เนื้อหาที่ลงไป เป็นช่วงเปิดเรื่องของนิยายที่กำลังเขียนค่ะ
เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องที่สอง ที่หัดเขียนอยู่ ( มีลงในเวปค่ะ แต่ไม่ค่อยมีคอมเม้นเท่าไรเลยไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดที่ต้องปรับปรุงมากน้อยแค่ไหน )
พอดีเรื่องแรกส่ง สนพ.แห่งหนึ่งไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ผลเพิ่งมาว่าไม่ผ่าน T^T
เราเลยเริ่มเสียกำลังใจ 555+
ฝากคอมเม้นติชมหน่อยนะคะ ... เรารู้ว่างานเขียนของตัวเองมีจุดอ่อนอยู่เยอะ เพียงแต่ไม่รู้จะแก้ยังไง
... ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ^^
///////////////////////////////////////////////////
บทที่ 1 ( บทนำ ) : ห้วงคำนึงที่เฝ้าคะนึงหา
‘ บางครั้งชีวิตของคนเราอาจจะสั้นกว่าที่คิด ’ ณัฐนัยบ่นในใจอย่างนึกสมเพชตัวเอง ก่อนจะถ่มน้ำลายผสมเลือดทิ้งด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เขาจ้องมองชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับต้องการประกาศบอกว่า หากรอดไปได้ชีวิตของมันสองคนจะต้องดับลงอย่างแน่นอน
“ ใครจ้างพวกแกมา ” ณัฐนัยเอ่ยถามรอดไรฟัน
“ ... มีคนเคยบอกว่าคนตายจะรู้ทุกอย่าง เดี๋ยวตายไปก็รู้เอง ” เสียงเหี้ยมเกรียมของหนึ่งในสองคนเอ่ยขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาใส่รั้วสังกะสีจนเกิดเสียงดัง
“ โครม !!! ”
“ ถ้าจะโทษใครสักคน ก็โทษตัวเองเถอะ ” มันบอกกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสภาพของคนตรงหน้า ที่ถูกซ้อมจนสะบักสะบอม
“ คลิ๊ก .. !!! ” เสียงที่ดังจากวัตถุสีดำขลับในมือของชายฉกรรจ์ที่มันเพิ่งดึงออกมาจากขอบกางเกง ทำให้ณัฐนัยรู้ได้ทันทีว่าโอกาสรอดของเขาคงเริ่มริบหรี่เต็มที
“ คุณตำรวจ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !!! ” เสียงใสของใครบางคนที่ร้องตะโกนออกไปสุดเสียง ทำให้ชายฉกรรจ์ชะงักทันที มันสบถเสียงหงุดหงิดก่อนที่จะเตะที่ลำตัวของเขาอีกครั้งเพื่อระบายโทสะ ก่อนที่คนข้างๆจะดึงแกมกระชากมันไปด้วยความรีบร้อน เพียงไม่กี่วินาทีชายฉกรรจ์ทั้งสองก็วิ่งหายไปในความมืดมิดด้านหลังเขตก่อสร้าง
ณัฐนัยถอนหายใจเฮือก มองภาพชายฉกรรจ์สองคนที่วิ่งหนีไปด้วยสายตาอาฆาต เพราะหากเขารอดตายเช่นนี้ ก็อย่าหวังว่ามันสองคนจะมีชีวิตรอด แต่กระนั้นในตอนนี้ร่างกายของเขาก็ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไรกระทั่งจะลุกขึ้นนั่งยังไม่สามารถทำได้ ณัฐนัยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามพลบค่ำในเมืองกรุงที่ไร้ดวงดาวอย่างหมดเรี่ยวแรง วันนี้เขาเข้ามาตรวจการก่อสร้างช็อปปิ้งมอลล์ที่นี่เพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้มีคนติดตามให้วุ่นวายเช่นทุกครั้ง ใครจะคิดว่ามีผู้ไม่ประสงค์ให้เค้ามีลมหายใจต่อไปดักรออยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกซ้อมจนเละเช่นตอนนี้แถมเกือบจะกลายเป็นศพไปแล้วหากไม่มีเสียงปริศนาเมื่อครู่
“ ตายหรือยังเนี่ย !!! ” เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ ร้องถามอย่างลังเล ณัฐนัยที่นอนนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตอบกลับทันที
“ ... ยังครับ ” เสียงตอบกลับมา ทำให้คนที่บ่นพึมพำสะดุ้งทันที
“ ตกใจหมดเลย ... คุณไหวไหม ” เธออุทานเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่พยายามยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างทะลักทุเล
“ พอได้ ” เสียงทุ้มของณัฐนัยตอบเพียงเท่านั้นก็เซถลา แต่มือบางของคนถามก็ถลาตัวเข้าไปรับได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มลงไปอีกครั้ง ทันทีที่มือบางแตะถูกร่างสูงกระแสไฟฟ้าก็แล่นผ่านคนทั้งคู่ด้วยความรวดเร็วคล้ายโดนไฟช็อต คนทั้งคู่ชะงักไปหลายวินาทีก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นคล้ายกับเธอตั้งสติได้ก่อน
“ แบบนี้เค้าเรียกไม่ไหว ... ฉันว่าเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกมันจะย้อนกลับมา ” เธอบอกพรางพยุงคนเขาด้วยความลำบาก เมื่อเขาตัวสูงกว่าเธอมาก
“ แล้วตำรวจละ !! ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะหันลีหันขวางก็พบแต่ความว่างเปล่า มีเพียงตนเองและหญิงสาวแปลกหน้าเท่านั้น ในเขตก่อสร้างที่เงียบสงัด
“ ไม่มีหรอกคุณ ” เธอบอกแกมหัวเราะแก้เก้อก่อนเอ่ยต่อ
“ ฉันก็ตะโกนไปอย่างงั้นละ คิดดูสิ ถนนเส้นนี้รถติดอย่างกับอะไรคงมีคนผ่านไปมาหรอก อย่างมากก็มีตามป้ายรถเมล์ที่ฉันเดินผ่านมาโน่นละ ” เธอบอกอย่างไม่ยี่ระ
“ ... ” ณัฐนัยมองคนข้างๆด้วยความสงสัย
“ อย่ามองฉันแบบนั้นสิ นี่ฉันช่วยคุณไว้นะ ” เธอร้องบอก เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เธอช่วยพยุงมองกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ ขอบคุณครับ ” เขาบอกออกมาเสียงเบา ขณะเดินออกมาพ้นเขตก็สร้างขึ้นมาถึงริมฟุตบาทข้างถนนที่เต็มไปด้วยรถสัญจรไปมา
“ ฉันว่า เราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า เพราะถ้าพวกมันย้อนกลับมาฉันคงโดนหมกนั่งยางไปพร้อมกับคุณแหงๆ ” เธอบอกทีเล่นทีจริง เวลาที่เดินล่วงเลยไปจนตะวันลับขอบฟ้า ทำให้เขามองเห็นใบหน้าของเธอไม่ชัดเท่าไรนัก เพราะความมืดที่เข้ามาแทนที่แสงสว่าง และมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟที่อย่างห่างไปเกือบร้อยเมตรเท่านั้นที่พอจะทำให้เห็นใบหน้าของเธอ
“ ... ”
“ ล้อเล่นน่าคุณ ทำหน้าดุไปได้ ” เธอบอกเสียงใส
“ ไปแจ้งความไหมคุณ เดี๋ยวฉันไปส่ง ”
“ ไม่ ... ” ณัฐนัยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบปฎิเสธ
“ งั้นบ้านคุณอยู่ไหน ” เธอร้องถาม
“ ไม่เป็นไร ... คืนนี้ผมว่าจะนอนโรงแรมแถวๆนี้ ” เขาครุ่นคิด ก่อนตอบออกไป เพราะเกรงว่าจะมีการดักรอที่หน้าบ้านเพราะพวกมันรู้ว่าเค้ายังไม่ตาย
“ ... งั้นก็ตามใจคุณนะ ” เธอบอกอย่างลังเล ก่อนจะโบกมือเรียกแท๊กซี่ที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
“ พี่ๆ .. ไปโรงแรมใกล้ๆค่ะ เอาที่ไม่แพงนะ ” เสียงใสเจรจากับคนขับเจื้อยแจ้ว ก่อนจับคนที่ยังมึนงงยัดใส่รถแล้วตัวเธอก็ตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
( เดี๋ยวมาต่อนะคะ )
สำนวนการเขียน ฝากติชมเพื่อการปรับปรุง
เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องที่สอง ที่หัดเขียนอยู่ ( มีลงในเวปค่ะ แต่ไม่ค่อยมีคอมเม้นเท่าไรเลยไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดที่ต้องปรับปรุงมากน้อยแค่ไหน )
พอดีเรื่องแรกส่ง สนพ.แห่งหนึ่งไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ผลเพิ่งมาว่าไม่ผ่าน T^T
เราเลยเริ่มเสียกำลังใจ 555+
ฝากคอมเม้นติชมหน่อยนะคะ ... เรารู้ว่างานเขียนของตัวเองมีจุดอ่อนอยู่เยอะ เพียงแต่ไม่รู้จะแก้ยังไง
... ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ^^
///////////////////////////////////////////////////
บทที่ 1 ( บทนำ ) : ห้วงคำนึงที่เฝ้าคะนึงหา
‘ บางครั้งชีวิตของคนเราอาจจะสั้นกว่าที่คิด ’ ณัฐนัยบ่นในใจอย่างนึกสมเพชตัวเอง ก่อนจะถ่มน้ำลายผสมเลือดทิ้งด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เขาจ้องมองชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับต้องการประกาศบอกว่า หากรอดไปได้ชีวิตของมันสองคนจะต้องดับลงอย่างแน่นอน
“ ใครจ้างพวกแกมา ” ณัฐนัยเอ่ยถามรอดไรฟัน
“ ... มีคนเคยบอกว่าคนตายจะรู้ทุกอย่าง เดี๋ยวตายไปก็รู้เอง ” เสียงเหี้ยมเกรียมของหนึ่งในสองคนเอ่ยขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาใส่รั้วสังกะสีจนเกิดเสียงดัง
“ โครม !!! ”
“ ถ้าจะโทษใครสักคน ก็โทษตัวเองเถอะ ” มันบอกกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสภาพของคนตรงหน้า ที่ถูกซ้อมจนสะบักสะบอม
“ คลิ๊ก .. !!! ” เสียงที่ดังจากวัตถุสีดำขลับในมือของชายฉกรรจ์ที่มันเพิ่งดึงออกมาจากขอบกางเกง ทำให้ณัฐนัยรู้ได้ทันทีว่าโอกาสรอดของเขาคงเริ่มริบหรี่เต็มที
“ คุณตำรวจ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !!! ” เสียงใสของใครบางคนที่ร้องตะโกนออกไปสุดเสียง ทำให้ชายฉกรรจ์ชะงักทันที มันสบถเสียงหงุดหงิดก่อนที่จะเตะที่ลำตัวของเขาอีกครั้งเพื่อระบายโทสะ ก่อนที่คนข้างๆจะดึงแกมกระชากมันไปด้วยความรีบร้อน เพียงไม่กี่วินาทีชายฉกรรจ์ทั้งสองก็วิ่งหายไปในความมืดมิดด้านหลังเขตก่อสร้าง
ณัฐนัยถอนหายใจเฮือก มองภาพชายฉกรรจ์สองคนที่วิ่งหนีไปด้วยสายตาอาฆาต เพราะหากเขารอดตายเช่นนี้ ก็อย่าหวังว่ามันสองคนจะมีชีวิตรอด แต่กระนั้นในตอนนี้ร่างกายของเขาก็ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไรกระทั่งจะลุกขึ้นนั่งยังไม่สามารถทำได้ ณัฐนัยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามพลบค่ำในเมืองกรุงที่ไร้ดวงดาวอย่างหมดเรี่ยวแรง วันนี้เขาเข้ามาตรวจการก่อสร้างช็อปปิ้งมอลล์ที่นี่เพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้มีคนติดตามให้วุ่นวายเช่นทุกครั้ง ใครจะคิดว่ามีผู้ไม่ประสงค์ให้เค้ามีลมหายใจต่อไปดักรออยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกซ้อมจนเละเช่นตอนนี้แถมเกือบจะกลายเป็นศพไปแล้วหากไม่มีเสียงปริศนาเมื่อครู่
“ ตายหรือยังเนี่ย !!! ” เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ ร้องถามอย่างลังเล ณัฐนัยที่นอนนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตอบกลับทันที
“ ... ยังครับ ” เสียงตอบกลับมา ทำให้คนที่บ่นพึมพำสะดุ้งทันที
“ ตกใจหมดเลย ... คุณไหวไหม ” เธออุทานเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่พยายามยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างทะลักทุเล
“ พอได้ ” เสียงทุ้มของณัฐนัยตอบเพียงเท่านั้นก็เซถลา แต่มือบางของคนถามก็ถลาตัวเข้าไปรับได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มลงไปอีกครั้ง ทันทีที่มือบางแตะถูกร่างสูงกระแสไฟฟ้าก็แล่นผ่านคนทั้งคู่ด้วยความรวดเร็วคล้ายโดนไฟช็อต คนทั้งคู่ชะงักไปหลายวินาทีก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นคล้ายกับเธอตั้งสติได้ก่อน
“ แบบนี้เค้าเรียกไม่ไหว ... ฉันว่าเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกมันจะย้อนกลับมา ” เธอบอกพรางพยุงคนเขาด้วยความลำบาก เมื่อเขาตัวสูงกว่าเธอมาก
“ แล้วตำรวจละ !! ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะหันลีหันขวางก็พบแต่ความว่างเปล่า มีเพียงตนเองและหญิงสาวแปลกหน้าเท่านั้น ในเขตก่อสร้างที่เงียบสงัด
“ ไม่มีหรอกคุณ ” เธอบอกแกมหัวเราะแก้เก้อก่อนเอ่ยต่อ
“ ฉันก็ตะโกนไปอย่างงั้นละ คิดดูสิ ถนนเส้นนี้รถติดอย่างกับอะไรคงมีคนผ่านไปมาหรอก อย่างมากก็มีตามป้ายรถเมล์ที่ฉันเดินผ่านมาโน่นละ ” เธอบอกอย่างไม่ยี่ระ
“ ... ” ณัฐนัยมองคนข้างๆด้วยความสงสัย
“ อย่ามองฉันแบบนั้นสิ นี่ฉันช่วยคุณไว้นะ ” เธอร้องบอก เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เธอช่วยพยุงมองกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ ขอบคุณครับ ” เขาบอกออกมาเสียงเบา ขณะเดินออกมาพ้นเขตก็สร้างขึ้นมาถึงริมฟุตบาทข้างถนนที่เต็มไปด้วยรถสัญจรไปมา
“ ฉันว่า เราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า เพราะถ้าพวกมันย้อนกลับมาฉันคงโดนหมกนั่งยางไปพร้อมกับคุณแหงๆ ” เธอบอกทีเล่นทีจริง เวลาที่เดินล่วงเลยไปจนตะวันลับขอบฟ้า ทำให้เขามองเห็นใบหน้าของเธอไม่ชัดเท่าไรนัก เพราะความมืดที่เข้ามาแทนที่แสงสว่าง และมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟที่อย่างห่างไปเกือบร้อยเมตรเท่านั้นที่พอจะทำให้เห็นใบหน้าของเธอ
“ ... ”
“ ล้อเล่นน่าคุณ ทำหน้าดุไปได้ ” เธอบอกเสียงใส
“ ไปแจ้งความไหมคุณ เดี๋ยวฉันไปส่ง ”
“ ไม่ ... ” ณัฐนัยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบปฎิเสธ
“ งั้นบ้านคุณอยู่ไหน ” เธอร้องถาม
“ ไม่เป็นไร ... คืนนี้ผมว่าจะนอนโรงแรมแถวๆนี้ ” เขาครุ่นคิด ก่อนตอบออกไป เพราะเกรงว่าจะมีการดักรอที่หน้าบ้านเพราะพวกมันรู้ว่าเค้ายังไม่ตาย
“ ... งั้นก็ตามใจคุณนะ ” เธอบอกอย่างลังเล ก่อนจะโบกมือเรียกแท๊กซี่ที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
“ พี่ๆ .. ไปโรงแรมใกล้ๆค่ะ เอาที่ไม่แพงนะ ” เสียงใสเจรจากับคนขับเจื้อยแจ้ว ก่อนจับคนที่ยังมึนงงยัดใส่รถแล้วตัวเธอก็ตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
( เดี๋ยวมาต่อนะคะ )