มิงกาลาบ่ายวันแดดจ้า วันที่ 14 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเมียนมาร์ รถมินิบัสของบริษัท OK BUS ก็เดินทางมาถึงเมืองมัณฑเลย์ พนักงานรถได้สอบถามว่าเราจะลงตรงไหน เราเอาที่อยู่ของโฮสเทลที่จองมาก่อนหน้าให้เขาดู พยักหน้าใส่ก็ก็เป็นอันว่าเขาใจ รถของบริษัทนี้ดีตรงที่ส่งเราถึงจุดหมายปลายทางนี่แหละ แจ๋วเลย เมื่อถึงที่พักพนักงานก็จะแจ้งเรา ตอนลงปรากฏว่ามีหนุ่มญี่ปุ่นลงพร้อมกับเราด้วย อ่อ เขาพักที่เดียวกันกับเรานี่เอง (นึกในใจ แสดงว่าเป็นพวกสายประหยัดเหมือนเราที่เน้นประสบการณ์ คงจะมีเพื่อนคุยกันยาวๆ 55+) พอเดประตูเดินเข้ามาก็เจอหนูน้อยเสื้อแดงยืนต้อนรับเราแล้ว อิอิ
ที่พักนี้ชื่อ Four Rivers B&B Mandalay พัก 2 คืน นอนแบบ Capsule รวมชายหญิง ราคาคืนละประมาณ 272 บาท/คน/คืน รวมอาหารเช้า ราคานี้จองผ่าน agoda.com แต่ถ้าจ่ายที่โฮสเทล ราคา 8 ดอลล่าร์/คน/คืน ค่ามัดจำคีการ์ด 5,000 จ๊าด/คน บรรยากาศภายในโฮสเทลแห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเลย ผมชอบมาตรงห้องโถงเอาไว้ให้ชาว Backpacker อย่างเรามานั่งคุยกัน
บรรยากาศภายในห้องพัก ถ้านอนแบบแคปซูลจะเป็นสองชั้น พอได้สอดตัวเข้าไปหลับตาได้ ที่นี่ชาวต่างชาติมาพักเยอะมาก
Four Rivers B&B Mandalay มีทั้งห้องนอนรวม ห้องแยกหญิง ห้องแบบนอนสองคน สามคนก็มี ราคาต่างกันออกไปตามในนี้เลย
ส่วนห้องน้ำก็แยกชายหญิงอยู่ด้านนอกห้องพัก สะอาด มีสบู่กับยาสระผมให้ในห้องน้ำ แต่ที่พักนี้ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ใช้ฟรี เราสามารถเช่าที่ font ได้ผืนละ 1,000 จ๊าด
เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ได้เวลาออกตะลุยเมือง เส้นทางในกระทู้นี้คือ
Day4 (วันที่ 14 พฤษภาคม 2560) เมืองสกาย-สะพานเหล็กอังวะ-Night market-china Town
Day5 (วันที่ 15 พฤษภาคม 2560) เจดีย์มิงกุน(เมืองสกาย)-เมืองอมรปุระ-สะพานอูเบ็ง
---------------
**อ่านย้อนหลังตอนที่ 1โหนรถเมย์ตะลุยย่างกุ้ง
https://ppantip.com/topic/36507616/comment2
**อ่านย้อนหลังตอนที่ 2 ผจญภัยในอาณาจักรแห่งทะเลเจดีย์
https://ppantip.com/topic/36542154
---------------
จากที่พักเปิดแผนที่เดินมาถนนสาย 84th St. มารอรถสองแถวสาย 8 แต่เป็นตัวเลขเมียนมาร์จะเขียนเหมือน ด หรือ ๑ บ้านเรา (ตามภาพ) รอรถที่วิ่งมาจากทางหอนาฬิกาไปทางสะพานอูเบ็ง (ดูแผนที่แล้วจินตนาการตามนะ) ตอนแรกก็กะว่าจะไปสะพานอูเบ็งก่อน รถมีเรื่อยๆ ครับ โบกเลย
บรรยากาศบนรถ พวกเราโดนไปคนละ 500 จ๊าด คนท้องถิ่นจ่ายแค่ 100-200 จ๊าด ถ้าไม่อยากเปลองค่าแท็กซี่ก็จ่ายๆไปครับ เดี๋ยวไม่ได้ไป จากในเมืองไปสะพานอูเบ็งประมาณ 9 กม. บรรยากาศในรถก็จะเป็นแออัดหน่อย
ลักษณะรถก็ประมาณนี้ครับ บริการรับส่งนักเรียนด้วย
ส่วนใหญ่คนที่มาใช้บริการก็จะเป็นคนท้องถิ่นพ่อค้าแม่ค้า ขนกันไปเต็มรถ ส่วนเราก็เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เสียสละในการโหนอยู่ท้ายรถ
พอมาถึงทางเข้าไปสะพานอูเบ็งรถก็จอดให้เราลง แต่ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1-2 กม. คิดไปคิดมามันพึ่ง 13.40 ถ้าจะไปดูพระอาทิตย์ตกคงยังแดดๆ อยู่เลย ณ เพลานี้ เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่าพอจะมีรถสองแถวไปเมืองสกาย (Sagaing) ไหม ... เขาบอกให้ไปยืนรอรถอีกฝั่ง สักพักรถก็วิ่งมา เราก็ไม่รู้ว่าสายไหน เป็นรูปเหมือนซุ้มประตูเมืองติดอยู่ด้านบนพร้อมอักษรที่เราอ่านไม่ออก เอาเป็นว่าเดี๋ยวคนที่ยืนบริเวณนั้นเขาจะบอกเราเอง
ยืนโหนรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงเมืองสกาย โดนคิดค่ารถไปคนละ 500 จ๊าด (แพงกว่าคนในท้องถิ่นอีกแล้ว) แต่ก่อนถึงเขาจะขับผ่านสะพานเหล็กอังวะ สวยมาก มีสะพายเหล็ก 2 สะพาน โดยรถรถสายที่เราโหยมาวิ่งใช้สะพานอังวะข้ามแม่น้ำอิระวดีไปยังเมืองสกาย พอถึงทางเข้าเมืองรถจอดให้เราลงบริเวณประตูนี้ล่ะ
จากนั้นก็หาทางเดินไปทางภูเขาที่มีเจดีย์เยอะๆ ซึ่งเราสังเกตเห็นตอนโหนรถข้ามสะพานมา ต้องเดินข้ามทางรถไฟไปทางภูเขาเจดีย์ ระหว่างทางก็อิ่มไปกับกลิ่นอายของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ไม่เคยเห็นในบ้านท่าลาด (บ้านผมเอง อิอิ)
จากรางรถไฟเราเดินข้าไปทางหมู่บ้านที่มีเนินสูงและใกล้ที่สุดเพื่อประหยัดเวลา ขอแค่ได้เห็นวิวป่าเจดีย์สีขาวบนที่สูงๆ ที่ใกล้ที่สุดก็พอ เดินลัดเลาะมาตามหมู่บ้านก็มาเจอทางขึ้นวัดที่ไหนสักแห่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ แต่มีเจดีย์องค์สีขาวขนาดใหญ่ยุนะ ตั้งอยู่ภายในวัดด้านบนซึ่งกำลังสร้างหรือบูรณะก็ไม่แน่ใจ บริเวณทางขึ้นเจอวัวนมยืนหน้าวัวต้อนรับอยู่ด้านล่าง พิกัดวัดตามนี้เลย ละติจูด 21.883837, ลองติจูด 95.990614
ที่เมืองสกายมีอะไร ทำไมถึงต้องมา แล้ววัดที่ผมขึ้นมาเจออะไร ให้ภาพนี้บรรยายแทนตัวอักษรเลยแล้วกันครับ
จากมุมนี้จุดที่เราปีนขึ้นไปบนเจดีย์ มองไปทางป่าเจดีย์สวยมาก เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองมัณฑเลย์ ห่างจากที่พักประมาณ 17 กม.
ยังมองเห็นสะพานเหล็กทั้งสองสะพานได้ชัดเจนบนนี้ ซึ่งสะพานในรูปชื่อ Yadanarbon Bridge ถัดจากสะพานนี้ไปทางขวาอีกไม่ไกลก็จะเป็นสะพานอังวะซึ่งมีลักษณะคล้ายกันและมีรางรถไฟทอดผ่านสะพานทั้งสองแห่ง
ถ้าหากลืมพกน้ำใส่กระเป๋ามาด้วย มาประเทศนี้ไม่อดน้ำตายแน่นอน มีน้ำฟรีให้ดื่มแทบทุกแห่ง
บรรยากาศภายในเมืองสกาย
จากจุดชมวิวเดินข้ามรางรถไฟกลับมายังจุดที่เราลงรถเพื่อรอรถสองแถวเข้าเมืองมัณฑเลย์ เวลา 17.20 น. รถรอกะว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็ง แต่รอนานมากว่ารถจะออก คุยกันไปคุยกันมากับคนขับก็ทราบมาว่ารถเต็มคันถึงจะออกรถได้ เรากว่าไปดูพระอาทิตย์ตกไม่ทันเลยตัดสินใจเดิน ระยะทางประมาณ 8 กม.ถึงจะถึงสะพานอูเบ็ง อ้าวเดินก็เดิน เผื่อไปโบกรถระหว่างทาง
เราเดินข้ามสะพานอังวะกลับไปทางมัณฑเลย์ ช่องวิ่งรถแคบมาก เพราะตรงกางเป็นรางรถไฟ โบกรถคันไหนเขาก็ไม่ชะลอจอดเลย สรุปคือต้องเดินกินลมชมวิววนไป
เริ่มค่ำแล้วรถหลายคัดก็วิ่งผ่านหน้าเราไป บนหลังคารถคันนี้มีผู้โดยสารทุกเพศทุกวัย OMG!
เดินมาถึงสี่แยกวงเวียนบริเวณทางแยกไปเมืองสะกาย เมืองอังวะ และมัณฑเลย์ เรามองเห็นรถเมย์สาย 30 คันสีเหลือง วิ่งผ่านมาจะเข้าไปทางเมืองมัณฑเลย์ เลยโบกขึ้น บนรถไม่มีคน รถสายนี้เราเคยเห็นวิ่งมาจากในเมืองมัณฑเลย์ตอนมาสกาย
ขณะเข้ามาในเมืองรถก็จอดรอให้รถไฟผ่าน นั่งมาไม่ไกลจากตรงนั้นรถเมย์ก็จอดให้เราลง แล้วบอกว่าเขาเลิกงานแล้ว โดยไม่ได้คิดค่ารถจากเรา WOW! พอเปิด GPS ยังเหลืออีก 5 กม. ถึงจะถึงบริเวณที่พัก ฟ้าก็เริ่มมืด จึงตัดสินใจไม่ไปสะพานอูเบ็งในวันนี้
ถนนสาย Sagaing-Mandalay RD. ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. หารถสองแถวหรือรถประจำทางเข้าเมืองยากมาก เราเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้รถคันนี้เข้าในเมือง ซึ่งจะไปจอดบริเวณ Night Market ซึ่งอยู่บริเวณหอนาฬิกา ค่ารถ 300 จ๊าด ลักษณะรถเป็นเหมือนรถสามล้อ
เวลา 19.30 น. เดินทางมาถึง Night Market ในภาพที่คิดไว้คงจะมีคนเยอะๆ มีชาวต่างชาติ มีร้านอาหาร บรรยากาศน่าจะคึกคัก พอมาเห็นกับตา ที่นี่เงียบสงัดมาก ถนนนี่โล่งเลย เลยเปลี่ยนสถานที่เดินไปหาอะไรกินบริเวณไชน่าทาวน์ ซึ่งอยู่บริเวณสถานีรถไฟตามที่แผนที่บอก
ระหว่างทางเจอรถมาเก็บขยะ การเก็บขยะที่นี่ไม่ได้เอาขยะไปเทไว้ในถังหรือกองรวมกันไว้เหมือนบ้านเรา แต่เจ้าขอขยะมานำขยะของตนเองมาเทใส่รถขยะ บ้านใครบ้านมัน
พอมาถึงบริเวณที่เรียกว่าไชน่าทาวน์ เริ่มเห็นร้านอาหารเยอะมาก แต่บรรยากาศไม่เหมือนไชน่าทาวน์ที่เคยเห็นมา โดยรอบก็มืดๆ ฝุ่นเยอะมาก ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ แต่คนขาวเหมือนเชื้อสายจีน มีภาษาจีนอยู่ในรายการอาหาร บริเวณโดยรอบเหมือนจะเป็นตลาดสด ร้านไหนคนเยอะก็นั่งร้านนั้นตามสเต็ปครับ 55+
แน่นอนว่าเมนูที่สั่งคงจะเป็นบะหมีเย็นตาโฟ ราคา 1,000 จ๊าด
ส่วนเมนูด้านล่าง 1,500 จ๊าด
แล้วก็เดินทางกลับโฮสเทล ระยะทางประมาณ 2 กม. จากไชน่าทาวน์ Good night คืนฝนตก
--------------------------
สรุปค่าใช้จ่ายของการเดินทางวันที่สี่ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2560)
ค่าที่พถัก Four Rivers B&B Mandalay 272 บาท/คน/คืน (รวมอาหารเช้า)
- ค่าไอศกรีม 500 จ๊าด/ชิ้น
- ค่าน้ำโค้ก 450 จ๊าด/ขวด
- ค่าโค้กกระป๋อง 1,000 จ๊าด/กระป๋อง (ซื้อในโฮสเทล)
- ค่ารถสองแถวไปสกาย 1,000 จ๊าด/คน
- ค่ารถสามล้อ 300 จ๊าด/คน
- ค่าอาหารค่ำ 1,000 จ๊าด/คน
- ค่าเช่าผ้าเช็ดตัว 1,000 จ๊าด/ผืน
***เฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละ 26,466 จ๊าด หรือประมาณ 679 บาท (เอา 39 หาร)
(อ่านต่อด้านล่าง)
[CR] แบกเป้เที่ยวเมียนมาร์ 7 วัน 5 เมือง ด้วยงบไม่ถึงหมื่น ตอนที่ 3 นั่งสองแถว ปั่นสองล้อ เที่ยวสองเมือง
ที่พักนี้ชื่อ Four Rivers B&B Mandalay พัก 2 คืน นอนแบบ Capsule รวมชายหญิง ราคาคืนละประมาณ 272 บาท/คน/คืน รวมอาหารเช้า ราคานี้จองผ่าน agoda.com แต่ถ้าจ่ายที่โฮสเทล ราคา 8 ดอลล่าร์/คน/คืน ค่ามัดจำคีการ์ด 5,000 จ๊าด/คน บรรยากาศภายในโฮสเทลแห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเลย ผมชอบมาตรงห้องโถงเอาไว้ให้ชาว Backpacker อย่างเรามานั่งคุยกัน
บรรยากาศภายในห้องพัก ถ้านอนแบบแคปซูลจะเป็นสองชั้น พอได้สอดตัวเข้าไปหลับตาได้ ที่นี่ชาวต่างชาติมาพักเยอะมาก
Four Rivers B&B Mandalay มีทั้งห้องนอนรวม ห้องแยกหญิง ห้องแบบนอนสองคน สามคนก็มี ราคาต่างกันออกไปตามในนี้เลย
ส่วนห้องน้ำก็แยกชายหญิงอยู่ด้านนอกห้องพัก สะอาด มีสบู่กับยาสระผมให้ในห้องน้ำ แต่ที่พักนี้ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ใช้ฟรี เราสามารถเช่าที่ font ได้ผืนละ 1,000 จ๊าด
เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ได้เวลาออกตะลุยเมือง เส้นทางในกระทู้นี้คือ
Day4 (วันที่ 14 พฤษภาคม 2560) เมืองสกาย-สะพานเหล็กอังวะ-Night market-china Town
Day5 (วันที่ 15 พฤษภาคม 2560) เจดีย์มิงกุน(เมืองสกาย)-เมืองอมรปุระ-สะพานอูเบ็ง
---------------
**อ่านย้อนหลังตอนที่ 1โหนรถเมย์ตะลุยย่างกุ้ง https://ppantip.com/topic/36507616/comment2
**อ่านย้อนหลังตอนที่ 2 ผจญภัยในอาณาจักรแห่งทะเลเจดีย์ https://ppantip.com/topic/36542154
---------------
จากที่พักเปิดแผนที่เดินมาถนนสาย 84th St. มารอรถสองแถวสาย 8 แต่เป็นตัวเลขเมียนมาร์จะเขียนเหมือน ด หรือ ๑ บ้านเรา (ตามภาพ) รอรถที่วิ่งมาจากทางหอนาฬิกาไปทางสะพานอูเบ็ง (ดูแผนที่แล้วจินตนาการตามนะ) ตอนแรกก็กะว่าจะไปสะพานอูเบ็งก่อน รถมีเรื่อยๆ ครับ โบกเลย
บรรยากาศบนรถ พวกเราโดนไปคนละ 500 จ๊าด คนท้องถิ่นจ่ายแค่ 100-200 จ๊าด ถ้าไม่อยากเปลองค่าแท็กซี่ก็จ่ายๆไปครับ เดี๋ยวไม่ได้ไป จากในเมืองไปสะพานอูเบ็งประมาณ 9 กม. บรรยากาศในรถก็จะเป็นแออัดหน่อย
ลักษณะรถก็ประมาณนี้ครับ บริการรับส่งนักเรียนด้วย
ส่วนใหญ่คนที่มาใช้บริการก็จะเป็นคนท้องถิ่นพ่อค้าแม่ค้า ขนกันไปเต็มรถ ส่วนเราก็เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เสียสละในการโหนอยู่ท้ายรถ
พอมาถึงทางเข้าไปสะพานอูเบ็งรถก็จอดให้เราลง แต่ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1-2 กม. คิดไปคิดมามันพึ่ง 13.40 ถ้าจะไปดูพระอาทิตย์ตกคงยังแดดๆ อยู่เลย ณ เพลานี้ เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่าพอจะมีรถสองแถวไปเมืองสกาย (Sagaing) ไหม ... เขาบอกให้ไปยืนรอรถอีกฝั่ง สักพักรถก็วิ่งมา เราก็ไม่รู้ว่าสายไหน เป็นรูปเหมือนซุ้มประตูเมืองติดอยู่ด้านบนพร้อมอักษรที่เราอ่านไม่ออก เอาเป็นว่าเดี๋ยวคนที่ยืนบริเวณนั้นเขาจะบอกเราเอง
ยืนโหนรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงเมืองสกาย โดนคิดค่ารถไปคนละ 500 จ๊าด (แพงกว่าคนในท้องถิ่นอีกแล้ว) แต่ก่อนถึงเขาจะขับผ่านสะพานเหล็กอังวะ สวยมาก มีสะพายเหล็ก 2 สะพาน โดยรถรถสายที่เราโหยมาวิ่งใช้สะพานอังวะข้ามแม่น้ำอิระวดีไปยังเมืองสกาย พอถึงทางเข้าเมืองรถจอดให้เราลงบริเวณประตูนี้ล่ะ
จากนั้นก็หาทางเดินไปทางภูเขาที่มีเจดีย์เยอะๆ ซึ่งเราสังเกตเห็นตอนโหนรถข้ามสะพานมา ต้องเดินข้ามทางรถไฟไปทางภูเขาเจดีย์ ระหว่างทางก็อิ่มไปกับกลิ่นอายของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ไม่เคยเห็นในบ้านท่าลาด (บ้านผมเอง อิอิ)
จากรางรถไฟเราเดินข้าไปทางหมู่บ้านที่มีเนินสูงและใกล้ที่สุดเพื่อประหยัดเวลา ขอแค่ได้เห็นวิวป่าเจดีย์สีขาวบนที่สูงๆ ที่ใกล้ที่สุดก็พอ เดินลัดเลาะมาตามหมู่บ้านก็มาเจอทางขึ้นวัดที่ไหนสักแห่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ แต่มีเจดีย์องค์สีขาวขนาดใหญ่ยุนะ ตั้งอยู่ภายในวัดด้านบนซึ่งกำลังสร้างหรือบูรณะก็ไม่แน่ใจ บริเวณทางขึ้นเจอวัวนมยืนหน้าวัวต้อนรับอยู่ด้านล่าง พิกัดวัดตามนี้เลย ละติจูด 21.883837, ลองติจูด 95.990614
ที่เมืองสกายมีอะไร ทำไมถึงต้องมา แล้ววัดที่ผมขึ้นมาเจออะไร ให้ภาพนี้บรรยายแทนตัวอักษรเลยแล้วกันครับ
จากมุมนี้จุดที่เราปีนขึ้นไปบนเจดีย์ มองไปทางป่าเจดีย์สวยมาก เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองมัณฑเลย์ ห่างจากที่พักประมาณ 17 กม.
ยังมองเห็นสะพานเหล็กทั้งสองสะพานได้ชัดเจนบนนี้ ซึ่งสะพานในรูปชื่อ Yadanarbon Bridge ถัดจากสะพานนี้ไปทางขวาอีกไม่ไกลก็จะเป็นสะพานอังวะซึ่งมีลักษณะคล้ายกันและมีรางรถไฟทอดผ่านสะพานทั้งสองแห่ง
ถ้าหากลืมพกน้ำใส่กระเป๋ามาด้วย มาประเทศนี้ไม่อดน้ำตายแน่นอน มีน้ำฟรีให้ดื่มแทบทุกแห่ง
บรรยากาศภายในเมืองสกาย
จากจุดชมวิวเดินข้ามรางรถไฟกลับมายังจุดที่เราลงรถเพื่อรอรถสองแถวเข้าเมืองมัณฑเลย์ เวลา 17.20 น. รถรอกะว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็ง แต่รอนานมากว่ารถจะออก คุยกันไปคุยกันมากับคนขับก็ทราบมาว่ารถเต็มคันถึงจะออกรถได้ เรากว่าไปดูพระอาทิตย์ตกไม่ทันเลยตัดสินใจเดิน ระยะทางประมาณ 8 กม.ถึงจะถึงสะพานอูเบ็ง อ้าวเดินก็เดิน เผื่อไปโบกรถระหว่างทาง
เราเดินข้ามสะพานอังวะกลับไปทางมัณฑเลย์ ช่องวิ่งรถแคบมาก เพราะตรงกางเป็นรางรถไฟ โบกรถคันไหนเขาก็ไม่ชะลอจอดเลย สรุปคือต้องเดินกินลมชมวิววนไป
เริ่มค่ำแล้วรถหลายคัดก็วิ่งผ่านหน้าเราไป บนหลังคารถคันนี้มีผู้โดยสารทุกเพศทุกวัย OMG!
เดินมาถึงสี่แยกวงเวียนบริเวณทางแยกไปเมืองสะกาย เมืองอังวะ และมัณฑเลย์ เรามองเห็นรถเมย์สาย 30 คันสีเหลือง วิ่งผ่านมาจะเข้าไปทางเมืองมัณฑเลย์ เลยโบกขึ้น บนรถไม่มีคน รถสายนี้เราเคยเห็นวิ่งมาจากในเมืองมัณฑเลย์ตอนมาสกาย
ขณะเข้ามาในเมืองรถก็จอดรอให้รถไฟผ่าน นั่งมาไม่ไกลจากตรงนั้นรถเมย์ก็จอดให้เราลง แล้วบอกว่าเขาเลิกงานแล้ว โดยไม่ได้คิดค่ารถจากเรา WOW! พอเปิด GPS ยังเหลืออีก 5 กม. ถึงจะถึงบริเวณที่พัก ฟ้าก็เริ่มมืด จึงตัดสินใจไม่ไปสะพานอูเบ็งในวันนี้
ถนนสาย Sagaing-Mandalay RD. ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. หารถสองแถวหรือรถประจำทางเข้าเมืองยากมาก เราเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้รถคันนี้เข้าในเมือง ซึ่งจะไปจอดบริเวณ Night Market ซึ่งอยู่บริเวณหอนาฬิกา ค่ารถ 300 จ๊าด ลักษณะรถเป็นเหมือนรถสามล้อ
เวลา 19.30 น. เดินทางมาถึง Night Market ในภาพที่คิดไว้คงจะมีคนเยอะๆ มีชาวต่างชาติ มีร้านอาหาร บรรยากาศน่าจะคึกคัก พอมาเห็นกับตา ที่นี่เงียบสงัดมาก ถนนนี่โล่งเลย เลยเปลี่ยนสถานที่เดินไปหาอะไรกินบริเวณไชน่าทาวน์ ซึ่งอยู่บริเวณสถานีรถไฟตามที่แผนที่บอก
ระหว่างทางเจอรถมาเก็บขยะ การเก็บขยะที่นี่ไม่ได้เอาขยะไปเทไว้ในถังหรือกองรวมกันไว้เหมือนบ้านเรา แต่เจ้าขอขยะมานำขยะของตนเองมาเทใส่รถขยะ บ้านใครบ้านมัน
พอมาถึงบริเวณที่เรียกว่าไชน่าทาวน์ เริ่มเห็นร้านอาหารเยอะมาก แต่บรรยากาศไม่เหมือนไชน่าทาวน์ที่เคยเห็นมา โดยรอบก็มืดๆ ฝุ่นเยอะมาก ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ แต่คนขาวเหมือนเชื้อสายจีน มีภาษาจีนอยู่ในรายการอาหาร บริเวณโดยรอบเหมือนจะเป็นตลาดสด ร้านไหนคนเยอะก็นั่งร้านนั้นตามสเต็ปครับ 55+
แน่นอนว่าเมนูที่สั่งคงจะเป็นบะหมีเย็นตาโฟ ราคา 1,000 จ๊าด
ส่วนเมนูด้านล่าง 1,500 จ๊าด
แล้วก็เดินทางกลับโฮสเทล ระยะทางประมาณ 2 กม. จากไชน่าทาวน์ Good night คืนฝนตก
--------------------------
สรุปค่าใช้จ่ายของการเดินทางวันที่สี่ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2560)
ค่าที่พถัก Four Rivers B&B Mandalay 272 บาท/คน/คืน (รวมอาหารเช้า)
- ค่าไอศกรีม 500 จ๊าด/ชิ้น
- ค่าน้ำโค้ก 450 จ๊าด/ขวด
- ค่าโค้กกระป๋อง 1,000 จ๊าด/กระป๋อง (ซื้อในโฮสเทล)
- ค่ารถสองแถวไปสกาย 1,000 จ๊าด/คน
- ค่ารถสามล้อ 300 จ๊าด/คน
- ค่าอาหารค่ำ 1,000 จ๊าด/คน
- ค่าเช่าผ้าเช็ดตัว 1,000 จ๊าด/ผืน
***เฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละ 26,466 จ๊าด หรือประมาณ 679 บาท (เอา 39 หาร)
(อ่านต่อด้านล่าง)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น