อภิญญาฤทธิ์ ไสยดำ ไสยขาว วิธีโบราณ
เรื่องของการทำคุณไสยก็ดี หรือการลงมือทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ถ้าตั้งใจแล้วว่าจะทำ ก็คือมีแต่คำว่าทำอย่างเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา อย่าให้คำหรือความรู้สึกที่คัดค้านหรือเป็นฝ่ายตรงกันข้ามโผล่หน้าเข้าได้เป็นอันขาด ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราจะทำคุณไสยใส่ใคสักคนให้ถึงตาย ความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นก็คือมีแต่ทำให้ตายๆๆๆๆอย่างเดียว ห้ามมีคำว่า เผื่อจะแก้ไขในภายหลัง ห้าามมีคำว่า กูยังมีเมตตาจึงทำแค่เบาๆ ห้ามไม่ให้มีคำว่ากลัวบาป ห้ามมิให้มีคำว่าบาปบุญเข้ามายุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด ระลึกรู้แค่ว่าจะทำให้มันถึงแก่ความตายเป็นที่สุดแต่เพียงอย่างเดียวทุกลมหายใจ เพราถ้อยคำหรือความรู้สึกนึกคิดที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้นคือสิ่งที่ทำให้ผลที่จะเกิดขึ้นลดน้อยด้อยลงไปเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่ทำก็คือทำ ฆ่าก็คือฆ่า อย่าปราณี อย่ากลัวบาป อย่าระลึกนึกถึงบาปบุญ อย่าระนึกนึกถึงบุญคุณหรืออะไรที่มันทำให้ความอำมหิตในใจของเราลดน้อยลง ถ้าทำได้อย่างนี้ ประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นจะมีอานุภาพที่ค่อนข้างรุนแรงอย่างมหาศาล
แต่ในทางกลับกัน การช่วย การแก้ หรือการต่อต้าน การป้องกัน การเยียวยารักษา ก็ใช้วิธีการดุจเดียวกัน ก็คือ ทำสิ่งใด็นึกถึงแต่สิ่งนั้น ให้จิตใจของเราจงมีแต่ความรู้สึกอย่างนั้นอย่างไม่มีเว้นว่าง
และส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือเรื่องของความเชื่อมั่นในจิตใจของตัวผู้ประกอบพิธีกรรมเองก็จะต้องมีความเชื่อมั่นอยางเต็มร้อยในวิชาที่กำลังลงมือกระทำ คำว่าเชื่อมั่นอย่างเต็มร้อยในที่นี้คือ เชื่อมั่นทั้งในจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และ จิตเหนือสำนึก ถ้าเชื่อมั่นลงในจิตทั้ง3ระดับนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้อยากเหาะก็เหาะได้ อยากแปลงกาายก็แปลงกายได้ แต่ถ้าเชื่อมั่นลงไปในจิตเพียงแค่2ระดับ คือจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ประสิทธิภาพก็จะลดลง คือืทำให้วิชาที่ใช้ปรากฎเป็นรูปธรรมขึ้นเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปธรรมที่จับต้องด้วยประสาทสัมผัสสทั้ง5ประการไม่ได้ แต่ว่าจะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อมีสื่อ และต้องอาศัยจิตที่มีอุาทานในลักษณะที่ตรงกัน ก็จะเกิดปิกิริยาต่อร่างกายหรือจิตของผู้ที่ถูกกระทำได้
แต่ว่า บุคคลผู้เป็นอริยะส่วนใหญ่ท่านเก็บตัวเงียบ ไม่สำแดงอภิญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะสำแดงก็ต่อเมื่อพบเจอบุคคลที่เหมาะสมและมีบุญญาบารมีมากพอที่จะฝึกฝนตามท่านจนเป็นผลสำเร็จได้เท่านั้น เหตุที่ท่านเก็บตัวเงียบก็เนื่องจากว่า เมื่อมีคนรับรู้ว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ กจะพากันมารุมเร้าเอาแต่ขอนั่นขอนี่ให้ช่วยนั่นช่วยนี่ตามประสาคนโลภโมโทสันกิเลสหนาปัญญาน้อย ไม่คิดจะทำเองปฏิบัติเอง พอท่านไม่ช่วยเพราะเห็นว่าบุญญาบารมีคนๆนั้นไม่พอไม่ถึงกับสิ่งที่ขอ ก็จะพากันกล่าวโทษท่านว่าใจดำบ้างอะไรบ้างจนเป็นบาปเป็นเวรติดตัวไปให้เกิดผลร้ายหนักหนาสาหัสมากมายยิ่งกว่าเดิม เพราะเหตุนี้ เหล่าพระอริยะบุคคลทั้งหลายท่านจึงสำแดงแต่เมื่อถึงคราวจำเป็นและอยู่ในที่ลับตาคนหรือนคนกลุ่มน้อยที่เหมาะสมหรือสมควรที่จะรู้ได้เท่านั้น
ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายได้ก็เท่าแต่วิธีการฝึกจิตให้บังเกิดความเชื่อมั่นลงไปได้ทั้ง3ระดับอย่างที่กล่าวมาก็เท่านั้นเอง หลังจากนี้ไป ท่านใดจะเอาไปฝึกฝนได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่วาสนาของตัวท่านเอง สาธุการ
จำไว้ให้ขึ้นใจไปจนตลอดกาลอย่างเดียวว่า เลือกดำหรือเลือกขาว ก็จงรับผลของสิ่งที่เลือกที่มันจะตอบสนองกลับมาอย่างแน่นอน โดยไม่อาจหลีกหนีไปไหนได้เลย แล้วทีนี้ใครยังจะเลือกเอาฝ่ายไหนก็ตามแต่ใจตนเองเถอะ เพราะอย่างไรเสียกฎแห่งกรรมก็ยังเที่ยงธรรมอยู่เสมอ แค่มาเล่าไว้ให้เห็นทั้งสองด้านเท่านั้นเอง ใครไม่พอใจก็ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายให้มากเรื่อง ทำตัวเองให้ดีหรือทำตัวให้มีประโยชน์กับสังคมเสียก่อนน่าจะดีกว่า ถ้าตัวเองยังไร้ค่าเป็นได้แค่ขยะหาคุณประโยชน์ให้สังคมเหมือนอย่างที่พวกเราทำกันทุกวันนี้ยังไม่ได้สักอย่าง ก็อย่าบังอาจวิจารณ์คนอื่นทั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่ขยะไปล่ปลิวอยู่ในโลกนี้
โหราจารย์ รพีนาถ เทพเวทิน
อภิญญา ไสยดำ ไสยขาว วิธีแบบโบราณ
เรื่องของการทำคุณไสยก็ดี หรือการลงมือทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ถ้าตั้งใจแล้วว่าจะทำ ก็คือมีแต่คำว่าทำอย่างเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา อย่าให้คำหรือความรู้สึกที่คัดค้านหรือเป็นฝ่ายตรงกันข้ามโผล่หน้าเข้าได้เป็นอันขาด ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราจะทำคุณไสยใส่ใคสักคนให้ถึงตาย ความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นก็คือมีแต่ทำให้ตายๆๆๆๆอย่างเดียว ห้ามมีคำว่า เผื่อจะแก้ไขในภายหลัง ห้าามมีคำว่า กูยังมีเมตตาจึงทำแค่เบาๆ ห้ามไม่ให้มีคำว่ากลัวบาป ห้ามมิให้มีคำว่าบาปบุญเข้ามายุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด ระลึกรู้แค่ว่าจะทำให้มันถึงแก่ความตายเป็นที่สุดแต่เพียงอย่างเดียวทุกลมหายใจ เพราถ้อยคำหรือความรู้สึกนึกคิดที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้นคือสิ่งที่ทำให้ผลที่จะเกิดขึ้นลดน้อยด้อยลงไปเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่ทำก็คือทำ ฆ่าก็คือฆ่า อย่าปราณี อย่ากลัวบาป อย่าระลึกนึกถึงบาปบุญ อย่าระนึกนึกถึงบุญคุณหรืออะไรที่มันทำให้ความอำมหิตในใจของเราลดน้อยลง ถ้าทำได้อย่างนี้ ประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นจะมีอานุภาพที่ค่อนข้างรุนแรงอย่างมหาศาล
แต่ในทางกลับกัน การช่วย การแก้ หรือการต่อต้าน การป้องกัน การเยียวยารักษา ก็ใช้วิธีการดุจเดียวกัน ก็คือ ทำสิ่งใด็นึกถึงแต่สิ่งนั้น ให้จิตใจของเราจงมีแต่ความรู้สึกอย่างนั้นอย่างไม่มีเว้นว่าง
และส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือเรื่องของความเชื่อมั่นในจิตใจของตัวผู้ประกอบพิธีกรรมเองก็จะต้องมีความเชื่อมั่นอยางเต็มร้อยในวิชาที่กำลังลงมือกระทำ คำว่าเชื่อมั่นอย่างเต็มร้อยในที่นี้คือ เชื่อมั่นทั้งในจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และ จิตเหนือสำนึก ถ้าเชื่อมั่นลงในจิตทั้ง3ระดับนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้อยากเหาะก็เหาะได้ อยากแปลงกาายก็แปลงกายได้ แต่ถ้าเชื่อมั่นลงไปในจิตเพียงแค่2ระดับ คือจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ประสิทธิภาพก็จะลดลง คือืทำให้วิชาที่ใช้ปรากฎเป็นรูปธรรมขึ้นเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปธรรมที่จับต้องด้วยประสาทสัมผัสสทั้ง5ประการไม่ได้ แต่ว่าจะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อมีสื่อ และต้องอาศัยจิตที่มีอุาทานในลักษณะที่ตรงกัน ก็จะเกิดปิกิริยาต่อร่างกายหรือจิตของผู้ที่ถูกกระทำได้
แต่ว่า บุคคลผู้เป็นอริยะส่วนใหญ่ท่านเก็บตัวเงียบ ไม่สำแดงอภิญญาอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะสำแดงก็ต่อเมื่อพบเจอบุคคลที่เหมาะสมและมีบุญญาบารมีมากพอที่จะฝึกฝนตามท่านจนเป็นผลสำเร็จได้เท่านั้น เหตุที่ท่านเก็บตัวเงียบก็เนื่องจากว่า เมื่อมีคนรับรู้ว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ กจะพากันมารุมเร้าเอาแต่ขอนั่นขอนี่ให้ช่วยนั่นช่วยนี่ตามประสาคนโลภโมโทสันกิเลสหนาปัญญาน้อย ไม่คิดจะทำเองปฏิบัติเอง พอท่านไม่ช่วยเพราะเห็นว่าบุญญาบารมีคนๆนั้นไม่พอไม่ถึงกับสิ่งที่ขอ ก็จะพากันกล่าวโทษท่านว่าใจดำบ้างอะไรบ้างจนเป็นบาปเป็นเวรติดตัวไปให้เกิดผลร้ายหนักหนาสาหัสมากมายยิ่งกว่าเดิม เพราะเหตุนี้ เหล่าพระอริยะบุคคลทั้งหลายท่านจึงสำแดงแต่เมื่อถึงคราวจำเป็นและอยู่ในที่ลับตาคนหรือนคนกลุ่มน้อยที่เหมาะสมหรือสมควรที่จะรู้ได้เท่านั้น
ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายได้ก็เท่าแต่วิธีการฝึกจิตให้บังเกิดความเชื่อมั่นลงไปได้ทั้ง3ระดับอย่างที่กล่าวมาก็เท่านั้นเอง หลังจากนี้ไป ท่านใดจะเอาไปฝึกฝนได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่วาสนาของตัวท่านเอง สาธุการ
จำไว้ให้ขึ้นใจไปจนตลอดกาลอย่างเดียวว่า เลือกดำหรือเลือกขาว ก็จงรับผลของสิ่งที่เลือกที่มันจะตอบสนองกลับมาอย่างแน่นอน โดยไม่อาจหลีกหนีไปไหนได้เลย แล้วทีนี้ใครยังจะเลือกเอาฝ่ายไหนก็ตามแต่ใจตนเองเถอะ เพราะอย่างไรเสียกฎแห่งกรรมก็ยังเที่ยงธรรมอยู่เสมอ แค่มาเล่าไว้ให้เห็นทั้งสองด้านเท่านั้นเอง ใครไม่พอใจก็ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายให้มากเรื่อง ทำตัวเองให้ดีหรือทำตัวให้มีประโยชน์กับสังคมเสียก่อนน่าจะดีกว่า ถ้าตัวเองยังไร้ค่าเป็นได้แค่ขยะหาคุณประโยชน์ให้สังคมเหมือนอย่างที่พวกเราทำกันทุกวันนี้ยังไม่ได้สักอย่าง ก็อย่าบังอาจวิจารณ์คนอื่นทั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่ขยะไปล่ปลิวอยู่ในโลกนี้
โหราจารย์ รพีนาถ เทพเวทิน