เนื่องจากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความหมายของสัมมาทิฏฐิแบบโลกิยะ และเคยมีการตั้งกระทู้ทำความเข้าใจ ว่า
-- ข้อ 2 การบวงสรวง คืออะไร
-- และข้อ3 การบูชา คืออะไร
จึงได้พยายามค้นหา และได้ความเข้าใจ ชัดเจน จึงขอแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆดังนี้
ลิงก์ที่พบมา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.pharbuchar.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1446232
สัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูกต้อง หมายถึงความเห็นที่ถูกคลองธรรม เห็นตามความเป็นจริงเป็นความเห็นที่เกิดจากโยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยปัญญา ตามวัดส่วนใหญ่เขียนคำนี้ตามแบบภาษาบาลีว่า สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฐิ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 หมายถึง ความเห็นในอริยสัจ4 คือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค
สัมมาทิฐิ ที่เป็นมโนสุจริตหมายถึง ความเห็นถูกต้อง มี10 ปราการ คือ
1.เห็นว่าการให้ทานมีผลจริง (หมายถึงการให้ใน
ระดับแบ่งปันกัน)
2.การบ
วงสรวงมีผลจริง(หมายถึงการให้ในระดับ
สงเคราะห์กันมีผล)
3.การเคารพ
บูชามีผลจริง (หมายถึงก
ารยกย่องบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผลดีจริง)
4.ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
5.คุณของมารดามีจริง (หมายถึงมารดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่)
6.คุณของบิดามีจริง (หมายถึง บิดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่)
7.โลกนี้มี (หมายถึง โลกนี้มีคุณเป็นอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับใช้สร้างบุญบารมี)
8.โลกหน้ามี (หมายถึง โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ ความเป็นไปของโลกหน้า เป็นผลมาจากโลกนี้)
9.พวกโอปปาติกะ (ผุดขึ้นเกิด) มี (หมายถึง สัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันทีมีจริง อาทิเช่น ในภูมิทุคติ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ในภูมิสุคติ ได้แก่ เทวดา พรหม อรูปพรหม)
10.สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีจริง
มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นใบบัว พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
การบูชาไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล
ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกอื่นไม่มี
มารดาไม่มีบุญคุณ
บิดาไม่มีบุญคุณ
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ
ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มี 2 อย่าง ได้แก่
1.ปรโตโฆสะ คือ การโฆษณาแต่บุคคลอื่น เสียงจากผู้อื่น ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น
2.อโยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจโดยไม่แยบคาย การไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ความไม่รู้จักคิด การปล่อยให้อวิชาครอบงำ ตรงกันข้ามกับคำว่า โยนิโสมนสิการ
ผู้ตั้งกระทู้ สันติ :: วันที่ลงประกาศ 2011-11-23 00:55:13
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------ ความหมายของคำว่า บวงสรวง และ การบูชา ในสัมมาทิฏฐิแบบโลกียะ ------------------------------
-- ข้อ 2 การบวงสรวง คืออะไร
-- และข้อ3 การบูชา คืออะไร
จึงได้พยายามค้นหา และได้ความเข้าใจ ชัดเจน จึงขอแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆดังนี้
ลิงก์ที่พบมา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.pharbuchar.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1446232
สัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูกต้อง หมายถึงความเห็นที่ถูกคลองธรรม เห็นตามความเป็นจริงเป็นความเห็นที่เกิดจากโยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยปัญญา ตามวัดส่วนใหญ่เขียนคำนี้ตามแบบภาษาบาลีว่า สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฐิ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 หมายถึง ความเห็นในอริยสัจ4 คือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค
สัมมาทิฐิ ที่เป็นมโนสุจริตหมายถึง ความเห็นถูกต้อง มี10 ปราการ คือ
1.เห็นว่าการให้ทานมีผลจริง (หมายถึงการให้ในระดับแบ่งปันกัน)
2.การบวงสรวงมีผลจริง(หมายถึงการให้ในระดับสงเคราะห์กันมีผล)
3.การเคารพบูชามีผลจริง (หมายถึงการยกย่องบูชาบุคคลที่ควรบูชามีผลดีจริง)
4.ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
5.คุณของมารดามีจริง (หมายถึงมารดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่)
6.คุณของบิดามีจริง (หมายถึง บิดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง บุตรควรตั้งใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่)
7.โลกนี้มี (หมายถึง โลกนี้มีคุณเป็นอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับใช้สร้างบุญบารมี)
8.โลกหน้ามี (หมายถึง โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ ความเป็นไปของโลกหน้า เป็นผลมาจากโลกนี้)
9.พวกโอปปาติกะ (ผุดขึ้นเกิด) มี (หมายถึง สัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันทีมีจริง อาทิเช่น ในภูมิทุคติ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ในภูมิสุคติ ได้แก่ เทวดา พรหม อรูปพรหม)
10.สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีจริง
มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นใบบัว พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
การบูชาไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล
ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกอื่นไม่มี
มารดาไม่มีบุญคุณ
บิดาไม่มีบุญคุณ
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ
ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มี 2 อย่าง ได้แก่
1.ปรโตโฆสะ คือ การโฆษณาแต่บุคคลอื่น เสียงจากผู้อื่น ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น
2.อโยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจโดยไม่แยบคาย การไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ความไม่รู้จักคิด การปล่อยให้อวิชาครอบงำ ตรงกันข้ามกับคำว่า โยนิโสมนสิการ
ผู้ตั้งกระทู้ สันติ :: วันที่ลงประกาศ 2011-11-23 00:55:13
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------