  ‘โลกภายนอก-โลกภายใน เป็นโลกที่แท้จริง’ ทิฎฐินี้เป็นทิฎฐิของปุถุชน  

‘โลกภายนอก-โลกภายใน เป็นโลกที่แท้จริง’ ทิฎฐินี้เป็นทิฎฐิของปุถุชน
ไม่ใช่ทิฎฐิของพระอริยเจ้า
ไม่มีทางที่พระอริยเจ้าองค์ใด ๆ จะมีทิฎฐิเช่นนี้
เพราะ...
ตั้งต้นจากพระโสดาบัน เมื่อละสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลพัตตปรามาสได้ ก็จะสามารถกำจัดทิฎฐินี้ออกได้อย่างสมบูรณ์
ธรรมดาของปุถุชน เมื่อเห็นว่าโลกภายนอก-โลกภายในมีอยู่ และเป็นโลกที่แท้จริง
จิตใจของปุถุชนจะประสบกับความเดือดร้อนจากกองกิเลสอยู่ร่ำไป
นั่นก็เพราะ...
โลกภายนอก-โลกภายใน มีปรกติสะท้อนไปสะท้อนมา ไม่หยุดนิ่ง อยู่ตลอดเวลา
โลกภายนอกสะท้อนเข้าสู่โลกภายใน
โลกภายในสะท้อนออกสู่โลกภายนอก
(เห็นได้ชัดตอนมีความรักอย่างหนึ่ง ตอนมีความชังอย่างหนึ่ง... แล้วก็ตอนมีความโศก อีกอย่างหนึ่ง)

สภาพของการสะท้อนไปสะท้อนกลับเป็นธรรมดานี้ จะปิดกั้นไม่ให้ปุถุชนสามารถจับ (=ระลึกรู้) สภาวธรรมได้
ครั้นเมื่อจับสภาวธรรมไม่ได้
จึงไม่รู้จักสภาวธรรมตามที่เป็นจริง
เพราะไม่รู้จักสภาวธรรมตามที่เป็นจริง จึงไม่รู้จักโลกที่แท้จริง
ไม่รู้จักสภาวธรรม= ไม่รู้จักโลกที่แท้จริง..........(1)
ไม่รู้จักสภาวธรรม = ไม่รู้จักกิเลส...................(2)
เมื่อไม่รู้จักกิเลส ก็เลยไม่รู้จักดับกิเลส
เมื่อไม่รู้จักดับกิเลส จึงเข้าใจผิดไปว่า... พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดับกิเลส
เพราะฉะนั้น สรุปได้เลยว่า...
หลักการรู้ลงไปที่กาย รู้ลงไปที่ใจ ของพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช นี้เอง เป็นมิจฉาทิฎฐิใหญ่
เป็นที่มาของมิจฉาทิฎฐิน้อย...
‘อย่าไปดับกิเลสนะ เราไม่มีหน้าที่ดับกิเลส’
ที่ว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ ก็เพราะว่า ยังเห็น ‘กาย’ เป็นโลกภายนอก
...ยังเห็นว่า ‘ใจ’ เป็นโลกภายใน
แท้ที่จริง วิปัสสนาภูมิทั้ง 6  ไม่มีตัวไหนเลย... ที่เป็นโลกภายนอก และไม่มีตัวไหนเลยที่เป็นโลกภายใน
ทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสภาวธรรม...  สภาวธรรม สังเกตง่าย ๆ ว่า จะไม่มีการสะท้อนไปสะท้อนมาเด็ดขาด!!!
การตั้งสติ ระลึกรู้สภาวธรรม จึงชัดเจน... ถูกต้อง... แจ่มใส ปราศจากความปรุงแต่งด้วยมลทิน มายา ใด ๆ
ทีนี้... ตราบใดที่ยังมีทิฎฐิที่ผิดอยู่
การสอนว่า เมื่อโกรธให้นั่งดูความโกรธ ดูไปซื่อ ๆ ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน...
ถูกต้องหรือไม่??? อย่างไร???
ก็เป็นการนั่งดูโลกภายนอกสะท้อนเข้าไปสู่โลกภายใน... แล้วก็ โลกภายในสะท้อนออกสู่โลกภายนอกไปซื่อ ๆ
ถามว่า นั่งดูอย่างนั้นมีประโยชน์อะไร ในเมื่อทิฎฐิที่ผิดคุณไม่ได้แก้ !!!
ก็นั่งจ่อมจมอยู่กับมิจฉาทิฎฐิไปอย่างนั้น...
สะสมความเห็นผิดไปเรื่อย ๆ ...
อย่างนั้นมันก็คือ... การนั่งปรุงนั่งแต่งไปเรื่อย ๆ นั่นเอง ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าน ๆ ที่เค้าทำกันอยู่เป็นประจำ
มันต่างกันอยู่นิดเดียวตรงที่ว่า...
คนบ้าน ๆ เค้านั่งปรุงนั่งแต่ง... แล้วมันทุกข์
เค้าก็ยอมรับว่านี่มันทุกข์...
ส่วนศิษยานุศิษย์สำนักนี้... ขณะที่นั่งปรุงนั่งแต่ง... กลับอ้างว่า... นั่งดูจิต...
จะดูจิตได้อย่างไร...
ก็ ‘สภาวธรรม’ ยังไม่รู้ไม่เห็น.... ยังจับไม่ได้เลย ???
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่