*คำเตือน… เนื้อหาในบทความนี้ อาจมีการเผยแพร่เนื้อหาบางส่วนของรายการ
ในที่สุดก็มาถึงรอบกล่องปริศนาที่แฟนๆมาสเตอร์เชฟรอคอย ซึ่งกล่องปริศนาในวันนี้มีวัตุดิบหลากหลายเหลือเกิน จะไทยก็ไม่ใช่ จะฝรั่งก็ไม่เชิง มีทั้งส่วนผสมของคาวและของหวาน… นี่แหละคือความสนุกสนานของมาสเตอร์เชฟ ที่เราจะได้เห็นกันว่า ผู้เข้าแข่งกันแต่ละคนจะมีความคิดสร้างสรรค์กันขนาดไหน
ซึ่งในวันนี้ วัตถุดิบหลักในกล่องนี้ก็คือ หมูคุโรบุตะ นั่นเอง
บทเรียนวันนี้
1. หากไม่สามารถทำตามอย่างคนอื่นเขาได้ ก็แสดงตัวตนในแบบของเราออกไปเลย
2. ทำความรู้จักกับสิ่งที่ตัวเองมีให้มากที่สุด เพื่อจะได้ที่นำมาแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง
3. เพราะชีวิตไม่ได้ตัดสินแค่ครั้งเดียว
หากไม่สามารถทำตามอย่างคนอื่นเขาได้ ก็แสดงตัวตนในแบบของเราออกไปเลย
จำลอง เชฟบ้านๆ จากระยอง ซึ่งไม่เคยใช้วัตถุดิบหรูหราอย่างช๊อกโกแลต หรือชีสมาก่อน ยอมรับว่ากังวล ว่าถ้าตัวเองใช้วัตถุที่ให้มาไม่ดีพอ หรือไม่มากพอ กรรมการจะไม่พอใจรึเปล่า แต่สุดท้ายจำลองก็ตัดสินใจทำอาหารในแบบของตัวเอง แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว อาหารของจำลองจะติดอันดับรั้งท้าย เป็นสองจานที่แย่ที่สุดในรอบนี้ แต่อย่างน้อยจำลองก็ทำให้กรรมการและผู้ชมได้เห็นว่าจำลองได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ในแบบฉบับของจำลองเอง (ตัวผู้เขียนเอง ยังเอาใจช่วยเลยนะเนี่ย!)
ในการทำงานก็เช่นกัน บางครั้ง เราอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน และถูกคาดหวังจากคนทั่วไป ว่าเราจะต้องทำงานได้เหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ทีทางที่คนแต่ละคนจะทำงานได้เหมือนกันเป๊ะๆ เพราะปัจจัยที่มีของแต่ละคนต่างก็ต้องแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นเพนิสัยของแต่ละคน ประสบการณ์ต่างๆที่เคยได้รับมา ความรู้ที่มี ดังนั้นวิธีการดำเนินการ และการจัดการกับปัญหาของแต่ละคนย่อมจะไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ซึ่งหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เราก็ควรจะนำความกดดันนั้นมาแปรเป็นพลังให้กับเรา ที่จะพลักดันให้เราตั้งใจแสดงความสามารถที่เรามีออกมา ในแบบของเราให้มากที่สุด แม้ผลที่ออกมาจะได้ไม่ดีเท่ากับของคนอื่น แต่คนอื่นๆก็จะมองเห็นถึงความพยายามและความตั้งใจของเราเอง
ในรอบนี้ อาหาร 3 จานที่ถูกเลือกว่าดีที่สุด คือ คุโรบุตะไทยสวีตยุโรปของโอ๊ค, เสต๊กหมูหมักครีมซอสกะปิของพลอย และ Kurobuta Jus Spice Herb & Cheese Crumble ของเปา แต่จานที่ดีที่สุดในสามจานนี้ คือ สต๊กหมูหมักครีมซอสกะปีของพลอย นั่นเอง ซึ่งทำให้พลอยได้เปรียบในการแข่งขันรอบต่อไป คือจะมีสิทธิในการเลือกโจทย์ในการแข่งขัน และมีสิทธิเลือกของในซุปเปอร์มาร์เก็ต 5 นาที ในขณะที่คนอื่นๆจะมีสิทธิเลือกแค่ 3 นาทีนั่นเอง
ซึ่งโจทย์ที่พลอยเลือกมาในวันนี้ก็คือ… โอตาเตะ หอยเชลล์ยักษ์จากฮอกไกโด
ซึ่งการแกะเปลือกหอยเชลล์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากที่เคยดูในมาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย กรรมการยังบอกว่าการแกะเปลือกหอยเนี่ย ยากมาก แกะไม่ดี หอยขาด แกะไม่ระวัง เปลือกหอยบาดมือ แต่ไม่น่าเชื่อ… มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ผู้เข้าแข่งขันแกะหอยกันเก่งๆทั้งนั้นเลย (แม้จะมีเลือดออกบ้างประปรายก็เถอะ)
ในรอบนี้เราได้ข้อคิดอะไรบ้าง .. มาดูกันต่อดีกว่า
ทำความรู้จักกับสิ่งที่ตัวเองมีให้มากที่สุด เพื่อจะได้ที่นำมาแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง
พลอย ผู้ซึ่งได้เปรียบที่สุดในรอบนี้ เพราะเป็นผู้เลือกโจทย์ และเป็นผู้ที่ได้เวลาในการเข้าไปเลือกวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็พลาด ไม่ได้หยิบเนย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเมนูของตัวเอง โชคยังดีที่พลอยมีไหวพริบ และรู้ว่าวัตถุดิบที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งคือ เบคอน นั้นสามารถนำไขมันออกมาใช้แทนเนยได้ และพลอยก็สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เป็น 1 ใน 2 ผู้ชนะของรอบนี้ไปได้
ในการทำงานของเราก็เช่นกัน เราจะต้องรู้ว่า สิ่งที่เรามีอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็น คน หรือเครื่องไม้เครื่องมือใดๆก็แล้วแต่นั้น มีความสำคัญอย่างไร และมีความสามารถในด้านไหนบ้าง เพื่อที่จะสามารถหยิบมาใช้งานให้ถูกต้องตรงตามความสามารถที่มีอยู่ และหากคนหรือเครื่องมือที่ต้องทำหน้าที่ตรงนั้นขาดไป จะสามารถนำใคร หรืออะไรมาใช้แทน ให้เกิดประสิทธิภาพใกล้เคียงกับของเดิมให้มากที่สุด เพื่อที่งานนั้นจะได้ไม่หยุดลง หรือเกิดความเสียหาย
สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่คนที่เป็นหัวหน้างาน หรือเจ้าของกิจการจะต้องทำความรู้จัก ทำความเข้าใจกับลูกน้องหรือกำลังพลของตนเองให้มาก ว่าลูกน้องที่เรามีอยู่นั้น เค้ามีความสามารถอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง คนหนึ่งคน อาจจะทำอย่างหนึ่งได้ดี แต่ก็อาจจะทำอีกอย่างได้ด้วย ซึ่งความสามารถแฝงนี่แหละ หากหัวหน้าสามารถมองเห็นและสามารถดึงศักยภาพนั้นออกมาได้ บางทีอาจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้อย่างมหาศาลเลยก็เป็นได้
เพราะชีวิตไม่ได้ตัดสินแค่ครั้งเดียว
ในวันนี้ คนที่ต้องคืนผ้ากันเปื้อนและกลับบ้านไป คือ ป้าชมพู่ แต่ในท้ายรายการป้าได้กล่าวไว้ว่า ‘ความฝันของเราถึงแม้ว่าจะจบในรายการนี้แล้ว แต่เราออกไปเรายังทำต่อ และเราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ความรักในการทำอาหารของป้า บอกเลยว่าไม่มีวันสิ้นสุด’
ทุกคนต่างก็เคยผิดพลาด เคยล้มเหลวกันมาแล้วในชีวิต ไม่ว่าจะสอบตก ตกงาน สัมภาษณ์งานไม่ผ่าน ทำธุรกิจเจ๊ง แต่ความล้มเหลวนั้น ก็เป็นเพียงแค่รอยเปื้อนดวงเล็กๆดวงหนึ่งในชีวิตของแต่ละคนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้ครั้งนี้แล้วชีวิตจะจบสิ้น หากทุกคนมีแรงสู้ ล้มแล้วพร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่ มันจะต้องมีประตูแห่งความสำเร็จประตูใดประตูหนึ่ง ที่ยังรอคอยให้เราเปิดและก้าวเข้าไปพบความสำเร็จนั้นจนได้
เช่นกัน ความสำเร็จของแต่ละคนก็ย่อมต่างกัน ในเกมนี้ ผู้ชนะอาจจะได้ชื่อว่าเป็นมาสเตอร์เชฟ ได้ถ้วยรางวัล ได้เงินล้าน แต่ความสำเร็จของคนที่ตกรอบไป อาจจะเป็นการได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารของตัวเอง แม้จะไม่ได้เงินก้อน แต่ก็อาจจะทำเงินได้มากกว่าผู้ชนะในระยะยาวก็ได้
ในการแข่งขันในวันนี้ นอกจากจะได้เห็นน้ำตาของน้องมิงค์แล้ว เรายังได้ความรู้ในเรื่องของการนำส่วนต่างๆของหอยเชลล์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากเชฟเอียนอีกด้วย แม้วันนี้เชฟจะตบโต๊ะซ้ำกับสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มันดูเดจาวูมากไปนิด แต่ความกวนและความเย่อหยิ่งผยองของเปา ก็ช่วยชูรสให้การแข่งขันวันนี้ดูมีอะไรๆมากขึ้น
สัปดาห์หน้าจะเป็นรอบการแข่งขันแบบแบ่งทีม โดยมีพลอย และนิค เป็นหัวหน้า อยากรู้จังว่าจะเข้มข้นดุเดือดเหมือนกับของต่างประเทศรึเปล่า
แล้วเราจะมาพบกันใหม่ที่นี่…
MasterChef Thailand …เวลาของคุณเริ่มแล้ว!
(Credit: ภาพจากรายการ MasterChef Thailand)
ย้อนดูตอนก่อนหน้านี้ได้ที่
https://tangthaneesa.wordpress.com/category/series-movie-review/
[CR] ข้อคิดที่ได้จากรายการ MasterChef Thailand Season 1 EP.5
ในที่สุดก็มาถึงรอบกล่องปริศนาที่แฟนๆมาสเตอร์เชฟรอคอย ซึ่งกล่องปริศนาในวันนี้มีวัตุดิบหลากหลายเหลือเกิน จะไทยก็ไม่ใช่ จะฝรั่งก็ไม่เชิง มีทั้งส่วนผสมของคาวและของหวาน… นี่แหละคือความสนุกสนานของมาสเตอร์เชฟ ที่เราจะได้เห็นกันว่า ผู้เข้าแข่งกันแต่ละคนจะมีความคิดสร้างสรรค์กันขนาดไหน
ซึ่งในวันนี้ วัตถุดิบหลักในกล่องนี้ก็คือ หมูคุโรบุตะ นั่นเอง
บทเรียนวันนี้
1. หากไม่สามารถทำตามอย่างคนอื่นเขาได้ ก็แสดงตัวตนในแบบของเราออกไปเลย
2. ทำความรู้จักกับสิ่งที่ตัวเองมีให้มากที่สุด เพื่อจะได้ที่นำมาแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง
3. เพราะชีวิตไม่ได้ตัดสินแค่ครั้งเดียว
หากไม่สามารถทำตามอย่างคนอื่นเขาได้ ก็แสดงตัวตนในแบบของเราออกไปเลย
จำลอง เชฟบ้านๆ จากระยอง ซึ่งไม่เคยใช้วัตถุดิบหรูหราอย่างช๊อกโกแลต หรือชีสมาก่อน ยอมรับว่ากังวล ว่าถ้าตัวเองใช้วัตถุที่ให้มาไม่ดีพอ หรือไม่มากพอ กรรมการจะไม่พอใจรึเปล่า แต่สุดท้ายจำลองก็ตัดสินใจทำอาหารในแบบของตัวเอง แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว อาหารของจำลองจะติดอันดับรั้งท้าย เป็นสองจานที่แย่ที่สุดในรอบนี้ แต่อย่างน้อยจำลองก็ทำให้กรรมการและผู้ชมได้เห็นว่าจำลองได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ในแบบฉบับของจำลองเอง (ตัวผู้เขียนเอง ยังเอาใจช่วยเลยนะเนี่ย!)
ในการทำงานก็เช่นกัน บางครั้ง เราอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน และถูกคาดหวังจากคนทั่วไป ว่าเราจะต้องทำงานได้เหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ทีทางที่คนแต่ละคนจะทำงานได้เหมือนกันเป๊ะๆ เพราะปัจจัยที่มีของแต่ละคนต่างก็ต้องแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นเพนิสัยของแต่ละคน ประสบการณ์ต่างๆที่เคยได้รับมา ความรู้ที่มี ดังนั้นวิธีการดำเนินการ และการจัดการกับปัญหาของแต่ละคนย่อมจะไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ซึ่งหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เราก็ควรจะนำความกดดันนั้นมาแปรเป็นพลังให้กับเรา ที่จะพลักดันให้เราตั้งใจแสดงความสามารถที่เรามีออกมา ในแบบของเราให้มากที่สุด แม้ผลที่ออกมาจะได้ไม่ดีเท่ากับของคนอื่น แต่คนอื่นๆก็จะมองเห็นถึงความพยายามและความตั้งใจของเราเอง
ในรอบนี้ อาหาร 3 จานที่ถูกเลือกว่าดีที่สุด คือ คุโรบุตะไทยสวีตยุโรปของโอ๊ค, เสต๊กหมูหมักครีมซอสกะปิของพลอย และ Kurobuta Jus Spice Herb & Cheese Crumble ของเปา แต่จานที่ดีที่สุดในสามจานนี้ คือ สต๊กหมูหมักครีมซอสกะปีของพลอย นั่นเอง ซึ่งทำให้พลอยได้เปรียบในการแข่งขันรอบต่อไป คือจะมีสิทธิในการเลือกโจทย์ในการแข่งขัน และมีสิทธิเลือกของในซุปเปอร์มาร์เก็ต 5 นาที ในขณะที่คนอื่นๆจะมีสิทธิเลือกแค่ 3 นาทีนั่นเอง
ซึ่งโจทย์ที่พลอยเลือกมาในวันนี้ก็คือ… โอตาเตะ หอยเชลล์ยักษ์จากฮอกไกโด
ซึ่งการแกะเปลือกหอยเชลล์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากที่เคยดูในมาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย กรรมการยังบอกว่าการแกะเปลือกหอยเนี่ย ยากมาก แกะไม่ดี หอยขาด แกะไม่ระวัง เปลือกหอยบาดมือ แต่ไม่น่าเชื่อ… มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ผู้เข้าแข่งขันแกะหอยกันเก่งๆทั้งนั้นเลย (แม้จะมีเลือดออกบ้างประปรายก็เถอะ)
ในรอบนี้เราได้ข้อคิดอะไรบ้าง .. มาดูกันต่อดีกว่า
ทำความรู้จักกับสิ่งที่ตัวเองมีให้มากที่สุด เพื่อจะได้ที่นำมาแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง
พลอย ผู้ซึ่งได้เปรียบที่สุดในรอบนี้ เพราะเป็นผู้เลือกโจทย์ และเป็นผู้ที่ได้เวลาในการเข้าไปเลือกวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็พลาด ไม่ได้หยิบเนย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเมนูของตัวเอง โชคยังดีที่พลอยมีไหวพริบ และรู้ว่าวัตถุดิบที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งคือ เบคอน นั้นสามารถนำไขมันออกมาใช้แทนเนยได้ และพลอยก็สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เป็น 1 ใน 2 ผู้ชนะของรอบนี้ไปได้
ในการทำงานของเราก็เช่นกัน เราจะต้องรู้ว่า สิ่งที่เรามีอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็น คน หรือเครื่องไม้เครื่องมือใดๆก็แล้วแต่นั้น มีความสำคัญอย่างไร และมีความสามารถในด้านไหนบ้าง เพื่อที่จะสามารถหยิบมาใช้งานให้ถูกต้องตรงตามความสามารถที่มีอยู่ และหากคนหรือเครื่องมือที่ต้องทำหน้าที่ตรงนั้นขาดไป จะสามารถนำใคร หรืออะไรมาใช้แทน ให้เกิดประสิทธิภาพใกล้เคียงกับของเดิมให้มากที่สุด เพื่อที่งานนั้นจะได้ไม่หยุดลง หรือเกิดความเสียหาย
สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่คนที่เป็นหัวหน้างาน หรือเจ้าของกิจการจะต้องทำความรู้จัก ทำความเข้าใจกับลูกน้องหรือกำลังพลของตนเองให้มาก ว่าลูกน้องที่เรามีอยู่นั้น เค้ามีความสามารถอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง คนหนึ่งคน อาจจะทำอย่างหนึ่งได้ดี แต่ก็อาจจะทำอีกอย่างได้ด้วย ซึ่งความสามารถแฝงนี่แหละ หากหัวหน้าสามารถมองเห็นและสามารถดึงศักยภาพนั้นออกมาได้ บางทีอาจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้อย่างมหาศาลเลยก็เป็นได้
เพราะชีวิตไม่ได้ตัดสินแค่ครั้งเดียว
ในวันนี้ คนที่ต้องคืนผ้ากันเปื้อนและกลับบ้านไป คือ ป้าชมพู่ แต่ในท้ายรายการป้าได้กล่าวไว้ว่า ‘ความฝันของเราถึงแม้ว่าจะจบในรายการนี้แล้ว แต่เราออกไปเรายังทำต่อ และเราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ความรักในการทำอาหารของป้า บอกเลยว่าไม่มีวันสิ้นสุด’
ทุกคนต่างก็เคยผิดพลาด เคยล้มเหลวกันมาแล้วในชีวิต ไม่ว่าจะสอบตก ตกงาน สัมภาษณ์งานไม่ผ่าน ทำธุรกิจเจ๊ง แต่ความล้มเหลวนั้น ก็เป็นเพียงแค่รอยเปื้อนดวงเล็กๆดวงหนึ่งในชีวิตของแต่ละคนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้ครั้งนี้แล้วชีวิตจะจบสิ้น หากทุกคนมีแรงสู้ ล้มแล้วพร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่ มันจะต้องมีประตูแห่งความสำเร็จประตูใดประตูหนึ่ง ที่ยังรอคอยให้เราเปิดและก้าวเข้าไปพบความสำเร็จนั้นจนได้
เช่นกัน ความสำเร็จของแต่ละคนก็ย่อมต่างกัน ในเกมนี้ ผู้ชนะอาจจะได้ชื่อว่าเป็นมาสเตอร์เชฟ ได้ถ้วยรางวัล ได้เงินล้าน แต่ความสำเร็จของคนที่ตกรอบไป อาจจะเป็นการได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารของตัวเอง แม้จะไม่ได้เงินก้อน แต่ก็อาจจะทำเงินได้มากกว่าผู้ชนะในระยะยาวก็ได้
ในการแข่งขันในวันนี้ นอกจากจะได้เห็นน้ำตาของน้องมิงค์แล้ว เรายังได้ความรู้ในเรื่องของการนำส่วนต่างๆของหอยเชลล์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากเชฟเอียนอีกด้วย แม้วันนี้เชฟจะตบโต๊ะซ้ำกับสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มันดูเดจาวูมากไปนิด แต่ความกวนและความเย่อหยิ่งผยองของเปา ก็ช่วยชูรสให้การแข่งขันวันนี้ดูมีอะไรๆมากขึ้น
สัปดาห์หน้าจะเป็นรอบการแข่งขันแบบแบ่งทีม โดยมีพลอย และนิค เป็นหัวหน้า อยากรู้จังว่าจะเข้มข้นดุเดือดเหมือนกับของต่างประเทศรึเปล่า
แล้วเราจะมาพบกันใหม่ที่นี่…
MasterChef Thailand …เวลาของคุณเริ่มแล้ว!
(Credit: ภาพจากรายการ MasterChef Thailand)
ย้อนดูตอนก่อนหน้านี้ได้ที่ https://tangthaneesa.wordpress.com/category/series-movie-review/