สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
การนั่งสมาธิให้ได้ผล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่นั่งเสมอไปค่ะ
มันขึ้นอยู่ที่จิตใจ และความเข้าใจของการเฝ้ามองดูจิตใจ
ของเราต่างหากค่ะ แต่ถ้านั่งได้นานก็ทำให้เราเกิดความชำนาญ
หรือเคยชินกับการเฝ้ามองดูใจของเราได้มากกว่าค่ะ
ขอบอกเล่าจากประสบการณ์ อันน้อยนิด และการอ่าน
จากหลายๆบทความเกี่ยวกับสมาธินะคะ ส่วนตัวแล้ว
ดิฉันไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ชื่นชอบและศึกษาเกี่ยวกับการ
นั่งสมาธิ เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ
เริ่มต้นจากการศึกษา คำว่า "ธรรมชาติบำบัด" ที่ต้องการ
ศึกษาเรื่องธรรมชาติบำบัดนี้เพราะว่า การรักษา
แผนปัจจุบันมันไม่ได้ผลสำหรับดิฉันค่ะ แม้ว่าบางอย่าง
จะได้ผล แต่กลับมีผลเสียในอีกบางอย่าง ดิฉันจึงอยากจะ
หาทางรักษาด้วยทางเลือกอื่น (ถ้ามีหรือทำได้) และหนึ่งใน
ธรรมชาติบำบัดก็มีคำว่า "สมาธิ" ร่วมอยู่ด้วย จึงได้นำมา
ทดลองใช้กับตัวเอง และมันก็ได้ผลจริงๆค่ะ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้นั่ง
สมาธิเป็นเรื่องเป็นราว แต่สมาธิก็สามารถบำบัดอาการปวด
ของดิฉันได้ดีทีเดียว แม้ว่าช่วงนั้นดิฉันจะยังไม่ได้เริ่มนั่งสมาธิ
แต่อย่างใด แค่เอามาใช้ตอนที่เกิดอาการปวดเท่านั้นค่ะ
ประมาณว่านอนทุรนทุรายอยู่กับอาการปวด แล้วทำสมาธิ
กำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ในขณะที่นอน อย่างนี้เป็นต้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ใจดิฉันมีความสุข มีศรัทธาที่อยากจะ
ให้ ปกติดิฉันจะสวดภาวนาเป็นประจำอยู่แล้ว และวันนั้นเกิด
อยากจะนั่งสมาธิลองดู สาเหตุที่ไม่ได้นั่งสมาธิมาก่อน
หน้านี้เพราะว่าขาเป็นเหน็บชาเร็ว ปกติดิฉันนั่งสวดภาวนา
ในท่าพับเพียบต้องเปลี่ยนข้างทุกๆ 5 นาทีเพราะอาการชา
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ จึงไม่มั่นใจว่าจะนั่งสมาธิได้
แม้ตอนเด็กหรือช่วงวัยรุ่นจะเคยลองนั่งสมาธิดู แต่ใจกลับ
ไม่เคยสงบเลย น่าจะนั่งได้แค่ราว 5 นาทีเท่านั้นเอง และ
ไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะทำต่อ จึงไม่ได้สนใจอีกเลย
จนกระทั่งเกิดความสนใจ และอยากจะทดลองอีกครั้งเมื่อ
ไม่นานมานี้
วันที่ลองนั่งสมาธิครั้งแรกจากช่วงเวลามากกว่าสิบปี ที่เคย
ลองทำ วันนั้นเป็นวันที่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข เพราะสมหวัง
บางอย่าง ได้ภาวนาขอ และขอบคุณก่อน แล้วจึงนั่งสมาธิต่อ
ประมาณ 30 นาที ปรากฏว่าเกิดสิ่งประหลาดขึ้น คือรู้สึกว่า
มือทั้งสองข้างหายไป ช่วงนั้นดิฉันยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราว
เกี่ยวกับสมาธิมากเหมือนตอนนี้ จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมัน
คืออะไร
หลังจากรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างหายไปแล้ว ก็เกิดความแปลกใจ
สงสัยว่ามันคืออะไร แม้ว่าใจอยากจะทำสมาธิต่อเพื่อจะได้ตาม
ดูอาการมือหายต่อไป แต่ขากลับไม่เอื้ออำนวย มันเริ่มชา
มากขึ้นๆ จึงต้องหยุดทำสมาธิในขณะนั้นเลย หลังจากออก
จากสมาธิแล้ว ก็ทึ่ง และแปลกใจที่สามารถนั่งแบบไม่เปลี่ยน
ท่าได้นานถึง 30 นาที แถมมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นอีก
หลังจากนั้นในระยะสองสัปดาแรกดิฉัน ก็นั่งสมาธิทุกๆวัน
แรกๆนั่งเช้าและเย็น หลังๆมาเหลือเฉพาะช่วงเช้าหลังตื่นนอน
ใช้เวลานั่งตั้งแต่ 15 นาที และ 40 นาทีสูงสุด จิตสงบบ้าง
ไม่สงบบ้าง ขึ้นอยู่กับเรื่องราวแต่ละวันที่เราประสพ ก่อนออก
จากสมาธิ ดิฉันก็จะแผ่เมตตาให้คนนั้นคนนี้ทุกๆครั้ง การ
แผ่เมตตาถือเป็น หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้ดิฉัน
อยากจะทำสมาธิทุกวันค่ะ
ประสบการณ์ครั้งแรกที่ทำการแผ่เมตตา หลังจากที่ศึกษา
การทำสมาธิแล้ว ก็ได้รู้ว่ามีการแผ่เมตตา ดิฉันแผ่เมตตา
ในรูปแบบของดิฉันเองก็คือ การขอให้คนนั้นคนนี้มีความสุข
โดยที่ไม่ได้สวดบทสวด ตามอย่างชาวพุทธค่ะ
ครั้งแรกที่แผ่เมตตา ดิฉันรู้สึกเหมือนต้องใช้พลังจิตอย่างมาก
ดิฉันแผ่เมตตาแบบเฉพาะเจาะจง คือแผ่ให้เป็นรายบุคคล แก่คน
ที่รู้จัก ช่วงนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ มีความรู้สึกหนักที่มือทั้ง
สองข้าง เหมือนถือก้อนหินอยู่ และเกิดภาพที่มักจะเจอบ่อยๆ
ในช่วงที่ป่วยหนัก ภาพนี้จะเจอทุกครั้งที่ป่วยโดยเฉพาะในช่วง
ที่เป็นเด็ก ช่วงที่โตขึ้นก็เจอบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนตอนที่เป็น
เด็ก คือภาพที่อยู่ในที่ๆว่างเปล่า คล้ายๆกับทะเลทราย บางครั้ง
ก็เป็นคลื่นและเรียบสลับกันไป แต่ทุกครั้งที่ภาพนี้ปรากฎขึ้น
มันแสดงให้รู้ว่า ร่างกายของดิฉันกำลังอยู่ในช่วงที่แย่ มันรู้สึก
ไม่ดีเลย รู้สึกหนัก รู้สึกเหมือนกำลังต่อต้านอะไรบางอย่าง
ที่กำลังคุกคามเราอยู่ ดิฉันเริ่มทนไม่ไหว หลังจากนั้นดิฉัน
จึงค่อยๆออกจากสมาธิ และทุกอย่างก็เป็นปกติค่ะ
และมาพิจารณา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการแผ่เมตตาครั้ง
แรกนี้ว่า สาเหตุมาจากอะไร ทำไมถึงรู้สึกหนักแบบนั้น ก็ได้
คำตอบในใจว่าอาจจะเป็นเพราะว่า ดิฉันแผ่เมตตาเร็วเกินไป
เหมือนกำลังจับเวลา ว่าจะต้องแผ่ให้จบเร็วๆยังไงยังงั้น และ
การแผ่เมตตาแบบ เฉพาะเจาะจงต้องใช้ความคิด ในการนึก
ถึงชื่อของแต่ละบุคคล จึงทำให้การหายใจกับความคิดเกิด
ความขัดแย้งกันขึ้น ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน บวกกับ
ไม่คุ้นเคย กับการแผ่เมตตาในลักษณะนี้ จึงอาจทำให้เกิดความ
รู้สึกหนักแบบนั้นขึ้นมาก็เป็นไปได้
และในครั้งถัดไปดิฉันก็ค่อยๆแผ่เมตตา ทำให้เป็นธรรมชาติ
มากที่สุด แผ่ให้กับผู้คนหรือสิ่งที่เรานึกได้เท่านั้น ส่วนที่นึก
ไม่ออกก็ไม่ต้องฝืน หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์เหมือนครั้งแรก
อีกเลย มีแต่ช่วงที่การแผ่เมตตาที่เกิดสดุด อยู่ๆก็นึกไม่ออกว่า
จะแผ่ให้ใคร แต่ก็ไม่ฝืนค่ะ คิดชะว่าจิตของวันนั้นคงแผ่ได้แค่นั้น
แล้วจึงค่อยๆออกจากสมาธิ
แล้วหลังจาก 2 อาทิตย์ของการนั่งสมาธิผ่านไป ดิฉันคิดอยากจะ
พัฒนาเวลาให้เพิ่มขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง ที่อยากจะเพิ่มเวลาขึ้น ก็เพื่อ
จะได้ดูร่างกายด้วยว่า จะมีความสามารถทำได้หรือไม่ เพราะก่อน
หน้านี้ 40 นาทีนั้นถือว่ามากที่สุด ที่คิดว่าขาขวาของดิฉัน จะทน
กับอาการชาได้ และผลปรากฎว่าดิฉันสามารถทนกับอาการชา
ได้นานถึง 1 ชั่วโมงจริงๆค่ะ น่าทึ่งมาก
ส่วนเรื่องของจิตใจนั้น มันก็มีช่วงที่สงบและไม่สงบ เกิดขึ้นใน
หนึ่งชั่วโมงนี้ค่ะ แต่ก็แปลกตรงที่เมื่อเรานั่งนานๆได้ ความชำนาญ
และความเคยชิน ก็จะเกิดขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ระยะเวลา
ที่นั่งนั้นมันจะขรุขระอยู่บ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
แล้ว เราก็จะสามารถกลับเข้ามาอยู่ในปัจจุบันได้ อย่างไม่วอกแวกค่ะ
ถ้าความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นอีก ก็ให้เรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอีก
ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วเราก็จะสามารถพัฒนาการฝึกสมาธิของเรา
ได้เองเรื่อยๆค่ะ
ที่สำคัญอย่าเปรียบเทียบนะคะ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น
ทำได้น้อยกว่าเมื่อวานก็พอใจ ทำได้มากกว่าวันก่อนก็พอใจ
เพราะการทำสมาธิทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะนานหรือไม่แค่ไหน จิตใจ
จะสงบหรือไม่อย่างไร ก็มีค่าและเกิดผลดีทั้งต่อตนเองและ
ผู้คน รวมถึงสรรพสิ่งในโลกเสมอ
และผลของการฝึกสมาธิ นอกจากจะได้ผลดีทางใจแล้ว
เราก็จะได้ผลดีทางกายด้วย เช่นความตื่นตัว กระฉับกระเฉง
เลือดลมไหลเวียนดี ซึ่งเป็นที่มาของการรักษาหรือบรรเทา
โรคบางอย่างได้ด้วย มีความคิดปลอดโปร่ง และผลดีในการดำรง
ชีวิต เช่น มีมุมมองชีวิตที่ดี แตกต่างออกไป จากที่ไม่ดี
ให้กลับเป็นดี จากที่ดีอยู่แล้วก็ให้ดีกว่าเดิม และเหนือสิ่งอื่นใด
การฝึกสมาธิก็คือ การฝึกบริหารจิตสำนึกที่ดีของเรานั้นเองค่ะ
มันขึ้นอยู่ที่จิตใจ และความเข้าใจของการเฝ้ามองดูจิตใจ
ของเราต่างหากค่ะ แต่ถ้านั่งได้นานก็ทำให้เราเกิดความชำนาญ
หรือเคยชินกับการเฝ้ามองดูใจของเราได้มากกว่าค่ะ
ขอบอกเล่าจากประสบการณ์ อันน้อยนิด และการอ่าน
จากหลายๆบทความเกี่ยวกับสมาธินะคะ ส่วนตัวแล้ว
ดิฉันไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ชื่นชอบและศึกษาเกี่ยวกับการ
นั่งสมาธิ เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ
เริ่มต้นจากการศึกษา คำว่า "ธรรมชาติบำบัด" ที่ต้องการ
ศึกษาเรื่องธรรมชาติบำบัดนี้เพราะว่า การรักษา
แผนปัจจุบันมันไม่ได้ผลสำหรับดิฉันค่ะ แม้ว่าบางอย่าง
จะได้ผล แต่กลับมีผลเสียในอีกบางอย่าง ดิฉันจึงอยากจะ
หาทางรักษาด้วยทางเลือกอื่น (ถ้ามีหรือทำได้) และหนึ่งใน
ธรรมชาติบำบัดก็มีคำว่า "สมาธิ" ร่วมอยู่ด้วย จึงได้นำมา
ทดลองใช้กับตัวเอง และมันก็ได้ผลจริงๆค่ะ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้นั่ง
สมาธิเป็นเรื่องเป็นราว แต่สมาธิก็สามารถบำบัดอาการปวด
ของดิฉันได้ดีทีเดียว แม้ว่าช่วงนั้นดิฉันจะยังไม่ได้เริ่มนั่งสมาธิ
แต่อย่างใด แค่เอามาใช้ตอนที่เกิดอาการปวดเท่านั้นค่ะ
ประมาณว่านอนทุรนทุรายอยู่กับอาการปวด แล้วทำสมาธิ
กำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ในขณะที่นอน อย่างนี้เป็นต้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ใจดิฉันมีความสุข มีศรัทธาที่อยากจะ
ให้ ปกติดิฉันจะสวดภาวนาเป็นประจำอยู่แล้ว และวันนั้นเกิด
อยากจะนั่งสมาธิลองดู สาเหตุที่ไม่ได้นั่งสมาธิมาก่อน
หน้านี้เพราะว่าขาเป็นเหน็บชาเร็ว ปกติดิฉันนั่งสวดภาวนา
ในท่าพับเพียบต้องเปลี่ยนข้างทุกๆ 5 นาทีเพราะอาการชา
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ จึงไม่มั่นใจว่าจะนั่งสมาธิได้
แม้ตอนเด็กหรือช่วงวัยรุ่นจะเคยลองนั่งสมาธิดู แต่ใจกลับ
ไม่เคยสงบเลย น่าจะนั่งได้แค่ราว 5 นาทีเท่านั้นเอง และ
ไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะทำต่อ จึงไม่ได้สนใจอีกเลย
จนกระทั่งเกิดความสนใจ และอยากจะทดลองอีกครั้งเมื่อ
ไม่นานมานี้
วันที่ลองนั่งสมาธิครั้งแรกจากช่วงเวลามากกว่าสิบปี ที่เคย
ลองทำ วันนั้นเป็นวันที่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข เพราะสมหวัง
บางอย่าง ได้ภาวนาขอ และขอบคุณก่อน แล้วจึงนั่งสมาธิต่อ
ประมาณ 30 นาที ปรากฏว่าเกิดสิ่งประหลาดขึ้น คือรู้สึกว่า
มือทั้งสองข้างหายไป ช่วงนั้นดิฉันยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราว
เกี่ยวกับสมาธิมากเหมือนตอนนี้ จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมัน
คืออะไร
หลังจากรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างหายไปแล้ว ก็เกิดความแปลกใจ
สงสัยว่ามันคืออะไร แม้ว่าใจอยากจะทำสมาธิต่อเพื่อจะได้ตาม
ดูอาการมือหายต่อไป แต่ขากลับไม่เอื้ออำนวย มันเริ่มชา
มากขึ้นๆ จึงต้องหยุดทำสมาธิในขณะนั้นเลย หลังจากออก
จากสมาธิแล้ว ก็ทึ่ง และแปลกใจที่สามารถนั่งแบบไม่เปลี่ยน
ท่าได้นานถึง 30 นาที แถมมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นอีก
หลังจากนั้นในระยะสองสัปดาแรกดิฉัน ก็นั่งสมาธิทุกๆวัน
แรกๆนั่งเช้าและเย็น หลังๆมาเหลือเฉพาะช่วงเช้าหลังตื่นนอน
ใช้เวลานั่งตั้งแต่ 15 นาที และ 40 นาทีสูงสุด จิตสงบบ้าง
ไม่สงบบ้าง ขึ้นอยู่กับเรื่องราวแต่ละวันที่เราประสพ ก่อนออก
จากสมาธิ ดิฉันก็จะแผ่เมตตาให้คนนั้นคนนี้ทุกๆครั้ง การ
แผ่เมตตาถือเป็น หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้ดิฉัน
อยากจะทำสมาธิทุกวันค่ะ
ประสบการณ์ครั้งแรกที่ทำการแผ่เมตตา หลังจากที่ศึกษา
การทำสมาธิแล้ว ก็ได้รู้ว่ามีการแผ่เมตตา ดิฉันแผ่เมตตา
ในรูปแบบของดิฉันเองก็คือ การขอให้คนนั้นคนนี้มีความสุข
โดยที่ไม่ได้สวดบทสวด ตามอย่างชาวพุทธค่ะ
ครั้งแรกที่แผ่เมตตา ดิฉันรู้สึกเหมือนต้องใช้พลังจิตอย่างมาก
ดิฉันแผ่เมตตาแบบเฉพาะเจาะจง คือแผ่ให้เป็นรายบุคคล แก่คน
ที่รู้จัก ช่วงนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ มีความรู้สึกหนักที่มือทั้ง
สองข้าง เหมือนถือก้อนหินอยู่ และเกิดภาพที่มักจะเจอบ่อยๆ
ในช่วงที่ป่วยหนัก ภาพนี้จะเจอทุกครั้งที่ป่วยโดยเฉพาะในช่วง
ที่เป็นเด็ก ช่วงที่โตขึ้นก็เจอบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนตอนที่เป็น
เด็ก คือภาพที่อยู่ในที่ๆว่างเปล่า คล้ายๆกับทะเลทราย บางครั้ง
ก็เป็นคลื่นและเรียบสลับกันไป แต่ทุกครั้งที่ภาพนี้ปรากฎขึ้น
มันแสดงให้รู้ว่า ร่างกายของดิฉันกำลังอยู่ในช่วงที่แย่ มันรู้สึก
ไม่ดีเลย รู้สึกหนัก รู้สึกเหมือนกำลังต่อต้านอะไรบางอย่าง
ที่กำลังคุกคามเราอยู่ ดิฉันเริ่มทนไม่ไหว หลังจากนั้นดิฉัน
จึงค่อยๆออกจากสมาธิ และทุกอย่างก็เป็นปกติค่ะ
และมาพิจารณา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการแผ่เมตตาครั้ง
แรกนี้ว่า สาเหตุมาจากอะไร ทำไมถึงรู้สึกหนักแบบนั้น ก็ได้
คำตอบในใจว่าอาจจะเป็นเพราะว่า ดิฉันแผ่เมตตาเร็วเกินไป
เหมือนกำลังจับเวลา ว่าจะต้องแผ่ให้จบเร็วๆยังไงยังงั้น และ
การแผ่เมตตาแบบ เฉพาะเจาะจงต้องใช้ความคิด ในการนึก
ถึงชื่อของแต่ละบุคคล จึงทำให้การหายใจกับความคิดเกิด
ความขัดแย้งกันขึ้น ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน บวกกับ
ไม่คุ้นเคย กับการแผ่เมตตาในลักษณะนี้ จึงอาจทำให้เกิดความ
รู้สึกหนักแบบนั้นขึ้นมาก็เป็นไปได้
และในครั้งถัดไปดิฉันก็ค่อยๆแผ่เมตตา ทำให้เป็นธรรมชาติ
มากที่สุด แผ่ให้กับผู้คนหรือสิ่งที่เรานึกได้เท่านั้น ส่วนที่นึก
ไม่ออกก็ไม่ต้องฝืน หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์เหมือนครั้งแรก
อีกเลย มีแต่ช่วงที่การแผ่เมตตาที่เกิดสดุด อยู่ๆก็นึกไม่ออกว่า
จะแผ่ให้ใคร แต่ก็ไม่ฝืนค่ะ คิดชะว่าจิตของวันนั้นคงแผ่ได้แค่นั้น
แล้วจึงค่อยๆออกจากสมาธิ
แล้วหลังจาก 2 อาทิตย์ของการนั่งสมาธิผ่านไป ดิฉันคิดอยากจะ
พัฒนาเวลาให้เพิ่มขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง ที่อยากจะเพิ่มเวลาขึ้น ก็เพื่อ
จะได้ดูร่างกายด้วยว่า จะมีความสามารถทำได้หรือไม่ เพราะก่อน
หน้านี้ 40 นาทีนั้นถือว่ามากที่สุด ที่คิดว่าขาขวาของดิฉัน จะทน
กับอาการชาได้ และผลปรากฎว่าดิฉันสามารถทนกับอาการชา
ได้นานถึง 1 ชั่วโมงจริงๆค่ะ น่าทึ่งมาก
ส่วนเรื่องของจิตใจนั้น มันก็มีช่วงที่สงบและไม่สงบ เกิดขึ้นใน
หนึ่งชั่วโมงนี้ค่ะ แต่ก็แปลกตรงที่เมื่อเรานั่งนานๆได้ ความชำนาญ
และความเคยชิน ก็จะเกิดขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ระยะเวลา
ที่นั่งนั้นมันจะขรุขระอยู่บ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
แล้ว เราก็จะสามารถกลับเข้ามาอยู่ในปัจจุบันได้ อย่างไม่วอกแวกค่ะ
ถ้าความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นอีก ก็ให้เรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอีก
ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วเราก็จะสามารถพัฒนาการฝึกสมาธิของเรา
ได้เองเรื่อยๆค่ะ
ที่สำคัญอย่าเปรียบเทียบนะคะ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น
ทำได้น้อยกว่าเมื่อวานก็พอใจ ทำได้มากกว่าวันก่อนก็พอใจ
เพราะการทำสมาธิทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะนานหรือไม่แค่ไหน จิตใจ
จะสงบหรือไม่อย่างไร ก็มีค่าและเกิดผลดีทั้งต่อตนเองและ
ผู้คน รวมถึงสรรพสิ่งในโลกเสมอ
และผลของการฝึกสมาธิ นอกจากจะได้ผลดีทางใจแล้ว
เราก็จะได้ผลดีทางกายด้วย เช่นความตื่นตัว กระฉับกระเฉง
เลือดลมไหลเวียนดี ซึ่งเป็นที่มาของการรักษาหรือบรรเทา
โรคบางอย่างได้ด้วย มีความคิดปลอดโปร่ง และผลดีในการดำรง
ชีวิต เช่น มีมุมมองชีวิตที่ดี แตกต่างออกไป จากที่ไม่ดี
ให้กลับเป็นดี จากที่ดีอยู่แล้วก็ให้ดีกว่าเดิม และเหนือสิ่งอื่นใด
การฝึกสมาธิก็คือ การฝึกบริหารจิตสำนึกที่ดีของเรานั้นเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
นั่งสมาธิกี่นาทีจึงจะเกิดผล?