สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 9-12 เมษายนที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปทำงานที่ฮ่องกงเป็นเวลา4วัน3คืน โดยครั้งนี้เป็นการเดินทางมาฮ่องกงครั้งแรกที่มีจุดประสงค์ในการทำงานมากกว่ากิน
ฮ่องกงเป็นเกาะหนึ่งที่คนไทยมีความใกล้ชิด คุ้นเคย ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ช็อปปิ้งสนุก และของกินถูกปาก เป็นที่ๆน่าสนใจแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นเขตการปกครองพิเศษของจีนและสหราชอาณาจักรได้เช่าฮ่องกงเป็นเวลา99ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1898 และได้หมดสัญญาในปี ค.ศ.1997 ในช่วงระยะเวลานี้จึงทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมขึ้น
ตลอดการเดินทาง4วัน สภาพอากาศค่อนข้างแย่ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมีละอองน้ำตลอดวัน แต่กลิ่นอาหารยังคงตลบอบอวนไปทั่วทั้งเมืองโดยไม่ขาดสาย การถ่าย Cityscape ค่อนข้างยาก เนื่องจากตัวอาหารตึกในฮ่องกงมีลักษณะสูงมากทำให้
ศทางของแสง และสีตึกค่อนไปทางzoning เทากลางทั้งเมืองและท้องฟ้ายังครึ้ม ทำให้รู้สึกมีเทากลางมากเกินไป ไม่ได้ลักษณะภาพตามที่ต้องการ
ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ถ่ายเมื่อเดินทางถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย ภาพได้ถ่ายผ่านหน้าต่างในห้องพักของ Nathan Hotel โรงแรมนี้ตั้งอยู่บนย่าน Jordan เป็นย่านที่คนไทยค่อนข้างมีความคุ้นเคย ภายในภาพเราจะสังเกตุเห็นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะแตกต่างกัน โดยอาคารฝั่งซ้ายมือจะมีลักษณะเป็นอาคารเก่าบ่งบอกชีวิตความเป็นอยู่ของคนฮ่องกงที่จะมีลักษณะแบ่งห้องถี่และการเป็นอยู่แอร์อัด ส่วนตึกด้านขวามือจะมีลักษณะของสถาปัตยกรรมmodernของตะวันตก
วันที่2ได้ไปเดินบริเวณย่านMongkokจะมีตลาดที่ชื่อว่าFu Yuen Street Marketเป็นตลาดอาคาร4ชั้น ชั้นที่1-3จะเป็นร้านขายของสด ร้านอาหารอยู่ชั้นที่ 4 จะเป็นร้านอาหารในลักษณะแบบคล้ายๆ food court เก่าๆ คือมีร้านอาหารหลายร้าน เมนูหลากหลาย ราคาไม่แพง คนฐานะชนชั้นล่างถึงกลางกินได้สบายๆ ผมได้นั่งในร้านอาหารประมาณ2ชั่วโมง ระหว่างสังเกตุการณ์ก็ได้ทานโจ๊กเนื้อ ปาท่องโก๋ เกี๊ยวกุ้งน้ำ ผักคะน้าและตับลวกราดขิงและน้ำมันงา ก็ได้พบเจอชาวต่างชาติเพียงแค่1คู่เท่านั้น เพราะเนื่องจากย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ทำให้มีชาวต่างชาติน้อย วิถีชีวิตและลักษณะรสชาติอาหารยังคงมีความดั้งเดิมและราคาถูกมาก อาหารจะเป็นในลักษณะพบได้ทั่วไปในฮ่องกงเช่น โจ๊ก ปลานึ่ง ผัดผักต่างๆ
เมื่อตกเย็นวันที่2ก็ได้มาเดินย่านTsim Sha Tsui เป็นอีกแหล่งที่คนไทยคุ้นเคย มีทั้งร้านค้าและร้านอาหารมากมาย ที่ผมรู้สึกสนใจคือมัสยิดที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจเพราะเนื่องจากคนฮ่องกงนับถือพุทธศาสนากว่า90% ทำให้โบสถ์หรือมัสยิดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนั้นหาดูค่อนข้างยาก แต่ปัจจุบันมีผู้ที่ในฮ่องกงนับถือศาสนาอิสลามอยู่จำนวนประมาณ3แสนคน มัสยิดแห่งนี้มีชื่อว่า Kowloon Masjid and Islamic Centre ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งมีอายุ33ปี ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบอิสลามดั้งเดิม และถูกทำให้โดดเด่นด้วยอาคารพาณิชย์รูปทรงทันสมัยล้อมรอบเอาไว้
วันที่ 3 ได้เดินทางไปพื้นที่3ลักษณะของฮ่องกงกง
ภาพแรกจะเป็นย่าน Jordan คือย่านที่มีผสมผสานระหว่างความเก่าและใหม่ บริเวณภาพที่ถ่ายนั้นคือตลาดเช้าขายของสดต่างๆ ในภาพจะประกอบไปด้วยอาคาร3ลักษณะที่สร้างขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างแต่กลับอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว
ภาพที่2 คือย่าน Central เป็นย่านที่เป็นใจกลางของธุรกิจและมีความหรูหรา สถาปัตยกรรมจะมีลักษณะค่อนข้างไปทางตะวันตก เป็นแหล่งธุรกิจ อาหารค่อนข้างดีและแพง การกินอยู่เป็นรูปแบบคนเมืองเต็มตัว แต่ยังคงอนุรักษ์รถรางซึ่งมีอายุมากกว่า100ปีเอาไว้
ภาพที่3 เรียกว่าย่าน Sheung Sha Wan เป็นย่านของคนที่ไม่ค่อยมีฐานะ อาคารจะมีลักษณะเก่าโทรม ผู้คนในบริเวณนี้จะมีแต่ผู้สูงอายุและเด็ก ทำให้เห็นภาวะประชากรคือมีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากและมีจำนวนเด็กน้อย โดยพื้นที่นี้จะมีรัฐบาลคอยดูแลเป็นพิเศษ บริเวณโดยรอบจะเป็นคอนโดสูงมากๆอยู่กันเป็นครอบครัวแอร์อัด ซึ่งการใช้ชีวิตต่างกับย่านCentralโดยสิ้นเชิง
ภาพที่ถ่ายขณะกำลังเดินหาของกินในย่าน Central ผมรู้สึกสนใจที่เป็นย่านที่มีความหรูหรา ทันสมัย แต่รูปแบบการก่อสร้างนั้นยังใช้รูปแบบดั้งเดิมคือใช้ไม้ไผ่ต่อตัวกันขึ้นไป
ในขณะที่กำลังเดินหาของกินเรื่อยๆในบริเวณ Central ก็ได้เจอซอยหนึ่งมีลักษณะเป็นทางเดินสูงชั้นทอดยาวมากๆ แต่ของในซอยนี้เป็นเหมือนตลาดนัดขายของทั่วไปซึ่งชาวฮ่องกงใช้ในชีวิตประจำวัน
วันที่ 4 เป็นการเดินทางวันสุดท้านบนเกาะฮ่องกงเลยได้ไปชะแว่บแถว Yau Ma Te เป็นแหล่งตลาดเก่ากลางเมืองประมาณตลาดตรอกหม้อที่ไทยอยุ่ใกล้ๆกับโรงแรม Nathan ส่วนใหญ่เน้นขายของสดเป็นหลัก มีของแห้งแซมเล็กน้อยอย่างเช่น เอ็นหอยแห้ง พุทราแห้ง แฮมยูนนาน ตามด้วยร้านขายหมูกรอบกับห่านย่างอีกนิดหน่อย วัตถุดิบหลักจะเป็นพวกผักสดอย่างคะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ฟักขน เป็นต้น จะคล้ายกับตลาดบ้านเรามากแต่วัตถุดิบจะดูผิวเนียน อบอิ่มกว่า ส่วนผลไม้จะค่อนไปทางผลไม้เมืองหนาว อย่างเลม่อน เบอร์รี่ ส้มซันสควิต โดยรวมเป็นประเทศที่ได้กลิ่นอาหารตลบอบอวนตลอดเวลาและทุกพื้นที่เนื่องจากร้านอาหารที่ฮ่องกงจะนิยมนำครัวไว้ที่หน้าร้านแล้วระบายกลิ่นออกมาด้านหน้าร้าน แต่ถ้าเป็นบ้านเราปล่อยควันอาหารมาหน้าร้านคงจามกันกระจาย แสบหูแสบตาไปหมดนอกจากกลิ่นอาหารที่คละคลุ้งตลอดเวลาแต่ที่ไม่แพ้กันเลยคือควันบุหรี่เพราะคนฮ่องกงนั้นสูบบุหรี่กันค่อนข้างหนักและไม่ค่อยสูบเป็นที่เป็นทาง อยากให้ทุกคนก่อนเดินทางทำความเข้าใจกับลักษณะพฤติกรรมของคนฮ่องกงก่อน
่
วัฒนธรรมอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์และหลายคนคุ้นเคยคือการยื่นราวไม้ไผ่ยาวๆออกมาด้านนอกอาคารเผื่อตากผ้าเหมือนชักเสาธงในแนวราบ เนื่องจากอย่างที่ทราบกันว่าที่อยู่ของคนฮ่องกงนั้นค่อนข้างเล็ก แอร์อัด จึงต้องใช้วิธีนี้กันเพื่อประหยัดพื้นที่ ในปัจจุบันเราจะเห็นราวตากผ้าจากไม้ไผ่น้อยลง จะเปลี่ยนเป็นราวโลหะแทน
ภาพสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปสนามบินก็ได้มาอำลาสถานที่บรรยากาศที่เป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของฮ่องกงคือ Star Farry เป็นท่าเรือที่ไว้ใช้สำหรับเดินทางระหว่างเกาะเกาลูนและเกาะฮ่องกง
ถ้าหากสนใจงานภาพถ่ายแนว portrait , architecture ขาวดำ สามารถติดต่อและสามารถติดตามได้ที่
https://www.facebook.com/mind.tanyakorn
เล่าเรื่องเกาะฮ่องกงผ่าน11ภาพถ่ายขาวดำ
ฮ่องกงเป็นเกาะหนึ่งที่คนไทยมีความใกล้ชิด คุ้นเคย ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ช็อปปิ้งสนุก และของกินถูกปาก เป็นที่ๆน่าสนใจแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นเขตการปกครองพิเศษของจีนและสหราชอาณาจักรได้เช่าฮ่องกงเป็นเวลา99ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1898 และได้หมดสัญญาในปี ค.ศ.1997 ในช่วงระยะเวลานี้จึงทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมขึ้น
ตลอดการเดินทาง4วัน สภาพอากาศค่อนข้างแย่ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมีละอองน้ำตลอดวัน แต่กลิ่นอาหารยังคงตลบอบอวนไปทั่วทั้งเมืองโดยไม่ขาดสาย การถ่าย Cityscape ค่อนข้างยาก เนื่องจากตัวอาหารตึกในฮ่องกงมีลักษณะสูงมากทำให้ศทางของแสง และสีตึกค่อนไปทางzoning เทากลางทั้งเมืองและท้องฟ้ายังครึ้ม ทำให้รู้สึกมีเทากลางมากเกินไป ไม่ได้ลักษณะภาพตามที่ต้องการ
ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ถ่ายเมื่อเดินทางถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย ภาพได้ถ่ายผ่านหน้าต่างในห้องพักของ Nathan Hotel โรงแรมนี้ตั้งอยู่บนย่าน Jordan เป็นย่านที่คนไทยค่อนข้างมีความคุ้นเคย ภายในภาพเราจะสังเกตุเห็นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะแตกต่างกัน โดยอาคารฝั่งซ้ายมือจะมีลักษณะเป็นอาคารเก่าบ่งบอกชีวิตความเป็นอยู่ของคนฮ่องกงที่จะมีลักษณะแบ่งห้องถี่และการเป็นอยู่แอร์อัด ส่วนตึกด้านขวามือจะมีลักษณะของสถาปัตยกรรมmodernของตะวันตก
วันที่2ได้ไปเดินบริเวณย่านMongkokจะมีตลาดที่ชื่อว่าFu Yuen Street Marketเป็นตลาดอาคาร4ชั้น ชั้นที่1-3จะเป็นร้านขายของสด ร้านอาหารอยู่ชั้นที่ 4 จะเป็นร้านอาหารในลักษณะแบบคล้ายๆ food court เก่าๆ คือมีร้านอาหารหลายร้าน เมนูหลากหลาย ราคาไม่แพง คนฐานะชนชั้นล่างถึงกลางกินได้สบายๆ ผมได้นั่งในร้านอาหารประมาณ2ชั่วโมง ระหว่างสังเกตุการณ์ก็ได้ทานโจ๊กเนื้อ ปาท่องโก๋ เกี๊ยวกุ้งน้ำ ผักคะน้าและตับลวกราดขิงและน้ำมันงา ก็ได้พบเจอชาวต่างชาติเพียงแค่1คู่เท่านั้น เพราะเนื่องจากย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ทำให้มีชาวต่างชาติน้อย วิถีชีวิตและลักษณะรสชาติอาหารยังคงมีความดั้งเดิมและราคาถูกมาก อาหารจะเป็นในลักษณะพบได้ทั่วไปในฮ่องกงเช่น โจ๊ก ปลานึ่ง ผัดผักต่างๆ
เมื่อตกเย็นวันที่2ก็ได้มาเดินย่านTsim Sha Tsui เป็นอีกแหล่งที่คนไทยคุ้นเคย มีทั้งร้านค้าและร้านอาหารมากมาย ที่ผมรู้สึกสนใจคือมัสยิดที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจเพราะเนื่องจากคนฮ่องกงนับถือพุทธศาสนากว่า90% ทำให้โบสถ์หรือมัสยิดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนั้นหาดูค่อนข้างยาก แต่ปัจจุบันมีผู้ที่ในฮ่องกงนับถือศาสนาอิสลามอยู่จำนวนประมาณ3แสนคน มัสยิดแห่งนี้มีชื่อว่า Kowloon Masjid and Islamic Centre ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งมีอายุ33ปี ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบอิสลามดั้งเดิม และถูกทำให้โดดเด่นด้วยอาคารพาณิชย์รูปทรงทันสมัยล้อมรอบเอาไว้
วันที่ 3 ได้เดินทางไปพื้นที่3ลักษณะของฮ่องกงกง
ภาพแรกจะเป็นย่าน Jordan คือย่านที่มีผสมผสานระหว่างความเก่าและใหม่ บริเวณภาพที่ถ่ายนั้นคือตลาดเช้าขายของสดต่างๆ ในภาพจะประกอบไปด้วยอาคาร3ลักษณะที่สร้างขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างแต่กลับอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว
ภาพที่2 คือย่าน Central เป็นย่านที่เป็นใจกลางของธุรกิจและมีความหรูหรา สถาปัตยกรรมจะมีลักษณะค่อนข้างไปทางตะวันตก เป็นแหล่งธุรกิจ อาหารค่อนข้างดีและแพง การกินอยู่เป็นรูปแบบคนเมืองเต็มตัว แต่ยังคงอนุรักษ์รถรางซึ่งมีอายุมากกว่า100ปีเอาไว้
ภาพที่3 เรียกว่าย่าน Sheung Sha Wan เป็นย่านของคนที่ไม่ค่อยมีฐานะ อาคารจะมีลักษณะเก่าโทรม ผู้คนในบริเวณนี้จะมีแต่ผู้สูงอายุและเด็ก ทำให้เห็นภาวะประชากรคือมีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากและมีจำนวนเด็กน้อย โดยพื้นที่นี้จะมีรัฐบาลคอยดูแลเป็นพิเศษ บริเวณโดยรอบจะเป็นคอนโดสูงมากๆอยู่กันเป็นครอบครัวแอร์อัด ซึ่งการใช้ชีวิตต่างกับย่านCentralโดยสิ้นเชิง
ภาพที่ถ่ายขณะกำลังเดินหาของกินในย่าน Central ผมรู้สึกสนใจที่เป็นย่านที่มีความหรูหรา ทันสมัย แต่รูปแบบการก่อสร้างนั้นยังใช้รูปแบบดั้งเดิมคือใช้ไม้ไผ่ต่อตัวกันขึ้นไป
ในขณะที่กำลังเดินหาของกินเรื่อยๆในบริเวณ Central ก็ได้เจอซอยหนึ่งมีลักษณะเป็นทางเดินสูงชั้นทอดยาวมากๆ แต่ของในซอยนี้เป็นเหมือนตลาดนัดขายของทั่วไปซึ่งชาวฮ่องกงใช้ในชีวิตประจำวัน
วันที่ 4 เป็นการเดินทางวันสุดท้านบนเกาะฮ่องกงเลยได้ไปชะแว่บแถว Yau Ma Te เป็นแหล่งตลาดเก่ากลางเมืองประมาณตลาดตรอกหม้อที่ไทยอยุ่ใกล้ๆกับโรงแรม Nathan ส่วนใหญ่เน้นขายของสดเป็นหลัก มีของแห้งแซมเล็กน้อยอย่างเช่น เอ็นหอยแห้ง พุทราแห้ง แฮมยูนนาน ตามด้วยร้านขายหมูกรอบกับห่านย่างอีกนิดหน่อย วัตถุดิบหลักจะเป็นพวกผักสดอย่างคะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ฟักขน เป็นต้น จะคล้ายกับตลาดบ้านเรามากแต่วัตถุดิบจะดูผิวเนียน อบอิ่มกว่า ส่วนผลไม้จะค่อนไปทางผลไม้เมืองหนาว อย่างเลม่อน เบอร์รี่ ส้มซันสควิต โดยรวมเป็นประเทศที่ได้กลิ่นอาหารตลบอบอวนตลอดเวลาและทุกพื้นที่เนื่องจากร้านอาหารที่ฮ่องกงจะนิยมนำครัวไว้ที่หน้าร้านแล้วระบายกลิ่นออกมาด้านหน้าร้าน แต่ถ้าเป็นบ้านเราปล่อยควันอาหารมาหน้าร้านคงจามกันกระจาย แสบหูแสบตาไปหมดนอกจากกลิ่นอาหารที่คละคลุ้งตลอดเวลาแต่ที่ไม่แพ้กันเลยคือควันบุหรี่เพราะคนฮ่องกงนั้นสูบบุหรี่กันค่อนข้างหนักและไม่ค่อยสูบเป็นที่เป็นทาง อยากให้ทุกคนก่อนเดินทางทำความเข้าใจกับลักษณะพฤติกรรมของคนฮ่องกงก่อน
่
วัฒนธรรมอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์และหลายคนคุ้นเคยคือการยื่นราวไม้ไผ่ยาวๆออกมาด้านนอกอาคารเผื่อตากผ้าเหมือนชักเสาธงในแนวราบ เนื่องจากอย่างที่ทราบกันว่าที่อยู่ของคนฮ่องกงนั้นค่อนข้างเล็ก แอร์อัด จึงต้องใช้วิธีนี้กันเพื่อประหยัดพื้นที่ ในปัจจุบันเราจะเห็นราวตากผ้าจากไม้ไผ่น้อยลง จะเปลี่ยนเป็นราวโลหะแทน
ภาพสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปสนามบินก็ได้มาอำลาสถานที่บรรยากาศที่เป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของฮ่องกงคือ Star Farry เป็นท่าเรือที่ไว้ใช้สำหรับเดินทางระหว่างเกาะเกาลูนและเกาะฮ่องกง
ถ้าหากสนใจงานภาพถ่ายแนว portrait , architecture ขาวดำ สามารถติดต่อและสามารถติดตามได้ที่
https://www.facebook.com/mind.tanyakorn