นั่งคิดเล่น ๆ ก็เกิดคิดขึ้นได้ว่า ชีวิตคนเรามันเหมือนกับน้ำนะ ถ้าคิดไม่ผิด ผมคิดว่าหลักปรัชญาชีวิตที่คนโบราณผูกติดกับตัวเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดก็น่าจะมาจากการสังเกตธรรมชาติของน้ำ ในวรรณคดีชาดกมักสังเกตเห็นว่า พระโพธิสัตว์ (การเสวยชาติของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนจะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ) มักมีฉากว่ายน้ำหรืออยู่ในน้ำปรากฏในชาดกหลายเรื่องด้วยกัน ที่โดดเด่นที่สุดก็คือเรื่อง พระมหาชนก แม้แต่พระชาติสุดท้ายคือพระเวสสันดร ก็ยังมีฉากที่กัณหาชาลีหนีไปหลบชูชกในน้ำ จากที่ได้เล่าเรียนมาอาจารย์เคยสอนว่า น้ำเปรียบเหมือนวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด การว่ายน้ำคือการแสดงให้เห็นถึงสัตว์โลกที่ยังผจญอยู่กับกิเลสตัณหาและความทุกข์ยาก ยังต้องดิ้นรนไม่หลุดพ้นสักที แม้ในเรื่องพระเวสสันดรที่ทรงเกลี้ยกล่อมให้กัณหาชาลีขึ้นจากฝั่งก็ตรัสประมาณว่า เราน่ะขึ้นแล้ว คือขึ้นจากวัฏจักรนั้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว ขอเจ้าทั้งสองจงขึ้นมาจากวัฏจักรอันเป็นทุกข์นั้กับเราเถิด น้ำจึงเป็นเสมือนชีวิต เป็นสัญลักษณ์บางอย่างที่คนโบราณนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นสัตว์โลกทั้งมวล
จริง ๆ แล้วร่างกายของคนเราประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่บนโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยดิน หมายถึงอวัยวะต่าง ๆ ที่จับต้องได้, น้ำ หมายถึง ของเหลวในร่างกาย มีเลือด น้ำหนอง น้ำลาย เป็นต้น, ลม หมายถึงลมต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าออกทางทวารของร่างกาย เช่น ลมหายใจ, ไฟ หมายถึง อุณหภูมิในร่างกาย ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าชีวิตมนุษย์ ความเป็นมนุษย์หรือสัตว์โลกนั้นสามารถเปรียบได้กับธาตุทั้งสี่นี้ แต่น้ำนั้นดูเหมือนจะชัดเจนและเป็นรูปธรรมในแง่ของการให้คติสอนใจคนได้อย่างชัดเจนที่สุด
อธิบายง่าย ๆ เท่าที่ผมเข้าใจ น้ำเกิดขึ้นจากฟ้า ตกลงมาสู่แหล่งน้ำทั้งลำธาร ห้วยหนองคลองบึง แม่น้ำ ทะเลหรือมหาสมุทร และไหลรินไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ถูกความร้อนและแปรสภาพเป็นไอระเหยขึ้นไปกลั่นตัวบนท้องฟ้า แล้วจึงตกลงมากลายเป็นน้ำใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในตำนานการถือกำเนิดของมนุษย์หลาย ๆ แห่งจึงมักกล่าวว่ามนุษย์มาจากท้องฟ้าโดยมีเทพเทวดาเป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อมนุษย์ต้องมาเผชิญชะตากรรมบนโลกก็จะถูกสภาพแวดล้อมเปรียบได้กับโขดหินดินทราย ลมพายุร้ายแต่ละช่วงแต่ละตอน พัดพาสายน้ำให้เร็วบ้างช้าบ้าง บ้าคลั่งบ้างเป็นบางเวลา นั่นคือร่างกายและจิตใจของมนุษย์ เมื่อเราประสบพบเจออะไรที่มาทำให้สะเทือนใจ ทั้งสุขเศร้าเหงาซึ้ง มันก็เปรียบได้กับน้ำที่ถูกกระทบด้วยบางสิ่งบางอย่างไม่ให้แน่นิ่งและต้องคลอนแคลนไปตามแรงดังกล่าว หากเป็นผู้ชายคงเข้าใจง่ายขึ้นในเวลาที่เกิดความกำหนัด จิตใจเราจะเปรียบเหมือนน้ำได้ชัดเจน หากไม่มีอะไรมากระทบก็จะไหลนิ่งไป แต่หากมีอะไรมากระทบให้เกิดความกำหนัดเพียงนิดเดียว น้ำนั้นก็จะตีคลื่นเป็นเกลียวขึ้นมาได้อย่างง่ายดายทันที นั่นคืออารมณ์ของคนเมื่อเปรียบกับน้ำ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่น้ำถูกเรียกตัวสู่สวรรค์ คือโดนความร้อนและแปรสภาพเป็นไอน้ำ เป็นไปได้ไหมว่าร่างกายมนุษย์ที่ถึงกาลแล้วจะถูกแปรสภาพจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งอย่างที่เราไม่รู้กันเช่นเดียวกับน้ำ จากนั้นจึงเข้ากระบวนการกลั่นตัวและกลับมาถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์และถูกนิยามใหม่ว่า ชาติภพ การถือกำเนิดในภพใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น จริง ๆ จะอธิบายเป็นดิน เป็นลม เป็นไฟ ก็น่าจะได้ แต่คงไม่ชัดเจนเท่าน้ำ
แต่สิ่งที่น่าคิดคือน้ำเป็นรูปธรรมว่าถูกกลั่นตัวกลายเป็นไอน้ำและฝนใหม่นั่นไม่ซับซ้อนนัก แต่มนุษย์เมื่อตายแล้ว ร่างถูกเผาหรือฝัง แล้วมันจะแปรสภาพไปเป็นรังไข่หรืออสุจิได้อย่างไร รังไข่และอสุจิเกิดจากอะไรก็ต้องขอเวลาทบทวนชีวะใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากมองในหลักความเป็นจริงคือร่างกายจะแปรสภาพเป็นธาตุส่วนหนึ่งของโลก (ยังแบ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นคือซากร่างกาย และสิ่งที่มองไม่เห็นคือวิญญาณ) และอาจใช้หล่อเลี้ยงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ธาตุดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเซลล์ในการเจริญเติบโตให้แก่สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ อาจเป็นพยาธิ หนอน แมลง ตามคำสอนทางพุทธและพราหมณ์ว่ามนุษย์จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากมาย และยากมากกว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง นั่นอาจหมายความว่ายากมากที่ธาตุของร่างกายเราจะกลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการสร้างเซลล์สืบพันธุ์มนุษย์ ปฏิสนธิและกลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง.....เรื่องดังกล่าวนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่ไม่มีใครทราบแน่ และเป็นไปได้มั้ยที่วิญญาณจะมีจริงและสามารถแปรสภาพเป็นรูปธรรมได้ใหม่อีกครั้งเช่นเดียวกับน้ำ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงจินตนาการและข้อสันนิษฐานเล่น ๆ ของคนแคบ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น หากใครมีความเห็นอย่างไรช่วยชี้แนะ แนะนำด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
เป็นไปได้มั้ยว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่จริง
จริง ๆ แล้วร่างกายของคนเราประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่บนโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยดิน หมายถึงอวัยวะต่าง ๆ ที่จับต้องได้, น้ำ หมายถึง ของเหลวในร่างกาย มีเลือด น้ำหนอง น้ำลาย เป็นต้น, ลม หมายถึงลมต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าออกทางทวารของร่างกาย เช่น ลมหายใจ, ไฟ หมายถึง อุณหภูมิในร่างกาย ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าชีวิตมนุษย์ ความเป็นมนุษย์หรือสัตว์โลกนั้นสามารถเปรียบได้กับธาตุทั้งสี่นี้ แต่น้ำนั้นดูเหมือนจะชัดเจนและเป็นรูปธรรมในแง่ของการให้คติสอนใจคนได้อย่างชัดเจนที่สุด
อธิบายง่าย ๆ เท่าที่ผมเข้าใจ น้ำเกิดขึ้นจากฟ้า ตกลงมาสู่แหล่งน้ำทั้งลำธาร ห้วยหนองคลองบึง แม่น้ำ ทะเลหรือมหาสมุทร และไหลรินไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ถูกความร้อนและแปรสภาพเป็นไอระเหยขึ้นไปกลั่นตัวบนท้องฟ้า แล้วจึงตกลงมากลายเป็นน้ำใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในตำนานการถือกำเนิดของมนุษย์หลาย ๆ แห่งจึงมักกล่าวว่ามนุษย์มาจากท้องฟ้าโดยมีเทพเทวดาเป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อมนุษย์ต้องมาเผชิญชะตากรรมบนโลกก็จะถูกสภาพแวดล้อมเปรียบได้กับโขดหินดินทราย ลมพายุร้ายแต่ละช่วงแต่ละตอน พัดพาสายน้ำให้เร็วบ้างช้าบ้าง บ้าคลั่งบ้างเป็นบางเวลา นั่นคือร่างกายและจิตใจของมนุษย์ เมื่อเราประสบพบเจออะไรที่มาทำให้สะเทือนใจ ทั้งสุขเศร้าเหงาซึ้ง มันก็เปรียบได้กับน้ำที่ถูกกระทบด้วยบางสิ่งบางอย่างไม่ให้แน่นิ่งและต้องคลอนแคลนไปตามแรงดังกล่าว หากเป็นผู้ชายคงเข้าใจง่ายขึ้นในเวลาที่เกิดความกำหนัด จิตใจเราจะเปรียบเหมือนน้ำได้ชัดเจน หากไม่มีอะไรมากระทบก็จะไหลนิ่งไป แต่หากมีอะไรมากระทบให้เกิดความกำหนัดเพียงนิดเดียว น้ำนั้นก็จะตีคลื่นเป็นเกลียวขึ้นมาได้อย่างง่ายดายทันที นั่นคืออารมณ์ของคนเมื่อเปรียบกับน้ำ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่น้ำถูกเรียกตัวสู่สวรรค์ คือโดนความร้อนและแปรสภาพเป็นไอน้ำ เป็นไปได้ไหมว่าร่างกายมนุษย์ที่ถึงกาลแล้วจะถูกแปรสภาพจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งอย่างที่เราไม่รู้กันเช่นเดียวกับน้ำ จากนั้นจึงเข้ากระบวนการกลั่นตัวและกลับมาถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์และถูกนิยามใหม่ว่า ชาติภพ การถือกำเนิดในภพใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น จริง ๆ จะอธิบายเป็นดิน เป็นลม เป็นไฟ ก็น่าจะได้ แต่คงไม่ชัดเจนเท่าน้ำ
แต่สิ่งที่น่าคิดคือน้ำเป็นรูปธรรมว่าถูกกลั่นตัวกลายเป็นไอน้ำและฝนใหม่นั่นไม่ซับซ้อนนัก แต่มนุษย์เมื่อตายแล้ว ร่างถูกเผาหรือฝัง แล้วมันจะแปรสภาพไปเป็นรังไข่หรืออสุจิได้อย่างไร รังไข่และอสุจิเกิดจากอะไรก็ต้องขอเวลาทบทวนชีวะใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากมองในหลักความเป็นจริงคือร่างกายจะแปรสภาพเป็นธาตุส่วนหนึ่งของโลก (ยังแบ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นคือซากร่างกาย และสิ่งที่มองไม่เห็นคือวิญญาณ) และอาจใช้หล่อเลี้ยงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ธาตุดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเซลล์ในการเจริญเติบโตให้แก่สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ อาจเป็นพยาธิ หนอน แมลง ตามคำสอนทางพุทธและพราหมณ์ว่ามนุษย์จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากมาย และยากมากกว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง นั่นอาจหมายความว่ายากมากที่ธาตุของร่างกายเราจะกลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการสร้างเซลล์สืบพันธุ์มนุษย์ ปฏิสนธิและกลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง.....เรื่องดังกล่าวนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่ไม่มีใครทราบแน่ และเป็นไปได้มั้ยที่วิญญาณจะมีจริงและสามารถแปรสภาพเป็นรูปธรรมได้ใหม่อีกครั้งเช่นเดียวกับน้ำ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงจินตนาการและข้อสันนิษฐานเล่น ๆ ของคนแคบ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น หากใครมีความเห็นอย่างไรช่วยชี้แนะ แนะนำด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ