" โอปปาติกะ " คือ...
โอปปาติกะ คือ การเกิดทางจิต
ถาม : เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า อธิบายโอปปาติกะว่าเป็นเพียงการเกิดทางจิตใจเท่านั้นเป็นการอธิบายตามความรู้ความชอบใจของตัวเองอย่างน่าสังเวช เป็นการอธิบายบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ; คือไม่อธิบายว่า โอปปาติกะ เป็นสัตว์ที่มีทั้งรูปและนาม มีทั้งหายและใจ มีกายเป็นปรมาณูโปร่งแสง ที่เรียกว่ากายทิพย์. นี้ข้อเท็จจริงอย่างไร?
ท่านพุทธทาส ตอบ : การอธิบายโอปปาติกะ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีทั้งรูปและนาม มีกายเป็นปรมาณูเปร่งแสงที่เรียกว่ากายทิพย์ ; นี้เป็นคำอธิบายของพวกอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนา. เรื่องกายทิพย์ เรื่องอะไรทิพย์ๆอย่างนี้ เป็นของพวกอื่น ; รายละเอียดที่เป็นหลักฐานไปอ่านดูจากโปฏปาทสูตร ทีฑนิกาย.
คำว่า " โอปปาติกะ " ตามความหมายในพุทธศาสนานั้น หมายถึงกิริยาอาการแห่งการเกิด (โยนิ) อย่างหนึ่งเท่านั้น คือการเกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องมีพ่อแม่และเกิดขึ้นมาโตเต็มที่ สมบูรณ์แบบได้โดยไม่ต้องเป็นเด็ก. การเกิดชนิดนี้มีได้อย่างไร ? มันก็คือความคิดเกิดขึ้นอย่างไร คนนั้นก็เป็นอย่างนั้น ; เช่นว่ามีความคิดอย่างเลวเป็นความคิดอย่างโจรเกิดขึ้น. คนนั้นในร่างกายนั้น มันก็กลายเป็นโจร กระทันหันขึ้นมา โดยไม่ต้องเข้าท้องมารดาและไม่ต้องเป็นเด็ก ; คือเป็นโจรเต็มที่โดยไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน
กิริยาอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดาเกิดขึ้นโตเต็มที่ , เสียดายที่ว่าด้วยคำพูดนั้นมันไม่มีระบุว่าเป็นหญิงไม่เป็นชายด้วย , นั้นแหละคือ โอปปาติกะเป็นเพียงกิริยาหรืออาการเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ชนิดหนึ่งนะ . ที่เอาคำว่า " โอปปาติกะ " ไปเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งนั้นไม่มี ไม่ถูกต้องตามคำสอนในหลักพระพุทธศาสนา ; เพราคำว่า " โอปปาติกะ " นั้นไม่ได้เป็นชื่อของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง , แต่เป็นชื่อของกิริยาอาการที่เกิดผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดา แลไม่ต้องมีการเติบโต คือมันโตเต็มที่เสียเลย ; เช่นเราเกิดเป็นคนดีก็ดีเต็มที่เสียเลย เกิดเป็นคนชั่วก็เป็นคนชั่วเลย ไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน.
นี่คำว่า " โอปปาติกะ " ตามความรู้ของอาตมายืนยันว่า ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นชื่อสัตว์ที่มีร่างกายโปร่งแสง เป็นกายทิพย์ไม่ใช่ ; มันเป็นชื่อของกิริยาอาการที่มันเกิดผลุงขึ้นมา และโตเต็มที่โดยไม่ต้องมีบิดามารดา ก็คือการเกิดทางจิต, โดยจิต ปัจจุบันจิต มันเกิดเลวขึ้นมาเป็นสภาพอย่างโจร หรือสัตว์นรก หรือว่าดีอย่างบันฑิต หรือเทวดา หรือแม้ว่าเกิดเป็นพระอริยเจ้า อนาคามี ก็โดยการกำเนิดอันนี้เหมือนกัน. การตรัสรู้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า มันก็คือการผลุงขึ้นมา โดยแบบของโอปปาติกะไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องเป็นเด็กก่อน.
ฉะนั้นระวังให้ดีนะคิดอย่างสุนัขจะเกิดเป็นสุนัข. นั่งอยู่ที่นี้ ในร่างนี้ถ้าคิดอย่างหมาจะเกิดเป็นหมา คิดอย่างคนจะเกิดเป็นคน คิดอย่างเทวดาจะเกิดเป็นเทวดา คิดอย่างสัตว์นรกจะเกิดเป็นสัตว์นรก. ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในร่างกายอย่างนี้ ; อาการชนิดนี้เรียกว่า " โอปปาติกะ " เป็นการเกิดผลุงขึ้นมา. คำนี้ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์, ถ้าเขาจะถือว่าเป็นชื่อของสัตว์ เขามีสิทธิ์ที่จะถือได้ เราไม่ไปทะเลาะกะเขา ; เราถืออย่างนี้สำหรับคำคำนี้ , เอ้า, มีปัญหาอะไรต่อไปอีก ...
หนังสือ"ธรรมน้ำ" ล้าง "ธรรมโคลน" พุทธทาสภิกขุ ตอบปัญหาแก่ผู้สาดโคลนใส่ร้ายป้ายสี
ปัญหาที่ ๑๖ : โอปปาติกะคือการเกิดทางจิต.
หน้า ๕๐ - ๕๑
อรุณ เวชสุววรณ ผู้จัดพิมพ์ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๓
พุทธแท้ ไม่งมงาย
โอปปาติกะ คือ การเกิดทางจิต
ถาม : เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า อธิบายโอปปาติกะว่าเป็นเพียงการเกิดทางจิตใจเท่านั้นเป็นการอธิบายตามความรู้ความชอบใจของตัวเองอย่างน่าสังเวช เป็นการอธิบายบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ; คือไม่อธิบายว่า โอปปาติกะ เป็นสัตว์ที่มีทั้งรูปและนาม มีทั้งหายและใจ มีกายเป็นปรมาณูโปร่งแสง ที่เรียกว่ากายทิพย์. นี้ข้อเท็จจริงอย่างไร?
ท่านพุทธทาส ตอบ : การอธิบายโอปปาติกะ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีทั้งรูปและนาม มีกายเป็นปรมาณูเปร่งแสงที่เรียกว่ากายทิพย์ ; นี้เป็นคำอธิบายของพวกอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนา. เรื่องกายทิพย์ เรื่องอะไรทิพย์ๆอย่างนี้ เป็นของพวกอื่น ; รายละเอียดที่เป็นหลักฐานไปอ่านดูจากโปฏปาทสูตร ทีฑนิกาย.
คำว่า " โอปปาติกะ " ตามความหมายในพุทธศาสนานั้น หมายถึงกิริยาอาการแห่งการเกิด (โยนิ) อย่างหนึ่งเท่านั้น คือการเกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องมีพ่อแม่และเกิดขึ้นมาโตเต็มที่ สมบูรณ์แบบได้โดยไม่ต้องเป็นเด็ก. การเกิดชนิดนี้มีได้อย่างไร ? มันก็คือความคิดเกิดขึ้นอย่างไร คนนั้นก็เป็นอย่างนั้น ; เช่นว่ามีความคิดอย่างเลวเป็นความคิดอย่างโจรเกิดขึ้น. คนนั้นในร่างกายนั้น มันก็กลายเป็นโจร กระทันหันขึ้นมา โดยไม่ต้องเข้าท้องมารดาและไม่ต้องเป็นเด็ก ; คือเป็นโจรเต็มที่โดยไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน
กิริยาอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดาเกิดขึ้นโตเต็มที่ , เสียดายที่ว่าด้วยคำพูดนั้นมันไม่มีระบุว่าเป็นหญิงไม่เป็นชายด้วย , นั้นแหละคือ โอปปาติกะเป็นเพียงกิริยาหรืออาการเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ชนิดหนึ่งนะ . ที่เอาคำว่า " โอปปาติกะ " ไปเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งนั้นไม่มี ไม่ถูกต้องตามคำสอนในหลักพระพุทธศาสนา ; เพราคำว่า " โอปปาติกะ " นั้นไม่ได้เป็นชื่อของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง , แต่เป็นชื่อของกิริยาอาการที่เกิดผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดา แลไม่ต้องมีการเติบโต คือมันโตเต็มที่เสียเลย ; เช่นเราเกิดเป็นคนดีก็ดีเต็มที่เสียเลย เกิดเป็นคนชั่วก็เป็นคนชั่วเลย ไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน.
นี่คำว่า " โอปปาติกะ " ตามความรู้ของอาตมายืนยันว่า ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นชื่อสัตว์ที่มีร่างกายโปร่งแสง เป็นกายทิพย์ไม่ใช่ ; มันเป็นชื่อของกิริยาอาการที่มันเกิดผลุงขึ้นมา และโตเต็มที่โดยไม่ต้องมีบิดามารดา ก็คือการเกิดทางจิต, โดยจิต ปัจจุบันจิต มันเกิดเลวขึ้นมาเป็นสภาพอย่างโจร หรือสัตว์นรก หรือว่าดีอย่างบันฑิต หรือเทวดา หรือแม้ว่าเกิดเป็นพระอริยเจ้า อนาคามี ก็โดยการกำเนิดอันนี้เหมือนกัน. การตรัสรู้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า มันก็คือการผลุงขึ้นมา โดยแบบของโอปปาติกะไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องเป็นเด็กก่อน.
ฉะนั้นระวังให้ดีนะคิดอย่างสุนัขจะเกิดเป็นสุนัข. นั่งอยู่ที่นี้ ในร่างนี้ถ้าคิดอย่างหมาจะเกิดเป็นหมา คิดอย่างคนจะเกิดเป็นคน คิดอย่างเทวดาจะเกิดเป็นเทวดา คิดอย่างสัตว์นรกจะเกิดเป็นสัตว์นรก. ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในร่างกายอย่างนี้ ; อาการชนิดนี้เรียกว่า " โอปปาติกะ " เป็นการเกิดผลุงขึ้นมา. คำนี้ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์, ถ้าเขาจะถือว่าเป็นชื่อของสัตว์ เขามีสิทธิ์ที่จะถือได้ เราไม่ไปทะเลาะกะเขา ; เราถืออย่างนี้สำหรับคำคำนี้ , เอ้า, มีปัญหาอะไรต่อไปอีก ...
หนังสือ"ธรรมน้ำ" ล้าง "ธรรมโคลน" พุทธทาสภิกขุ ตอบปัญหาแก่ผู้สาดโคลนใส่ร้ายป้ายสี
ปัญหาที่ ๑๖ : โอปปาติกะคือการเกิดทางจิต.
หน้า ๕๐ - ๕๑
อรุณ เวชสุววรณ ผู้จัดพิมพ์ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๓