะ มีหน้ามีตาในชุมชนนั้นๆ สำหรับเนื้อวัวเนื้อควายที่ขายกันในสมัยก่อน เดาว่าส่วนหนึ่งทำโดยชาวมุสลิม ซึ่งมักทำเนื้อหรืออาหารต่างๆ ทานกันเอง แล้วก็ขาย
สำหรับเนื้อหมูนั้น จขกท. เดาว่าน่าจะเป็นอาหารที่ชาวสยามกินตามชาวจีนที่อพยพเข้ามา ในตอนที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามให้มีการคิดค้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายชาตินิยม ส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่าเป็นไทย (เท่าที่อ่านมา) คือไม่ใส่เนื้อหมู ที่ตอนนั้นยังถูกมองว่าเป็นอาหารของชาวจีนอยู่ โดยชาวจีนในยุคนั้นเองก็ยังไม่ได้ผสมกลืนกลายกับสังคมไทยมากเท่าในปัจจุบัน
จำได้ว่าเคยอ่านเรื่อง "จดหมายจากเมืองไทย" ของ อ.โบตั๋น ตอนที่อึ้งกิม (เพื่อนของตัน ส่วงอู๋ ตัวละครเอกของเรื่อง) จะไปขอผู้หญิงไทยแต่งงาน พ่อกับแม่ของผู้หญิงก็คุยกันว่าจะเอาอย่างไรดี มีอยู่ประโยคหนึ่งพูดประมาณว่า "เป็นลูกสะใภ้คนจีนก็ดีสิ ได้กินไก่กินหมู" แสดงว่าเมื่อสัก 60 - 70 กว่าปีก่อนชาวไทยเองก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์อื่นๆนอกจากสัตว์น้ำมากมายนักแบบในปัจจุบัน
ประมาณนี้ หากใครมีข้อมูลหรือความเห็นประการใดลองมาแสดงความเห็นกันดูครับ