สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
"สังคม" ประเทศเราเป็นแบบนี้ครับ
ไม่ใช่ว่ากลุ่มจขกท.และเพื่อนๆเผอิญเป็นแบบนั้นด้วยตัวเองนะ แต่สังคมเราสร้างเด็กแบบนี้ออกมาเยอะจริงๆ
จนตอนนี้ก็เถอะ แม้แต่กลุ่ม "ผู้ใหญ่" เอง ยังเหยียดเลย ... เด็กจะรอดหรือ?
เห็นนิโกรตัวดำๆเดินมา ... ถามหน่อยว่าผู้ใหญ่ชาวไทยทำยังไง? หลายๆคนแสดงตัว นินทาหรือพูดถึงเค้าแบบไม่ต่างจากจขกท.สมัยเด็กเลยครับ
เอาง่ายๆ แม้แต่ "ครู" บางทียังหยิบเอาปมด้อยของนักเรียนมาล้อกลางชั้นเรียนเลยครับ (ไม่รู้ว่าผมเรียนร.ร.ไม่ดีมาหรือเปล่านะ คนอื่นเห็นว่าไง? แต่ผมเจอครูทำแบบนี้กับนักเรียนบ่อยมาก และไม่ใช่ครูคนเดียวหรือสองคนที่ทำแบบนี้)
ไม่ว่าจะเด็กที่เป็นตุ๊ด กระเทย เกย์ อ้วน เตี๊ย ดำสิว โดนหมด ... หล่อๆสวยๆยังโดนหมั่นไส้เลย แน่นอนว่าคนหล่อคนสวยจะโชคดีในบางด้าน แต่ลองไปถามดูได้ครับ ว่าโดนเหยียดแบบไม่มีเหตุผลเพราะสวยหล่อไหม? รับรองว่าเค้าก็โดนกันมาเยอะ ... พวกไม่โดนนี่คือเรียบๆเพลนๆจืดๆทั่วไปสามัญชน
เรียนเก่งจะโดนเหยียดว่าทำงานไม่เป็น เอาแต่อ่านหนังสือ แต่สังคมไม่เป็น (ปริญญาเกียรตินิยม โดนบอกบ่อยๆว่ากระดาษแผ่นเดียว ... แล้วทำไมคนอื่นหากระดาษแผ่นเดียวง่ายๆแบบนี้มาครองไม่ได้ ถามหน่อย?)
ว่าก็ว่าเถอะนะ นิสัยดียังโดนเลยครับ หาว่าสร้างภาพเอยอะไรเอย เอาหน้า ประจบ ฯลฯ
...
สังคมเราคือสังคมเห็นคนด้อยกว่า ขุดมาเหยียบย่ำมากระทืบ ยกตนให้สูงกว่า
เห็นคนดีกว่า ก็จะหาข้อโน้นข้อนี้มาอ้าง ว่าจริงๆก็งั้นๆ เพื่อให้ตนเองดูสูงกว่า
...
หลายๆคนอาจจะบอกว่าอย่าเหมารวม คนดีๆมี แต่ถ้าในสังคมหนึ่งๆเราเจอคนทำแบบนั้น แล้วเราไม่ได้ทำอะไร ยืนดูเฉยๆ ภาพรวมในสังคมมันก็สะท้อนออกมาแบบเหมารวมล่ะครับ
ผมเองก็เคยเป็นแบบจขกท.ครับ แต่อาจจะไม่ได้ลงไม้ลงมือแสดงตัวอะไร ... ก็แค่ยืนดูอยู่ห่างๆและไม่ได้ทำอะไร ถามว่ามันน่ารังเกียจต่างกันไหม? ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
เพื่อนโดนครูว่าอย่างไร้เหตุผล ก็ก้มหน้าก้มตาไป เราไม่ใช่คนที่โดน
เพื่อนขี้เหร่ๆโดนเหยียดโดนแกล้ง ก็ก้มหน้าก้มตาไป เพราะเราไม่ใช่คนที่โดน (โชคดีที่เกิดมาเรียบๆเพลนๆจืดๆ -*-)
แต่หลักๆคือ ตอนเป็นเด็กผมเห็นเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกว่าอยากช่วยแต่ไม่กล้านะ ... ผมรู้สึกเฉยๆ รู้สึกปกติ
รู้สึกแค่ว่า คนดำโดนล้อว่าดำแล้วไง ก็ดำจริงไง ... ซึ่งนี่แหละ ถือว่าเลวร้ายเหมือนกัน -*-
...
แต่จขกท.อย่าไปซีเรียสเลยครับ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร
วันนี้เรา "หลุดพ้น" จากความรู้สึกนึกคิดต่ำๆแบบนั้นมาได้ นี่โชคดีที่สุดแล้วครับ
ตอนนี้เอาจริงๆ บางทีก็ยังมีหลุดเผลอคิดอะไรไม่ดีหรืออคติคนอื่นอยู่บ่อยๆ เหยียดคนอื่นในใจก็มีเหมือนกัน แต่จะพยายามบอกตัวเองนะ ว่า ไม่ๆๆๆๆๆๆ
ส่วนพ่อแม่ก็อย่าคาดหวังว่าสังคมมันจะดีขึ้นเลยครับ (อาจจะดีขึ้น แต่คงไม่ใช่ใน generation อันใกล้นี้แล้วล่ะ) ถ้าลูกคุณตัวดำหัวหยิกนี่เตรียมใจเลยว่าลูกคุณโดนแน่ๆ ต้องเตรียมสร้างภูมิต้านทานให้เด็กแต่เนิ่นๆ ให้มีจิตใจแข็งแกร่งไม่หวั่นไหวจากสังคมรอบข้าง
ไม่ใช่ว่ากลุ่มจขกท.และเพื่อนๆเผอิญเป็นแบบนั้นด้วยตัวเองนะ แต่สังคมเราสร้างเด็กแบบนี้ออกมาเยอะจริงๆ
จนตอนนี้ก็เถอะ แม้แต่กลุ่ม "ผู้ใหญ่" เอง ยังเหยียดเลย ... เด็กจะรอดหรือ?
เห็นนิโกรตัวดำๆเดินมา ... ถามหน่อยว่าผู้ใหญ่ชาวไทยทำยังไง? หลายๆคนแสดงตัว นินทาหรือพูดถึงเค้าแบบไม่ต่างจากจขกท.สมัยเด็กเลยครับ
เอาง่ายๆ แม้แต่ "ครู" บางทียังหยิบเอาปมด้อยของนักเรียนมาล้อกลางชั้นเรียนเลยครับ (ไม่รู้ว่าผมเรียนร.ร.ไม่ดีมาหรือเปล่านะ คนอื่นเห็นว่าไง? แต่ผมเจอครูทำแบบนี้กับนักเรียนบ่อยมาก และไม่ใช่ครูคนเดียวหรือสองคนที่ทำแบบนี้)
ไม่ว่าจะเด็กที่เป็นตุ๊ด กระเทย เกย์ อ้วน เตี๊ย ดำสิว โดนหมด ... หล่อๆสวยๆยังโดนหมั่นไส้เลย แน่นอนว่าคนหล่อคนสวยจะโชคดีในบางด้าน แต่ลองไปถามดูได้ครับ ว่าโดนเหยียดแบบไม่มีเหตุผลเพราะสวยหล่อไหม? รับรองว่าเค้าก็โดนกันมาเยอะ ... พวกไม่โดนนี่คือเรียบๆเพลนๆจืดๆทั่วไปสามัญชน
เรียนเก่งจะโดนเหยียดว่าทำงานไม่เป็น เอาแต่อ่านหนังสือ แต่สังคมไม่เป็น (ปริญญาเกียรตินิยม โดนบอกบ่อยๆว่ากระดาษแผ่นเดียว ... แล้วทำไมคนอื่นหากระดาษแผ่นเดียวง่ายๆแบบนี้มาครองไม่ได้ ถามหน่อย?)
ว่าก็ว่าเถอะนะ นิสัยดียังโดนเลยครับ หาว่าสร้างภาพเอยอะไรเอย เอาหน้า ประจบ ฯลฯ
...
สังคมเราคือสังคมเห็นคนด้อยกว่า ขุดมาเหยียบย่ำมากระทืบ ยกตนให้สูงกว่า
เห็นคนดีกว่า ก็จะหาข้อโน้นข้อนี้มาอ้าง ว่าจริงๆก็งั้นๆ เพื่อให้ตนเองดูสูงกว่า
...
หลายๆคนอาจจะบอกว่าอย่าเหมารวม คนดีๆมี แต่ถ้าในสังคมหนึ่งๆเราเจอคนทำแบบนั้น แล้วเราไม่ได้ทำอะไร ยืนดูเฉยๆ ภาพรวมในสังคมมันก็สะท้อนออกมาแบบเหมารวมล่ะครับ
ผมเองก็เคยเป็นแบบจขกท.ครับ แต่อาจจะไม่ได้ลงไม้ลงมือแสดงตัวอะไร ... ก็แค่ยืนดูอยู่ห่างๆและไม่ได้ทำอะไร ถามว่ามันน่ารังเกียจต่างกันไหม? ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
เพื่อนโดนครูว่าอย่างไร้เหตุผล ก็ก้มหน้าก้มตาไป เราไม่ใช่คนที่โดน
เพื่อนขี้เหร่ๆโดนเหยียดโดนแกล้ง ก็ก้มหน้าก้มตาไป เพราะเราไม่ใช่คนที่โดน (โชคดีที่เกิดมาเรียบๆเพลนๆจืดๆ -*-)
แต่หลักๆคือ ตอนเป็นเด็กผมเห็นเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกว่าอยากช่วยแต่ไม่กล้านะ ... ผมรู้สึกเฉยๆ รู้สึกปกติ
รู้สึกแค่ว่า คนดำโดนล้อว่าดำแล้วไง ก็ดำจริงไง ... ซึ่งนี่แหละ ถือว่าเลวร้ายเหมือนกัน -*-
...
แต่จขกท.อย่าไปซีเรียสเลยครับ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร
วันนี้เรา "หลุดพ้น" จากความรู้สึกนึกคิดต่ำๆแบบนั้นมาได้ นี่โชคดีที่สุดแล้วครับ
ตอนนี้เอาจริงๆ บางทีก็ยังมีหลุดเผลอคิดอะไรไม่ดีหรืออคติคนอื่นอยู่บ่อยๆ เหยียดคนอื่นในใจก็มีเหมือนกัน แต่จะพยายามบอกตัวเองนะ ว่า ไม่ๆๆๆๆๆๆ
ส่วนพ่อแม่ก็อย่าคาดหวังว่าสังคมมันจะดีขึ้นเลยครับ (อาจจะดีขึ้น แต่คงไม่ใช่ใน generation อันใกล้นี้แล้วล่ะ) ถ้าลูกคุณตัวดำหัวหยิกนี่เตรียมใจเลยว่าลูกคุณโดนแน่ๆ ต้องเตรียมสร้างภูมิต้านทานให้เด็กแต่เนิ่นๆ ให้มีจิตใจแข็งแกร่งไม่หวั่นไหวจากสังคมรอบข้าง
ความคิดเห็นที่ 10
เอาความจริงไหม แบบโลกไม่สวย
เราเคยโดนเพื่อนแกล้งสมัยเด็ก ไม่แรงเท่านี้ มีผลมากนะ ทำให้เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เวลาเจอคนใหม่ๆจะกลัวว่าเขาจะชอบเราไหม มีปมอะไรหลายๆอย่าง กลายเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ร่วมงานสังสรรไม่เป็น ฯลฯ ปมเพิ่งละลายตอน 30 กว่าๆ แบบอยู่ได้ ไม่เป็นไร
ผลที่คุณกับเพื่อนๆทำๆว้กับเธอ จะให้อภัยไหม ขึ้นกับตัวเธอเอง แต่บาดแผลไม่หายหรอกเธอเหมือนรากฐานตอนเด็กมันโดนทุบไปแล้ว มันปั้นให้เธอมีนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอด อาจจะโตมาเป็นคน EQ ดี มั่นใจสุดๆ เพราะโดนแกล่งตอนเด็กๆจนแกร่ง หรืออาจจะเป็นคนเก็บตัวไม่ไว้ใจใคร
ที่ทำได้ คือ ถ้าเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวแล้วให้สอนลูกดีๆ อย่าไปแกล้งคนอื่นและสอนอย่าให้คนอื่นมาแกล้งลูกเรา
เราเคยโดนเพื่อนแกล้งสมัยเด็ก ไม่แรงเท่านี้ มีผลมากนะ ทำให้เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เวลาเจอคนใหม่ๆจะกลัวว่าเขาจะชอบเราไหม มีปมอะไรหลายๆอย่าง กลายเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ร่วมงานสังสรรไม่เป็น ฯลฯ ปมเพิ่งละลายตอน 30 กว่าๆ แบบอยู่ได้ ไม่เป็นไร
ผลที่คุณกับเพื่อนๆทำๆว้กับเธอ จะให้อภัยไหม ขึ้นกับตัวเธอเอง แต่บาดแผลไม่หายหรอกเธอเหมือนรากฐานตอนเด็กมันโดนทุบไปแล้ว มันปั้นให้เธอมีนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอด อาจจะโตมาเป็นคน EQ ดี มั่นใจสุดๆ เพราะโดนแกล่งตอนเด็กๆจนแกร่ง หรืออาจจะเป็นคนเก็บตัวไม่ไว้ใจใคร
ที่ทำได้ คือ ถ้าเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวแล้วให้สอนลูกดีๆ อย่าไปแกล้งคนอื่นและสอนอย่าให้คนอื่นมาแกล้งลูกเรา
ความคิดเห็นที่ 53
อยากเล่าเรื่องมุมคนที่โดนแกล้งให้ฟังค่ะ
ในสมัยเราอยู่ประมาณมัธยมต้น เราเป็นเด็กที่เงียบๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีเพื่อนน้อยมากเพราะด้วยนิสัยแล้วเป็นคนไม่ชอบพูด จะพูดมากๆกับคนที่สนิทเท่านั้น ถ้ากับคนที่ไม่สนิทเราอาจจะเป็นคนที่พูดจาห้วนๆ ไม่น่าฟัง ดูเป็นเด็กไม่น่ารัก
ตอนนั้นเราเข้า ม.1 ได้เจอเพื่อนใหม่ๆเต็มไปหมด เป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่มากขนาดนั้น (ประมาณ 10 คนได้) ทุกคนก็คุยกันปกติดี จนวันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งไม่ชอบเราเพียงเพราะว่าเราเป็นคนหน้านิ่ง ไม่ค่อยยิ้ม แล้วเธอคนนี้ก็ไปบอกเพื่อนคนอื่นๆให้เกลียดเราด้วย บอกว่าเราเป็นคนหยิ่ง เพื่อนคนอื่นๆเลยพาลเกลียดเราตาม ในตอนนั้นเรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนเลยซักคน เวลาเดินไปกินข้าวก็กินคนเดียว เวลาเดินกลับขึ้นมาเรียนบนห้อง คนอื่นๆที่ิเดินผ่านเราก็จะเดินมากระแทกเราบ้าง ตะโกนด่าเราในห้องน้ำตอนที่เราล้างมือที่อ่างล้างหน้าบ้าง ปาของใส่เราขณะที่เรานั่งอยู่บ้าง เป็นอย่างนี้ทุกวันจน ม.2
พอขึ้น ม.2 เราเริ่มเข้าชมรมต่างๆ เริ่มมีเพื่อนบ้าง 2-3 คน เราคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ทุกอย่างกลับเลวร้ายลง เพราะมีผู้ชายที่เป็นรุ่นพี่ ม.4 คนหนึ่งมาจีบเรา แต่เราไม่เล่นด้วย เค้ากลับเอาเราไปพูดว่าเรามีอะไรกันกับเค้าแล้ว , ด้วยความที่โรงเรียนเรามีคนน้อย (รวมเฉพาะม.ต้น มีไม่เกิน 300 คน) ทุกคนในม.ต้นจึงรู้เรื่องนี้กันหมด เราเล่าให้เพื่อนเราฟังว่าความจริงเป็นอย่างไร เพื่อนเราก็รับฟังแต่ตอนพักเที่ยงของวันนั้นเราจะไปกินข้าวกับเพื่อน เพื่อนกลับทำเหมือนเราเป็นอากาศ แม้แต่พี่สาวของเราที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน เราทักเค้าเพราะเรารู้สึกเสียใจ ไม่รู้จะทำยังไง พี่สาวเรากลับเดินหนี แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเรา , ณ ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะไปพูดกับใคร ไม่มีใครรับฟังความจริงจากเราซักคน เรายิ่งโดนแกล้งหนักขึ้นทุกวัน , มีคนเอาลิขวิดมาเขียนโต๊ะเราว่า "โดนxxxครั้งแรกเป็นไงบ้างล่ะ" "อีแxด" และอีกเยอะแยะ เราต้องคอยเอาไม้บรรทัดมาขูดออกทุกวัน
ทุกๆวันเหมือนตกนรก เราคิดทุกวันว่าทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราผิดอะไร เราแค่เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด เราแค่ไม่ชอบผุ้ชายคนนั้น เราแค่ปฏิเสธเค้า เราสมควรได้รับอะไรแบบนี้จริงๆหรอ? เราอายมาก เสียใจ ทุกวันเราจะไปนั่งกินแซนวิชในห้องน้ำตอนพักเที่ยงเพราะถ้าไปโรงอาหารก็จะโดนปาอาหารใส่ โดนคนมาตะโกนด่า
จนถึงวันหนึ่งเราทนไม่ไหว เราไปเล่าให้แม่ฟัง และบอกแม่ว่า ขอย้ายโรงเรียนได้มั้ย , น่าเสียดาย ที่ฐานะทางการเงินของบ้านเราไม่ได้ดีขนาดนั้น และไม่สามารถส่งเราไปเรียนในที่ไกลๆได้ ด้วยค่ารถ ค่าเทอม ค่าที่พัก และอายุยังน้อย ไปอยู่ไกลเกินไปแม่ก็ไม่อยากให้ไป เราจึงต้องทนอยู่จนจบ ม.3 ในวันปัจฉิมนิเทศ เราน่าจะเป็นคนที่เสื้อมีรอยเขียนน้อยที่สุดในรุ่น เฟรนชิพที่เราเอาให้คนอื่นเขียน ก็มีแต่พวกอาจารย์ที่เขียนลงไป ไม่มีเพื่อนคนไหนเขียนให้เราซักคน
พอจบ ม.3 เราก็ย้ายโรงเรียนไปอีกโรงเรียนหนึ่ง เหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเราอยากจะเริ่มชีวิตใหม่ แต่มันไม่ใช่... เพราะใน ม.4 มีคนที่จบโรงเรียนเดียวกับเราเข้ามาเรียนด้วย และบอกคนอื่นๆว่าเราโดนอะไรมาตอนม.ต้น อย่าไปคบมัน มันแรด และอื่นๆ มีคนเดินเข้ามาถามเราว่า "สรุปได้กับไอ้คนนั้นจริงป่ะ" ซึ่งเราก็ตอบตามความจริงว่าอะไรคืออะไร ซึ่งทุกคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนวันหนึ่งมีคนมาจีบเรา แล้วเราก็ลองคบกันเป็นแฟนแต่เราไม่รู้ว่ามีเพื่อนเราคนนึงชอบแฟนของเราอยู่แล้ว จากนั้นเราจึงโดนแบนและกลั่นแกล้งอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเอาภาพเก่าๆมาฉายซ้ำ การตะโกนด่า ปาของใส่ ทำลายข้าวของเรา เอาปากกา ลิขวิดมาเขียนโต๊ะด่าทอต่างๆนาๆ จนเราเรียนจบมอปลาย และเลือกที่จะเรียนในมหาลัยที่ไกลจากเดิมมากๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอใครอีก
ปัจจุบัน นิสัยเรากลายเป็นคนเก็บกด โมโหร้าย เวลาโมโหมากๆเราจะแทบคุมสติตัวเองไม่ได้ เป็นโรคซึมเศร้า(อันนี้รู้เพราะเคยไปเจอคุณหมอ คุยกับคุณหมอและได้ยามาทาน) เราพยายามลืมทุกอย่างในอดีตที่เลวร้าย แต่ทุกครั้งเวลาเราดาวน์ จิตตก ทุกอย่างมันจะรุมเร้าเข้ามาเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ในตอนนั้นหลายครั้งเราเคยคิดจะฆ่าตัวตาย จนปัจจุบันเราก็เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะเราไม่อยากทนทุกข์กับเรื่องในอดีตที่วนมาซ้ำๆ แต่เราก็พยายามสู้กับมัน เราผ่านมันมาได้แล้ว เราจะใช้ชีวิตข้างหน้าให้ดีที่สุด เราบอกกับตัวเองแบบนั้น..
เราอยากให้คนที่เคยกลั่นแกล้งคนอื่นหรือคนที่กำลังทำอยู่ได้เก็บไปคิด ว่าคนที่เคยโดนกลั่นแกล้งสภาพจิตใจเค้าจะเป็นยังไง เค้าจะเศร้า จะรู้สึกแย่ขนาดไหน .. เราไม่อยากให้มีใครเป็นแบบเราอีก ใจเขาใจเรานะคะ
ในสมัยเราอยู่ประมาณมัธยมต้น เราเป็นเด็กที่เงียบๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีเพื่อนน้อยมากเพราะด้วยนิสัยแล้วเป็นคนไม่ชอบพูด จะพูดมากๆกับคนที่สนิทเท่านั้น ถ้ากับคนที่ไม่สนิทเราอาจจะเป็นคนที่พูดจาห้วนๆ ไม่น่าฟัง ดูเป็นเด็กไม่น่ารัก
ตอนนั้นเราเข้า ม.1 ได้เจอเพื่อนใหม่ๆเต็มไปหมด เป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่มากขนาดนั้น (ประมาณ 10 คนได้) ทุกคนก็คุยกันปกติดี จนวันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งไม่ชอบเราเพียงเพราะว่าเราเป็นคนหน้านิ่ง ไม่ค่อยยิ้ม แล้วเธอคนนี้ก็ไปบอกเพื่อนคนอื่นๆให้เกลียดเราด้วย บอกว่าเราเป็นคนหยิ่ง เพื่อนคนอื่นๆเลยพาลเกลียดเราตาม ในตอนนั้นเรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนเลยซักคน เวลาเดินไปกินข้าวก็กินคนเดียว เวลาเดินกลับขึ้นมาเรียนบนห้อง คนอื่นๆที่ิเดินผ่านเราก็จะเดินมากระแทกเราบ้าง ตะโกนด่าเราในห้องน้ำตอนที่เราล้างมือที่อ่างล้างหน้าบ้าง ปาของใส่เราขณะที่เรานั่งอยู่บ้าง เป็นอย่างนี้ทุกวันจน ม.2
พอขึ้น ม.2 เราเริ่มเข้าชมรมต่างๆ เริ่มมีเพื่อนบ้าง 2-3 คน เราคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ทุกอย่างกลับเลวร้ายลง เพราะมีผู้ชายที่เป็นรุ่นพี่ ม.4 คนหนึ่งมาจีบเรา แต่เราไม่เล่นด้วย เค้ากลับเอาเราไปพูดว่าเรามีอะไรกันกับเค้าแล้ว , ด้วยความที่โรงเรียนเรามีคนน้อย (รวมเฉพาะม.ต้น มีไม่เกิน 300 คน) ทุกคนในม.ต้นจึงรู้เรื่องนี้กันหมด เราเล่าให้เพื่อนเราฟังว่าความจริงเป็นอย่างไร เพื่อนเราก็รับฟังแต่ตอนพักเที่ยงของวันนั้นเราจะไปกินข้าวกับเพื่อน เพื่อนกลับทำเหมือนเราเป็นอากาศ แม้แต่พี่สาวของเราที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน เราทักเค้าเพราะเรารู้สึกเสียใจ ไม่รู้จะทำยังไง พี่สาวเรากลับเดินหนี แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเรา , ณ ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะไปพูดกับใคร ไม่มีใครรับฟังความจริงจากเราซักคน เรายิ่งโดนแกล้งหนักขึ้นทุกวัน , มีคนเอาลิขวิดมาเขียนโต๊ะเราว่า "โดนxxxครั้งแรกเป็นไงบ้างล่ะ" "อีแxด" และอีกเยอะแยะ เราต้องคอยเอาไม้บรรทัดมาขูดออกทุกวัน
ทุกๆวันเหมือนตกนรก เราคิดทุกวันว่าทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราผิดอะไร เราแค่เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด เราแค่ไม่ชอบผุ้ชายคนนั้น เราแค่ปฏิเสธเค้า เราสมควรได้รับอะไรแบบนี้จริงๆหรอ? เราอายมาก เสียใจ ทุกวันเราจะไปนั่งกินแซนวิชในห้องน้ำตอนพักเที่ยงเพราะถ้าไปโรงอาหารก็จะโดนปาอาหารใส่ โดนคนมาตะโกนด่า
จนถึงวันหนึ่งเราทนไม่ไหว เราไปเล่าให้แม่ฟัง และบอกแม่ว่า ขอย้ายโรงเรียนได้มั้ย , น่าเสียดาย ที่ฐานะทางการเงินของบ้านเราไม่ได้ดีขนาดนั้น และไม่สามารถส่งเราไปเรียนในที่ไกลๆได้ ด้วยค่ารถ ค่าเทอม ค่าที่พัก และอายุยังน้อย ไปอยู่ไกลเกินไปแม่ก็ไม่อยากให้ไป เราจึงต้องทนอยู่จนจบ ม.3 ในวันปัจฉิมนิเทศ เราน่าจะเป็นคนที่เสื้อมีรอยเขียนน้อยที่สุดในรุ่น เฟรนชิพที่เราเอาให้คนอื่นเขียน ก็มีแต่พวกอาจารย์ที่เขียนลงไป ไม่มีเพื่อนคนไหนเขียนให้เราซักคน
พอจบ ม.3 เราก็ย้ายโรงเรียนไปอีกโรงเรียนหนึ่ง เหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเราอยากจะเริ่มชีวิตใหม่ แต่มันไม่ใช่... เพราะใน ม.4 มีคนที่จบโรงเรียนเดียวกับเราเข้ามาเรียนด้วย และบอกคนอื่นๆว่าเราโดนอะไรมาตอนม.ต้น อย่าไปคบมัน มันแรด และอื่นๆ มีคนเดินเข้ามาถามเราว่า "สรุปได้กับไอ้คนนั้นจริงป่ะ" ซึ่งเราก็ตอบตามความจริงว่าอะไรคืออะไร ซึ่งทุกคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนวันหนึ่งมีคนมาจีบเรา แล้วเราก็ลองคบกันเป็นแฟนแต่เราไม่รู้ว่ามีเพื่อนเราคนนึงชอบแฟนของเราอยู่แล้ว จากนั้นเราจึงโดนแบนและกลั่นแกล้งอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเอาภาพเก่าๆมาฉายซ้ำ การตะโกนด่า ปาของใส่ ทำลายข้าวของเรา เอาปากกา ลิขวิดมาเขียนโต๊ะด่าทอต่างๆนาๆ จนเราเรียนจบมอปลาย และเลือกที่จะเรียนในมหาลัยที่ไกลจากเดิมมากๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอใครอีก
ปัจจุบัน นิสัยเรากลายเป็นคนเก็บกด โมโหร้าย เวลาโมโหมากๆเราจะแทบคุมสติตัวเองไม่ได้ เป็นโรคซึมเศร้า(อันนี้รู้เพราะเคยไปเจอคุณหมอ คุยกับคุณหมอและได้ยามาทาน) เราพยายามลืมทุกอย่างในอดีตที่เลวร้าย แต่ทุกครั้งเวลาเราดาวน์ จิตตก ทุกอย่างมันจะรุมเร้าเข้ามาเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ในตอนนั้นหลายครั้งเราเคยคิดจะฆ่าตัวตาย จนปัจจุบันเราก็เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะเราไม่อยากทนทุกข์กับเรื่องในอดีตที่วนมาซ้ำๆ แต่เราก็พยายามสู้กับมัน เราผ่านมันมาได้แล้ว เราจะใช้ชีวิตข้างหน้าให้ดีที่สุด เราบอกกับตัวเองแบบนั้น..
เราอยากให้คนที่เคยกลั่นแกล้งคนอื่นหรือคนที่กำลังทำอยู่ได้เก็บไปคิด ว่าคนที่เคยโดนกลั่นแกล้งสภาพจิตใจเค้าจะเป็นยังไง เค้าจะเศร้า จะรู้สึกแย่ขนาดไหน .. เราไม่อยากให้มีใครเป็นแบบเราอีก ใจเขาใจเรานะคะ
ความคิดเห็นที่ 57
ใช่ค่ะ คุณมันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เราเกลียดพวก bully มาก เพราะตัวเองสมัยเด็กก็เคยโดน
ขอโทษทีเถอะ สำนึกผิดแล้วไง มันแก้ไขอดีต แก้ไขแผลในใจคนได้เหรอ?? คุณทำลายช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา ทำให้เขาตกนรกทั้งเป็นมาตั้งกี่ปี ปัจจุบันนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
ขอโทษง่าย ๆ แค่นี้คิดว่าพอเหรอ? เป็นเราเราไม่ให้อภัยค่ะ คนน่ารังเกียจแบบคุณสมควรโดนอะไรที่แรงกว่าคอมเมนท์ด่าแค่นี้อีกเยอะ
ขอโทษที่ไม่โลกสวย
ขอโทษทีเถอะ สำนึกผิดแล้วไง มันแก้ไขอดีต แก้ไขแผลในใจคนได้เหรอ?? คุณทำลายช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา ทำให้เขาตกนรกทั้งเป็นมาตั้งกี่ปี ปัจจุบันนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
ขอโทษง่าย ๆ แค่นี้คิดว่าพอเหรอ? เป็นเราเราไม่ให้อภัยค่ะ คนน่ารังเกียจแบบคุณสมควรโดนอะไรที่แรงกว่าคอมเมนท์ด่าแค่นี้อีกเยอะ
ขอโทษที่ไม่โลกสวย
ความคิดเห็นที่ 40
ตั้งเเต่เด็กจนถึงปัจจุบันผมแทบไม่มีเพื่อนเลย ผมเกิดก่อนกำหนด ร่างกายครบถ้วนแต่รูปลักษณ์ก็อุบาทว์ไม่น้อย หน้าหลิม คางยื่น ผอมมาก ตาโปน แถมเเขนขาเล็ก เหมือนคนเป็นโปลีโอ ตัวดำ ผิวกร้าน ต้องคอยทาครีมตลอดเพราะเป็นคนผิวแห้งตลอดเวลา ถ้าไม่ทาผิวผมจะลอกเป็นแผลตลอดครับ
ตอนเด็กผมถูกเเม่ทิ้งไว้ที่รพ.ตั้งแต่ตอนผมเกิด พ่อเก็บมาให้ย่าเลี้ยง โชคดีที่ย่ารักผมมาก แต่ก็เสียไปตอนผมอยู่ม.1 ก็ต้องระหกระเหินไปอาศัยบ้านพ่อบ้าง บ้านเเม่บ้าง บ้านป้า บ้านลุง คือไปอยู่ไหนก็คือภาระของผู้ใหญ่บ้านนั้น
หลายครั้งเขาก็จะคอยเหน็บแนม ด่าว่า ดูถูก รังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยคำพูดแย่ๆกับเราต่างๆนานา หลายครั้งก็ถูกทุบตีลงไม้ลงมือบ่อยๆ
เพื่อนที่ร.ร.และอาจารย์บางท่านก็รังเกียจผมอย่างเปิดเผย เพราะรูปลักษณ์ที่ดูไม่ได้ เสื้อผ้าเก่า ขาดๆ ไปร.ร.ทุกวัน เป็นเหมือนตัวประหลาดในห้อง เพื่อนตอนประถม-ม.ต้นผมไม่มีเลย ที่ร.ร.ไม่มีใครอยากคุยกับผมสักคน เขาจะคุยกับเราเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ผมก็เลยเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆ ไปกินข้าวคนเดียว กลับบ้านคนเดียว เดินคนเดียว ใช้ชีวิตเงียบๆคนเดียวตลอด จนมาถึงม.ปลาย ผมถึงมีเพื่อนรัก 1 คนครับ
เพื่อนคนนี้เขานิสัยดีมากๆ บ้านค่อนข้างมีฐานนะดี ตอนเเรกๆที่เรียนม.4 ผมก็ติดนิสัยเก็บตัวคนเดียวเลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครเลยครับ เพื่อนคนนี้เขาสังเกตุผมว่าผมห่อข้าวมากินกับไข่ต้ม 1 ลูกทุกวัน บางวันก็มีเเต่น้ำปลา เขาเลยให้เเม่ทำปิ่นโตกับข้าวให้ผมทุกวันเลย พอเขารู้ว่าผมต้องเดินกลับบ้านเกือบ 7 กิโลทุกวัน (เช้ามีญาติมาส่งเพราะเขาต้องทำงานโรงงาน)เขาก็ขอให้เเม่เขาออกรถมอไซค์ ขี่ส่งผมกลับบ้านทุกวันครับ
ชีวิตช่วงม.ปลายทุกอย่างดีขึ้นมากครับ ผมเริ่มคุยกับเพื่อนคนอื่นๆมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเพื่อนรักคนนี้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้มีความสุขสบายใจกว่าช่วงไหนๆในชีวิตเลย จนถึงจบม.ปลาย เป็นช่วงที่ผมเศร้ามาก ผมรู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสเรียนระดับมหาลัยแน่นอน แต่เพื่อนคนนี้ก็พยายามสุดฤทธิ์เพื่อช่วยให้ผมได้เรียนต่อ ทั้งพาไปกู้เรียนต่างๆ แต่ผมก็ปฎิเสธเพราะรู้ฐานะทางบ้านของตนเองดี
ก็ได้เเต่ขอบคุณเพื่อน 1 คนที่แสนดีคนนั้นที่ทำให้ชีวิตผมได้เจอเรื่องราวดีๆแม้วันนี้เราไม่ได้เจอกันเป็น 10 ปีแล้ว ตั้งเเต่จบม.ปลายครับ
ชีวิตช่วงนั้นของผมก็ได้เเต่ตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้ง พ่อเเม่ ญาติ เขาเกลียดเราเพราะอะไรหรือ ? เราไปทำอะไรให้เพื่อนเขาไม่ชอบหรือ ? เขาคงไม่ชอบที่เรารูปลักษณ์น่าเกลียด เราไม่มีสตางค์มากพอจะไปเฮฮาเหมือนเพื่อนคนอื่น ไปกินหมูกะทะ ไปกินแฮมเบอเกอร์ หรือไอศกรีม ชีวิตช่วงนั้นผมทำได้แค่เก็บตัวเงียบ ไม่กล้าเจอผู้คน ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีแฟน เพราะผมกลัว กลัวไปหมดว่าใครๆเขาจะรังเกียจเราครับ
ทุกวันนี้ผมส่งเสียตัวเองจนจบป.ตรีเเล้ว ได้มีงานที่ดีทำ ก็ถือว่าตัวผมเองโชคดีเเค่ไหนแล้วที่ผ่านช่วงชีวิตแบบนั้นมาได้ครับ
ตอนเด็กผมถูกเเม่ทิ้งไว้ที่รพ.ตั้งแต่ตอนผมเกิด พ่อเก็บมาให้ย่าเลี้ยง โชคดีที่ย่ารักผมมาก แต่ก็เสียไปตอนผมอยู่ม.1 ก็ต้องระหกระเหินไปอาศัยบ้านพ่อบ้าง บ้านเเม่บ้าง บ้านป้า บ้านลุง คือไปอยู่ไหนก็คือภาระของผู้ใหญ่บ้านนั้น
หลายครั้งเขาก็จะคอยเหน็บแนม ด่าว่า ดูถูก รังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยคำพูดแย่ๆกับเราต่างๆนานา หลายครั้งก็ถูกทุบตีลงไม้ลงมือบ่อยๆ
เพื่อนที่ร.ร.และอาจารย์บางท่านก็รังเกียจผมอย่างเปิดเผย เพราะรูปลักษณ์ที่ดูไม่ได้ เสื้อผ้าเก่า ขาดๆ ไปร.ร.ทุกวัน เป็นเหมือนตัวประหลาดในห้อง เพื่อนตอนประถม-ม.ต้นผมไม่มีเลย ที่ร.ร.ไม่มีใครอยากคุยกับผมสักคน เขาจะคุยกับเราเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ผมก็เลยเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆ ไปกินข้าวคนเดียว กลับบ้านคนเดียว เดินคนเดียว ใช้ชีวิตเงียบๆคนเดียวตลอด จนมาถึงม.ปลาย ผมถึงมีเพื่อนรัก 1 คนครับ
เพื่อนคนนี้เขานิสัยดีมากๆ บ้านค่อนข้างมีฐานนะดี ตอนเเรกๆที่เรียนม.4 ผมก็ติดนิสัยเก็บตัวคนเดียวเลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครเลยครับ เพื่อนคนนี้เขาสังเกตุผมว่าผมห่อข้าวมากินกับไข่ต้ม 1 ลูกทุกวัน บางวันก็มีเเต่น้ำปลา เขาเลยให้เเม่ทำปิ่นโตกับข้าวให้ผมทุกวันเลย พอเขารู้ว่าผมต้องเดินกลับบ้านเกือบ 7 กิโลทุกวัน (เช้ามีญาติมาส่งเพราะเขาต้องทำงานโรงงาน)เขาก็ขอให้เเม่เขาออกรถมอไซค์ ขี่ส่งผมกลับบ้านทุกวันครับ
ชีวิตช่วงม.ปลายทุกอย่างดีขึ้นมากครับ ผมเริ่มคุยกับเพื่อนคนอื่นๆมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเพื่อนรักคนนี้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้มีความสุขสบายใจกว่าช่วงไหนๆในชีวิตเลย จนถึงจบม.ปลาย เป็นช่วงที่ผมเศร้ามาก ผมรู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสเรียนระดับมหาลัยแน่นอน แต่เพื่อนคนนี้ก็พยายามสุดฤทธิ์เพื่อช่วยให้ผมได้เรียนต่อ ทั้งพาไปกู้เรียนต่างๆ แต่ผมก็ปฎิเสธเพราะรู้ฐานะทางบ้านของตนเองดี
ก็ได้เเต่ขอบคุณเพื่อน 1 คนที่แสนดีคนนั้นที่ทำให้ชีวิตผมได้เจอเรื่องราวดีๆแม้วันนี้เราไม่ได้เจอกันเป็น 10 ปีแล้ว ตั้งเเต่จบม.ปลายครับ
ชีวิตช่วงนั้นของผมก็ได้เเต่ตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้ง พ่อเเม่ ญาติ เขาเกลียดเราเพราะอะไรหรือ ? เราไปทำอะไรให้เพื่อนเขาไม่ชอบหรือ ? เขาคงไม่ชอบที่เรารูปลักษณ์น่าเกลียด เราไม่มีสตางค์มากพอจะไปเฮฮาเหมือนเพื่อนคนอื่น ไปกินหมูกะทะ ไปกินแฮมเบอเกอร์ หรือไอศกรีม ชีวิตช่วงนั้นผมทำได้แค่เก็บตัวเงียบ ไม่กล้าเจอผู้คน ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีแฟน เพราะผมกลัว กลัวไปหมดว่าใครๆเขาจะรังเกียจเราครับ
ทุกวันนี้ผมส่งเสียตัวเองจนจบป.ตรีเเล้ว ได้มีงานที่ดีทำ ก็ถือว่าตัวผมเองโชคดีเเค่ไหนแล้วที่ผ่านช่วงชีวิตแบบนั้นมาได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
อยากเข้ามาสารภาพบาปพฤติกรรมอันน่ารังเกลียดของตัวเองและเพื่อนร่วมชั้นเรียน ประถม ถึงมัธยมต้น พอโตแล้วขึ้นมาถึงคิดได้
ตอนนั้นเราและเพื่อนๆ อยู่ชั้นประถม มีเพื่อนผู้หญิงคนนึง เธอชื่อต้า เธอเป็นเด็กลูกครึ่ง เชื้อสายแอฟริกา ผิวดำหัวหยิกฟู หน้าตาไม่เหมือนคนเอเซียเลยสักนิด เหมือนคนผิวสีต่างชาติเลยละ
ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใหร่ มารู้ตัวอีกที เราและคนในห้องต่างก็พากันรังเกลียดเธอ และมองเธอเหมือนเป็นสิ่งโสโครกสิ่งสกปรก ไม่มีไครคุยกับเธอไม่มีไครกล้าเข้าไปสัมสัมผัสแตะต้องเธอ เวลาเราเผลอไปโดนตัวเธอ หรือเพื่อนๆเรา เผลอไปโดนตัวเธอ เราจะโดนเพื่อนในห้องล้อว่าเป็นแฟนกับต้า ต้าในตอนนั้นเปรียบเหมือนสิ่งสกปรกในชั้นเรียน พวกเราจะแสดงออก อย่างชัดเจนว่าขยะแขยง เวลาเพื่อนจะล้ออะไรกันก็จะบอกเป็นแฟนอีต้า พอได้ยินก็รู้สึกอับอาย เราและคนในห้องมักจะคอยกลั่นแกล้งเธอสารพัด ทั้งเอาน้ำสาด เอาตีนถีบ น้ำลายใส่ เอาของไปซ่อน ขังไว้ในห้อง และอื่นๆอีกสารพัด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ประถม ถึงมัธยม พวกเราแกล้งต้ามาตลอด ด้วยทุกอย่างที่คิดกันได้ ต้าเป็นเด็กผู้หญิงเงียบๆ เหมือนคนไม่คิดอะไรไม่สนใจสิ่งใดเก็บงำความรู้สึกไม่ร้องให้ก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว จนถึงมัธยมปลายต้าก็เป็นอิสระจากพวกเรา เธอย้ายไปเรียนที่อื่นและไม่ได้ข่าวจากเธออีก ปัจจุบันนี้เราฝังใจมากเราโคตรทุเรศตัวเองสุดๆ ที่ไปรังแกเธอไปล้อเลียน ไปกลั่นแกล้งเธอสารพัด รู้สึกผิดมากถ้าย้อนเวลาได้ จะเข้าหาเธอพูดคุยกับเธอ พอโตแล้วพึ่งมาคิดได้ ว่าผิวสีเธอรูปลักภายนอกเธอไม่ได้หน้ารังเกลียดเลยสักนิด จิตใจพวกเราต่างหากที่น่ารังเกลียด ถ้าสักวันได้มีโอกาสเจอเธอจะเข้าไปขอโทษ