นิพพานของจริงดับสนิทหมด ความรู้สึกทางใจไม่มีเหลือ
หมายถึงความรู้สึกดับสนิทหมด ไม่ได้หมายความว่านิพพานสูญ
พระนิพพานก็ รู้ ตื่น เบิกบาน ในใจนั้นแล ไม่ได้ดับไปไหน
เมื่อนักปฏิบัติเจริญภาวนา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ทุกอิริยบท4 เดิน ยืน นั่ง นอน เมื่อใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจจะตื่นรู้
เมื่อใจตื่นรู้แล้ว ความรู้สึกเป็น สัตว์ บุคคล ชาย หญิง ดับสนิทหมดไม่มีเหลือ เพราะพุทธะได้บังเกิดแก่ใจของนักปฏิบัติแล้ว
ย่อมเห็นพุทธะภายในใจตน รู้ ตื่น เบิกบาน เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบใจ ใจจะไม่หวั่นไหว ตรงนี้เป็นวิปัสสนา ใจที่ตื่นรู้
นิวรณ์5ประการดับสนิทหมดไม่มีเหลือ ความรู้สึกทางใจ เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง ดับสนิทหมดไม่มีเหลือ รู้ ตื่น เบิกบาน
ในใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล แต่โดยทั่วไปแล้วใจสรรพสัตว์ไม่ตั้งมั่น เมื่อใจไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้สึกทางใจ ย่อมบังเกิด
รู้สึกเป็นคนบ้าง รู้สึกเป็นสัตว์บ้าง รู้สึกเป็นเทวดาบ้าง ย่อมปรุงแต่งมากมายสุดจะคณานับได้ นิวรณ์5ประการ ก็จะบดบังใจสัตว์
ไม่ให้ตื่นรู้เห็นพุทธะ ใจก็จะมัวหมองด้วยอารมณ์ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นทุกข์ยิ่ง
รู้มันมี2แบบ
รู้แบบสมมุติบัญญัติ รู้สึก เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง เป็นต้น
รู้อีกแบบ คือ รู้ ตื่น เบิก บาน ไม่มีความรู้สึก เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง เป็นต้น
เมื่อเห็นพุทธะภายในใจแล้ว ก็ไม่ต้องอวด ไม่ต้องประกาศว่าตนเป็นพระอริยเจ้าขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะการโอ้อวดมันเป็นวิสัยของผู้มีกิเลส
การเห็นพุทธะภายในใจของจริง จะไม่โอ้อวด เพราะสิ่งนั้นมันเป็นปัตจัตตัง โอ้อวดไม่ได้ ทุกวันนี้ จขกท ไม่เคยคิดว่าตนเป็นพระอริยเจ้าเลย
เพราะเมื่อใจมันตื่นรู้ รู้ตื่น เบิกบานแล้ว มันไม่มีความรู้สึก เป็นพระอริยเจ้าอะไรหรอก มันได้แต่รู้ ตื่น เบิกบาน ภายในใจนั้นแล ไม่มีความรู้สึกอะไร อะไร ในใจหรอก
ไครว่าเป็นปุถุชน จขกทก็เฉย ไครว่าดีก็เฉย ไครว่าเลวก็เฉย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นวิสัยของโลก ของจริงอยู่ภายในใจ ใจเราไม่ทุกข์เท่านั้นพอ
นิพพานของจริงดับสนิทหมด ความรู้สึกทางใจไม่มีเหลือ
หมายถึงความรู้สึกดับสนิทหมด ไม่ได้หมายความว่านิพพานสูญ
พระนิพพานก็ รู้ ตื่น เบิกบาน ในใจนั้นแล ไม่ได้ดับไปไหน
เมื่อนักปฏิบัติเจริญภาวนา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ทุกอิริยบท4 เดิน ยืน นั่ง นอน เมื่อใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจจะตื่นรู้
เมื่อใจตื่นรู้แล้ว ความรู้สึกเป็น สัตว์ บุคคล ชาย หญิง ดับสนิทหมดไม่มีเหลือ เพราะพุทธะได้บังเกิดแก่ใจของนักปฏิบัติแล้ว
ย่อมเห็นพุทธะภายในใจตน รู้ ตื่น เบิกบาน เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบใจ ใจจะไม่หวั่นไหว ตรงนี้เป็นวิปัสสนา ใจที่ตื่นรู้
นิวรณ์5ประการดับสนิทหมดไม่มีเหลือ ความรู้สึกทางใจ เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง ดับสนิทหมดไม่มีเหลือ รู้ ตื่น เบิกบาน
ในใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล แต่โดยทั่วไปแล้วใจสรรพสัตว์ไม่ตั้งมั่น เมื่อใจไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้สึกทางใจ ย่อมบังเกิด
รู้สึกเป็นคนบ้าง รู้สึกเป็นสัตว์บ้าง รู้สึกเป็นเทวดาบ้าง ย่อมปรุงแต่งมากมายสุดจะคณานับได้ นิวรณ์5ประการ ก็จะบดบังใจสัตว์
ไม่ให้ตื่นรู้เห็นพุทธะ ใจก็จะมัวหมองด้วยอารมณ์ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นทุกข์ยิ่ง
รู้มันมี2แบบ
รู้แบบสมมุติบัญญัติ รู้สึก เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง เป็นต้น
รู้อีกแบบ คือ รู้ ตื่น เบิก บาน ไม่มีความรู้สึก เป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิง เป็นต้น
เมื่อเห็นพุทธะภายในใจแล้ว ก็ไม่ต้องอวด ไม่ต้องประกาศว่าตนเป็นพระอริยเจ้าขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะการโอ้อวดมันเป็นวิสัยของผู้มีกิเลส
การเห็นพุทธะภายในใจของจริง จะไม่โอ้อวด เพราะสิ่งนั้นมันเป็นปัตจัตตัง โอ้อวดไม่ได้ ทุกวันนี้ จขกท ไม่เคยคิดว่าตนเป็นพระอริยเจ้าเลย
เพราะเมื่อใจมันตื่นรู้ รู้ตื่น เบิกบานแล้ว มันไม่มีความรู้สึก เป็นพระอริยเจ้าอะไรหรอก มันได้แต่รู้ ตื่น เบิกบาน ภายในใจนั้นแล ไม่มีความรู้สึกอะไร อะไร ในใจหรอก
ไครว่าเป็นปุถุชน จขกทก็เฉย ไครว่าดีก็เฉย ไครว่าเลวก็เฉย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นวิสัยของโลก ของจริงอยู่ภายในใจ ใจเราไม่ทุกข์เท่านั้นพอ