ระหว่างการสนทนากับพระในเย็นวันหนึ่งกับหัวข้อเรื่อง "พระเครื่องกับคุณไสย" หลวงพี่เลยยกภาษิตที่ว่า
ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม
.
พระท่านว่า คนเราลงว่ามีกรรมต่อกันแล้ว ต่อให้ใส่เครื่องรางของขลังดีขนาดไหนก็ไม่สามารถกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เครื่องรางของขลังเป็นเพียงส่วนที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้...บ้าง
.
คนที่ทำคุณไสยฯใส่คนอื่น ในทางพุทธเชื่อว่าจิตและคาถาเป็นสิ่งสำคัญกว่าอุปกรณ์หรือของที่จะนำมาประกอบพิธี มนต์หรือคาถาของทางพุทธ เช่น คาถาหัวใจพระพุทธเจ้า เป็นคาถากลางๆ อยู่ที่ว่าจิตของคนใช้จะใช้เอาไปทำอะไร เอาไปทำชั่วก็นะโมพุทธายะไว้ตั้งจิต เอาไปทำดีก็ยังคงนะโมพุทธายะเช่นกัน คาถาไม่ผิด จิตคนทำเป็นสิ่งสำคัญ
.
ทีนี้หลวงพี่ท่านจึงยกตัวอย่างการทำคุณไสยที่ไม่มีชาวพุทธผู้สนใจในไสยเวทวิชาอาคมใดไม่เคยได้ยิน นั่นคือกรณีของหลวงพ่อปาน ที่เกือบมรณะภาพด้วยวิชาบังฟัน ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาที่คล้ายๆการใช้มือที่มองไม่เห็นทำร้ายคน โดยที่ไม่ปรากฎแผลภายนอก
.
หลวงพ่อปานเป็นพระที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้า เป็นอาจารย์ของพระอริยเจ้าหลายๆรูปในเมืองไทย ไม่เว้นแม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง หรือหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน แต่แม้ว่าจะเก่งปานใด ชีวิตของคนเราก็ไม่แน่นอน มันต้องมีบ้างที่เผลอนิ่งนอนใจไป วันที่เกิดเรื่องนั้น ท่านจำวัดอยู่ที่วัดประตูสาน จ.สุพรรณบุรี กำลังจะสรงน้ำจึงผลัดผ้าออก ถอดพระเครื่องที่ห้อยคอออก ทั้งสองอย่างนี้หากอยู่ติดกับตัวแล้ว เชื่อกันว่าจะเป็นเกราะคุ้มภยันอันตรายได้ในระดับหนึ่ง แต่ร่างหลวงพ่อที่ปลดเครื่องป้องกันออก จึงเป็นโอกาสชั้นดีให้คนทุศีลทำวิชาใส่
.
มีคนถ่ายรูปหลวงพ่อปานขณะกำลังนั่งสมาธิเจริญภาวนารักษาตนเองร่วมกับการรักษาของอาจารย์จาบ สุวรรณ ผู้เป็นสหธรรมิก เมื่อล้างรูปออกมา เห็นเป็นเส้นสีขาวสว่างวาบพาดสะพายแล่งบนลำตัวของหลวงพ่อปานในวัย 38 ปี ทำเอาท่าน "ช้ำใน" จนเกือบมรณะภาพ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้
.
หลวงพี่เล่าถึงวิชาบังฟันนี้ว่า ผู้ทำจะเอามวลสารอันประกอบด้วยดินป่าช้าและมวลสารอื่นๆมาตำเข้าด้วยกัน และเศษจากอุปกรณ์ของใช้หรือร่างกายของคนที่จะทำของใส่มาผสม ก่อนที่จะปั้นเป็นรูปคนแล้วเรียกรูปเรียกนามจำลองว่าหุ่นตรงหน้าคือคนๆนั้น จากนั้นจึงใช้พระขรรค์อันเป็นอาวุธสูงศักดิ์ในความเชื่อ ฟันฉับลงตรงหุ่น ผลที่ได้คือคนผู้นั้นจะมีอาการช้ำในและตายในที่สุดหากไม่ได้รับการแก้ไขได้ทันท่วงที
.
ท่านเล่าเพิ่มเติมว่า สิ่งที่จะนำมาเป็นสื่อสำหรับเรียกรูปเรียกนามให้กับหุ่นปั้นตรงหน้า เป็นไปได้ตั้งแต่เศษผม ขน เล็บ ฯลฯ หรือแม้แต่เศษจีวร หากสิ่งเหล่านี้หาไม่ได้ เขาจะเอาดินที่อยู่กลางรอยเท้าที่คนผู้นั้นเหยียบมาใช้แทนก็ย่อมได้
จริงอยู่ที่คนเราย่อมต้องมีอะไรบางอย่างรออยู่เบื้องหน้าในอนาคต บางศาสนาเรียกว่ากรรม บางศาสนาเชื่อว่าเป็นบททดสอบจากพระเจ้า ผู้ไม่มีศาสนาอาจคิดว่าเป็นความซวย แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของคน คือการตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทเป็นดีที่สุด และก่อนจะทำการอะไรลงไป ควรต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนว่าเมื่อทำลงไปแล้วจะไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อคนอื่นมักไม่มีความสุขในชีวิต เขาจะหายใจด้วยความร้อนรนและกระวนกระวายใจเพราะไม่มีวิชาชั่วช้าใดไม่ "กินตัว" ผู้ฝึก นอกเสียจากวิชาที่ดี นั่นคือการเรียนรู้ที่จะประสงค์ดี หมายถึงมีความเมตตาต่อตนเองและเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่น มิใช่การประสงค์ร้ายต่อชีวิตและทรัพสินดังที่ได้เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์
ไสยศาสตร์ไทย : "วิชาบังฟัน"
เรื่องและภาพ : FB Page >>> Demonology - ปีศาจวิทยา
https://www.facebook.com/demonologydemonologist/posts/498492810535314:0
ระหว่างการสนทนากับพระในเย็นวันหนึ่งกับหัวข้อเรื่อง "พระเครื่องกับคุณไสย" หลวงพี่เลยยกภาษิตที่ว่า ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม
.
พระท่านว่า คนเราลงว่ามีกรรมต่อกันแล้ว ต่อให้ใส่เครื่องรางของขลังดีขนาดไหนก็ไม่สามารถกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เครื่องรางของขลังเป็นเพียงส่วนที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้...บ้าง
.
คนที่ทำคุณไสยฯใส่คนอื่น ในทางพุทธเชื่อว่าจิตและคาถาเป็นสิ่งสำคัญกว่าอุปกรณ์หรือของที่จะนำมาประกอบพิธี มนต์หรือคาถาของทางพุทธ เช่น คาถาหัวใจพระพุทธเจ้า เป็นคาถากลางๆ อยู่ที่ว่าจิตของคนใช้จะใช้เอาไปทำอะไร เอาไปทำชั่วก็นะโมพุทธายะไว้ตั้งจิต เอาไปทำดีก็ยังคงนะโมพุทธายะเช่นกัน คาถาไม่ผิด จิตคนทำเป็นสิ่งสำคัญ
.
ทีนี้หลวงพี่ท่านจึงยกตัวอย่างการทำคุณไสยที่ไม่มีชาวพุทธผู้สนใจในไสยเวทวิชาอาคมใดไม่เคยได้ยิน นั่นคือกรณีของหลวงพ่อปาน ที่เกือบมรณะภาพด้วยวิชาบังฟัน ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาที่คล้ายๆการใช้มือที่มองไม่เห็นทำร้ายคน โดยที่ไม่ปรากฎแผลภายนอก
.
หลวงพ่อปานเป็นพระที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้า เป็นอาจารย์ของพระอริยเจ้าหลายๆรูปในเมืองไทย ไม่เว้นแม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง หรือหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน แต่แม้ว่าจะเก่งปานใด ชีวิตของคนเราก็ไม่แน่นอน มันต้องมีบ้างที่เผลอนิ่งนอนใจไป วันที่เกิดเรื่องนั้น ท่านจำวัดอยู่ที่วัดประตูสาน จ.สุพรรณบุรี กำลังจะสรงน้ำจึงผลัดผ้าออก ถอดพระเครื่องที่ห้อยคอออก ทั้งสองอย่างนี้หากอยู่ติดกับตัวแล้ว เชื่อกันว่าจะเป็นเกราะคุ้มภยันอันตรายได้ในระดับหนึ่ง แต่ร่างหลวงพ่อที่ปลดเครื่องป้องกันออก จึงเป็นโอกาสชั้นดีให้คนทุศีลทำวิชาใส่
.
มีคนถ่ายรูปหลวงพ่อปานขณะกำลังนั่งสมาธิเจริญภาวนารักษาตนเองร่วมกับการรักษาของอาจารย์จาบ สุวรรณ ผู้เป็นสหธรรมิก เมื่อล้างรูปออกมา เห็นเป็นเส้นสีขาวสว่างวาบพาดสะพายแล่งบนลำตัวของหลวงพ่อปานในวัย 38 ปี ทำเอาท่าน "ช้ำใน" จนเกือบมรณะภาพ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้
.
หลวงพี่เล่าถึงวิชาบังฟันนี้ว่า ผู้ทำจะเอามวลสารอันประกอบด้วยดินป่าช้าและมวลสารอื่นๆมาตำเข้าด้วยกัน และเศษจากอุปกรณ์ของใช้หรือร่างกายของคนที่จะทำของใส่มาผสม ก่อนที่จะปั้นเป็นรูปคนแล้วเรียกรูปเรียกนามจำลองว่าหุ่นตรงหน้าคือคนๆนั้น จากนั้นจึงใช้พระขรรค์อันเป็นอาวุธสูงศักดิ์ในความเชื่อ ฟันฉับลงตรงหุ่น ผลที่ได้คือคนผู้นั้นจะมีอาการช้ำในและตายในที่สุดหากไม่ได้รับการแก้ไขได้ทันท่วงที
.
ท่านเล่าเพิ่มเติมว่า สิ่งที่จะนำมาเป็นสื่อสำหรับเรียกรูปเรียกนามให้กับหุ่นปั้นตรงหน้า เป็นไปได้ตั้งแต่เศษผม ขน เล็บ ฯลฯ หรือแม้แต่เศษจีวร หากสิ่งเหล่านี้หาไม่ได้ เขาจะเอาดินที่อยู่กลางรอยเท้าที่คนผู้นั้นเหยียบมาใช้แทนก็ย่อมได้
จริงอยู่ที่คนเราย่อมต้องมีอะไรบางอย่างรออยู่เบื้องหน้าในอนาคต บางศาสนาเรียกว่ากรรม บางศาสนาเชื่อว่าเป็นบททดสอบจากพระเจ้า ผู้ไม่มีศาสนาอาจคิดว่าเป็นความซวย แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของคน คือการตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทเป็นดีที่สุด และก่อนจะทำการอะไรลงไป ควรต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนว่าเมื่อทำลงไปแล้วจะไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อคนอื่นมักไม่มีความสุขในชีวิต เขาจะหายใจด้วยความร้อนรนและกระวนกระวายใจเพราะไม่มีวิชาชั่วช้าใดไม่ "กินตัว" ผู้ฝึก นอกเสียจากวิชาที่ดี นั่นคือการเรียนรู้ที่จะประสงค์ดี หมายถึงมีความเมตตาต่อตนเองและเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่น มิใช่การประสงค์ร้ายต่อชีวิตและทรัพสินดังที่ได้เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์