ผู้ปฏิบัติธรรม จริงๆ
( ไม่ได้โลกสวย แต่รู้โลก )
หลายคนอาจรู้สึกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมมองโลกสวย
แท้ที่จริงแล้ว คิดกันไปเอง ติกันไปเอง
ผมได้ไปรบกะ ฟักโกสต์ ชุกคิดขึ้นมาได้ ( คำว่าอย่าโลกสวย )
ฟักโกสต์เขาเชื่อว่า คนทรงเจ้าหลอกลวง ว่าสิ่งงมงายหลอกลวง
แท้ที่จริงแล้ว เราไม่เห็นความจริงถึงจิตใจมนุษย์เราเองต่างหากไปยึดถือสิ่งต่างๆมาก
มนุษย์เราอยู่บนความหลอกลวงทั้งสิ้น
อย่างเช่น มือถือ สินค้าไอที หรือสิ่งอื่นๆลองสังเกตุดู แม้แต่ในสังคมก็ตาม
หรือแม้กระทั่งบุหรี่ ทั้งๆที่สูบบุหรี่ รู้ทั้งรู้ว่าจะตาย มันก็ยังสูบ
หรือแม้กระทั่งกินเหล้า รู้ว่ากินแล้ว ตับแข็ง รู้ทั้งรู้ว่าจะตาย ก็ยังกิน .
นี้มันไม่หลอกลวงหรอ หลอกลวงตัวเอง หรืออยากไปได้ความสุขก็ไปหลอกคนอื่น ( ผมก็เป็น ไม่ใช่ไม่เป็น ผิดแล้วรู้ )
สรุป ไม่ได้โลกสวย แต่รู้โลก รู้ภายในจิตในใจเป็นอย่างดี
ทุกอย่างล้วนแล้ว มีเหตุ
อนัตตา บังคับไม่ได้ มันเป็นไปเอง
คือ กายกับใจ
อย่างเช่น เรากลัวผี ถ้าไปเดินไปที่มืด ก็จะเกิดความรู้สึกกลัวผีทันที
เพราะจิตมันเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะผู้ใหญ่หลอกผีมาเรามาตั้งแต่เด็ก พอไปที่มืดเลยรู้สึกกลัวผีด้วยความจำตั้งแต่เด็กคือความรู้สึก
ไม่ใช่ไปทำใจไม่ให้กลัว ว่า สิ่งนั้นงมงาย
แต่ให้รู้ ภายในจิตในใจเรา มันเป็นอนัตตา พอถูกสิ่งที่จดจำมา
มันเป็นไปเอง
รู้ว่าความรู้สึกกลัวผีมา
เราจะสั่งตัวเราเองได้ไหม ไม่ให้มันกลัวผี มันก็กลัว
หรือเราจะสั่งไม่ให้ฝันได้ไหม หรือเราจะสั่งให้ฝันดี ฝันมีแต่ความสุข เรายังสั่งไม่ได้เลย
นี้เราไปยึดความคิดมากไป มันเลยบ้ากันไปใหญ่
เรายังไม่รู้เลย ว่า จักวาลสิ้นสุดที่ไหน
นี้ถ้า นรกมีจริง มันไม่ซวยหรอ
แต่มีข้อพิสูจน์ได้ คือ ธรรมของสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทางของศาสนาพุทธ เป็นปัญญา ไม่ใช่ความคิดยึดในหลักเหตุผลของความดีหรือความชั่ว
และเป็น ศาสตร์ทางสายกลางอย่างปราณีต ที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ผมเองปฏิบัติธรรม แต่ผมก็ยังไหว้พระจีน อยู่ก็เพราะ ผมทำมาตั้งแต่เด็ก นี้คือ สายกลาง
สายกลางเราเป็นยังไง ก็รู้เป็นอย่างนั้น อยู่ระหว่างกลางของยุคๆนั้น
เชื่อและไม่เชื่อจนกว่าทดสอบด้วยตัวเอง
ผมไม่ยอมจะให้คนอื่นลงนรกด้วย ลงอุบายด้วย ถ้าสอนบอกคนผิดๆ รู้ไม่จริง
แล้วทำให้คนอื่นเดือนร้อนกันไปด้วยความคิดตัวเองยึดถือมากเกินไป
ก็จะเกิดกรรมอันภายภาคหน้าได้
แต่วิธีหนทางมีอยู่คือ การเรียนรู้กายรู้ใจ
ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้มองว่าโลกสวย รู้ตามความเป็นจริง ( เขียนถึง ต่อต้านสิ่งงมงาย )
( ไม่ได้โลกสวย แต่รู้โลก )
หลายคนอาจรู้สึกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมมองโลกสวย
แท้ที่จริงแล้ว คิดกันไปเอง ติกันไปเอง
ผมได้ไปรบกะ ฟักโกสต์ ชุกคิดขึ้นมาได้ ( คำว่าอย่าโลกสวย )
ฟักโกสต์เขาเชื่อว่า คนทรงเจ้าหลอกลวง ว่าสิ่งงมงายหลอกลวง
แท้ที่จริงแล้ว เราไม่เห็นความจริงถึงจิตใจมนุษย์เราเองต่างหากไปยึดถือสิ่งต่างๆมาก
มนุษย์เราอยู่บนความหลอกลวงทั้งสิ้น
อย่างเช่น มือถือ สินค้าไอที หรือสิ่งอื่นๆลองสังเกตุดู แม้แต่ในสังคมก็ตาม
หรือแม้กระทั่งบุหรี่ ทั้งๆที่สูบบุหรี่ รู้ทั้งรู้ว่าจะตาย มันก็ยังสูบ
หรือแม้กระทั่งกินเหล้า รู้ว่ากินแล้ว ตับแข็ง รู้ทั้งรู้ว่าจะตาย ก็ยังกิน .
นี้มันไม่หลอกลวงหรอ หลอกลวงตัวเอง หรืออยากไปได้ความสุขก็ไปหลอกคนอื่น ( ผมก็เป็น ไม่ใช่ไม่เป็น ผิดแล้วรู้ )
สรุป ไม่ได้โลกสวย แต่รู้โลก รู้ภายในจิตในใจเป็นอย่างดี
ทุกอย่างล้วนแล้ว มีเหตุ
อนัตตา บังคับไม่ได้ มันเป็นไปเอง
คือ กายกับใจ
อย่างเช่น เรากลัวผี ถ้าไปเดินไปที่มืด ก็จะเกิดความรู้สึกกลัวผีทันที
เพราะจิตมันเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะผู้ใหญ่หลอกผีมาเรามาตั้งแต่เด็ก พอไปที่มืดเลยรู้สึกกลัวผีด้วยความจำตั้งแต่เด็กคือความรู้สึก
ไม่ใช่ไปทำใจไม่ให้กลัว ว่า สิ่งนั้นงมงาย
แต่ให้รู้ ภายในจิตในใจเรา มันเป็นอนัตตา พอถูกสิ่งที่จดจำมา
มันเป็นไปเอง
รู้ว่าความรู้สึกกลัวผีมา
เราจะสั่งตัวเราเองได้ไหม ไม่ให้มันกลัวผี มันก็กลัว
หรือเราจะสั่งไม่ให้ฝันได้ไหม หรือเราจะสั่งให้ฝันดี ฝันมีแต่ความสุข เรายังสั่งไม่ได้เลย
นี้เราไปยึดความคิดมากไป มันเลยบ้ากันไปใหญ่
เรายังไม่รู้เลย ว่า จักวาลสิ้นสุดที่ไหน
นี้ถ้า นรกมีจริง มันไม่ซวยหรอ
แต่มีข้อพิสูจน์ได้ คือ ธรรมของสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทางของศาสนาพุทธ เป็นปัญญา ไม่ใช่ความคิดยึดในหลักเหตุผลของความดีหรือความชั่ว
และเป็น ศาสตร์ทางสายกลางอย่างปราณีต ที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ผมเองปฏิบัติธรรม แต่ผมก็ยังไหว้พระจีน อยู่ก็เพราะ ผมทำมาตั้งแต่เด็ก นี้คือ สายกลาง
สายกลางเราเป็นยังไง ก็รู้เป็นอย่างนั้น อยู่ระหว่างกลางของยุคๆนั้น
เชื่อและไม่เชื่อจนกว่าทดสอบด้วยตัวเอง
ผมไม่ยอมจะให้คนอื่นลงนรกด้วย ลงอุบายด้วย ถ้าสอนบอกคนผิดๆ รู้ไม่จริง
แล้วทำให้คนอื่นเดือนร้อนกันไปด้วยความคิดตัวเองยึดถือมากเกินไป
ก็จะเกิดกรรมอันภายภาคหน้าได้
แต่วิธีหนทางมีอยู่คือ การเรียนรู้กายรู้ใจ