[CR] One Day Trip ตำนานแห่งความรัก ณ “เกาะสีชัง” จ. ชลบุรี

ว่ากันว่าที่เกาะสีชังเนี่ยเป็นเกาะแห่งรัก เต็มไปด้วยเรื่องราวตำนานแห่งความรัก หากผู้ใดต้องการเสริมดวงชะตาด้านความรักให้กับชีวิต ผู้นั้นจะต้องไปรับพลังจากแสงอรุณแรกแย้ม ณ ปลายสะพานแห่งรัก และอธิษฐานขอพร ณ กลางช่องเขาในยามพระอาทิตย์ตกดินซึ่งทั้งสะพานแห่งรักและช่องเขาดังกล่าวนั้นต่างก็อยู่บนพื้นที่ของเกาะสีชัง


ก่อนอื่นเลยเราต้องเปิด Google Maps ไป “ท่าเรือเกาะลอย” กันหลงเอาไว้ก่อน 555555 ซึ่งตอนนี้ปิดปรับปรุงอยู่ แต่มีอีกท่าเรือนึงอยู่ใกล้ๆกันเราก็ชับไปเรื่อยๆจนใกล้ถึงแล้วมันจะมีป้ายเล็กป้ายน้อยบอกทางไปท่าเรือ ก็ขับไปตามป้ายเลย พอถึงแล้วก็เลี้ยวเข้าไปได้จอดรถตรงท่าเรือได้เลย ไม่มีค่าจอดรถนะ เรือจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 06.00-20.00 น.


สำหรับคนที่มารถสาธารณะ ที่ท่าเรือมีรถตุ๊กตุ๊กให้บริการเพียบ
พอมาถึงท่าเรือก็ทำการซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ได้เลย


ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือไปเกาะสีชังประมาณ 30-45 นาที แล้วก็แถวท่าเรือจะมีของกินขายเยอะแยะเลย จะซื้อไปบนเรือเลยก็ได้ ที่สำคัญญญ! ส้มตำแซ่บมากกก สิบสิบไปเลยจ้า


ใกล้ถึงแล้ววววว


ยินดีต้อนรับเข้าสู่เกาะสีชัง



พอมาถึงเกาะสีชังให้เราเดินไปเรื่อยๆก็จะมีให้เช่ามอเตอร์ไซค์-เช่าสกายแลป หรือจะใช้บริการพี่วินมอไซก็ได้
เราเลือกเช่าสกายแลป เขาก็จะพาทัวร์รอบเกาะ พาไปเที่ยว ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ (วัดจีน), จุดชมวิวเขาขาด, วังเก่า ร.5, หาดทรายถ้ำพัง ในราคา 250 บาท แต่เราไม่ได้ไปเที่ยววัดจีนนะเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก


Let's Gooooo!!

จุดชมวิวเขาขาด (ช่องอิศริยาภรณ์)


ตรงนี้เราไม่ได้ขึ้นไปเพราะว่าขึ้นไปนิดนึงเจอกิ้งกือเต็มเลย แล้วตัวใหญ่มากกกก ขอบายดีกว่า 5555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เดินเข้าไปเรื่อยๆไปที่ “สะพานวชิราวุธ” วิวสวย มองเห็นทะเล ภูเขา มีมุมให้ถ่ายรูปชิคๆเพียบบบ


ระหว่างทางไปเนี่พระบรมรูป ร.5 จะเห็นหมูป่าอยู่ข้างทางเยอะมาก ใครที่เช่ามอเตอร์ไซค์ขับก็อย่าขับเร็วกันนะ ตัวเราอาจจะเป็นอันตรายได้


พี่คนขับเล่าว่า เมื่อก่อนที่นี่เขาเลี้ยงหมูเป็นสัตว์เลี้ยงกัน แต่เคยมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวแล้วขับรถชนหมูจนเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิต ตัวเจ้าของเองก็ไม่มีเงินมากพอจะไปจ่ายให้เขาได้ ก็เลยปล่อยหมูคืนสู่ธรรมชาติกัน ที่นี่มีหมูป่าเยอะมาก ประมาณ 600-800 ตัว

พระบรมรูป ร.5, สะพานอัษฎางค์, พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์


ทั้งหมดนี้จะอยู่โซนเดียวกันหมดเลย จริงๆมีเรือนไม้ริมทะเล หรือ เรือนไม้สีเขียวด้วย แต่รูปมันเบลอมากเลยตัดทิ้งไป ตรงโซนนี้เหมือนสวนสาธารณะเล็กๆ มีม้านั่งให้นั่งชมทะเล วิวภูเขา บรรยากาศร่มรื่นมากต้นไม้เต็มไปหมดเลย ที่นี่มีแมลงหวี่เยอะเหมือนกัน จะรู้สึกรำคาญหน่อยๆ

พระบรมรูป ร.5
จะตั้งอยู่บนเนินเขา เดินขึ้นมานิดหน่อยก็จะพบพระองค์ท่านนั่งไขว่ห้าง ด้านข้างก็จะมีร้านขายดอกไม้ ธูป เทียนอยู่สามารถซื้อตรงจากตรงนั้น


สะพานอัษฎางค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานนี้ขึ้นมาและพระราชทานนามว่า “สะพานอัษฎางค์”


ด้านข้างสะพานอัษฎางค์ ตรงบริเวณนี้สามารถเล่นน้ำได้นะ คลื่นไม่แรงมากและค่อนข้างสะอาด

พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯมาวางศิลาฤกษ์พระที่นั่งองค์ใหญ่ในพระจุฑาธุชราชฐานเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2435 พร้อมกับพระราชทานนามพระที่นั่งองค์ใหญ่นี้ว่า พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ และในวันเดียวกันนี้ก็มีพระราชพิธีอีก 2 พิธีคือ พิธีสมโภชน์เดือนพระราชกุมาร และพระราชทานนามพระราชกุมารว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิรกฯ” และพิธีพระราชทานนามพระราชฐานว่า “พระจุฑาธุชราชฐาน” พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ใช้เป็นที่ประทับอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสนำเรือรบเข้ามาในน่านน้ำไทยและได้ต่อสู้กับทหารเรือที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า มีการปิดอ่าวไทยและมีทหารส่วนหนึ่งขึ้นมาบนเกาะสีชัง ทำให้ไม่เป็นการปลอดภัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯมาประทับที่เกาะสีชัง จึงเสด็จฯกลับกรุงเทพฯ ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 หลังจากเสด็จฯกลับจากประพาสยุโรป ได้เสด็จฯประพาสหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ทรงทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์รกร้างอยู่ จึงมีพระบรมราชโองการจัดการรื้อพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์มาสร้างในพระราชวังสวนดุสิต กรุงเทพมหานครฯและทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ”
ขอบคุณข้อมูลจาก phrachudadhuj.com


ตรงแถวๆพระที่นั่งก็จะเป็นสวนหย่อมเล็กๆให้เราได้พักผ่อนกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นอีกที่ที่เหมาะกับการนั่งกินลมชมวิว นั่งมองทะเลกับภูเขาเพลินๆ ดีงามมมม
ตรงนี้ไม่มั่นใจว่าเล่นน้ำได้หรือเปล่านะ น้ำค่อนข้างใสแต่เศษขยะจะเยอะนิดนึง


พักผ่อนกันเสร็จแล้วอย่าลืมไปทิ้งขยะให้ถูกจุดนะคะ ข้อนี้สำคัญมากๆเลย

มาต่อกันที่สุดท้ายยยย!!
ระหว่างทางไปอ่าวอัษฎางค์ก็ขอแชะพี่คนขับซะหน่อย พี่เขาเฟรนลี่มากก เล่นมุกอะไรพี่เขาก็รับได้หมด 55555

สถานีต่อไปปปป >> อ่าวอัษฎางค์

หาดทรายถ้ำพัง หรือ อ่าวอัษฎางค์
เป็นหาดที่มีคนนิยมมาเล่นน้ำกันที่นี่ น่าจะเพราะมีที่พัก ร้านอาหาร มีเตียงผ้าใบให้นั่ง-นอนกันได้ แต่ตอนที่เราไปคือตอนเย็นกะจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินเล๊ยยย แต่ฟ้าครึ้มทั้งวัน โชคดีมากที่ฝนไม่ตก TT


ค่าเช่าเตียงผ้าใบ จันทร์-ศุกร์ ฟรี!! เสาร์-อาทิตย์ ตัวละเท่าไหร่ไม่รู้มีคนจ่ายให้  555555
ราคาค่าอาหารที่นี่ค่อนข้างแพง เพราะด้วยการขนส่งที่ลำบากอะไรหลายๆอย่างก็แพงตามไปด้วย


กลับแล้วจ้าาาาา  ขากลับแวะถ่ายรูปประภาคารสักภาพสองภาพ ระหว่างรอเรือออก

อัษฎางค์ประภาคาร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างอัษฎางค์ประภาคารขึ้นเพื่อใช้ส่องสัญญาณไฟนำทางให้แก่เรือต่างๆที่ออกเรือประมงตกปลา ตกหมึกในยามค่ำคืน เนื่องจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสีชังมีศิลาสัมปันยื้อกีดขวางเส้นทางเดินเรือ และอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่เรือประมงที่แล่นเข้า – ออก  บริเวณประภาคาร
เนื่องจากอัษฎางค์ประภาคารตั้งอยู่บริเวณส่วนปลายสุดของ “แหลมวัง” ชาวบ้านบนเกาะสีชังจึงนิยมเรียกประภาคารแห่งนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ประภาคารแหลมวัง”


ค่าเรือขากลับ 60 บาท เพราะไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ทำให้รอบ 19.00 น. ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 60 บาท

สรุปค่าเสียหาย (ไม่รวมค่าน้ำมันและค่ากิน) ราคาต่อคน
- ค่าเรือขาไป 50 บาท
- ค่าเรือขากลับ 60 บาท (ถ้ารอบก่อน 19.00 น. ก็ 50 บาทตามเดิม)
- ค่าเช่าสกายแลป 250 บาท

ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ
ขอบคุณค่าาา

Fanpage : https://www.facebook.com/fairytraveller/
ชื่อสินค้า:   เกาะสีชัง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่