หนังเก่าเล่าใหม่ 058: Always: sunset on third street (Takashi Yamazaki,2005)
" ความหวัง ความอบอุ่น ร่องรอยของหยาดน้ำตา " Always: sunset on third street มีทั้งหมดสามภาคแต่เราจะเขียนรีวิวทีละภาคแยกกัน นี้คือหนึ่งในภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในใจเรา หนังเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงเวลาเดียวกับการสร้างหอคอยโตเกียว ซึ่งหนังได้ถ่ายทอดความหมายของการสร้างหอคอยแห่งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงโครงเหล็กธรรมดาแต่เปรียบเสมือนศูนย์รวมกำลังใจของชาวญี่ปุ่นให้มีชีวิตสู้ต่อไปจากประเทศที่แพ้สงครามอย่างมีความหวัง ตลอดระยะเวลาที่หนังดำเนินไปนั้นเราได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละครหรือพัฒนาการของตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบมีชีวิต ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับชีวิตเส้นทางของตัวละครเหล่านั้นแบบไม่ได้ถูกยัดเยียดให้ต้องรู้สึก เป็นหนังคุณภาพที่เรียกน้ำตาได้เรื่อยๆขณะที่ดู มีฉากที่ทำให้เราร้องไห้ตามได้ตลอด ไม่เพียงแค่ฉากเศร้าที่รู้สึกรันทดกับชะตาชีวิตหรือฉากสมหวังของตัวละคร ร้อยเรียงบนถนนสายนี้ได้อย่างครบองค์ประกอบ ยิ่งไปกว่านั้น การได้เรียนรู้ว่าประเทศที่แพ้สงครามนั้นต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากยังไงบ้างและก้าวข้ามความลำบากมาได้ยังไง เราไม่เคยรู้สึกว่าการมีทีวีมันจะพิเศษขนาดไหนหรือมีตู้เย็นมันจะดีเลิศมากมาย แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เราร้องไห้กับการมีทีวีขาวดำจอเล็กหนึ่งเครื่อง แล้วคนทั้งหมู่บ้านพร้อมใจกันมาดู ตื่นเต้นกันทั้งซอย ความมหัศจรรย์ของโลกภาพยนตร์คือการพาเราย้อนกลับไปเรียนรู้อดีตที่ผ่านมา เรียนรู้ความเป็นอยู่ของคนในอดีต เรียนรู้ผ่านสภาพแวดล้อมต่างๆในอดีต เพื่อมองย้อนดูตัวเราเองในปัจจุบัน แน่นอนที่สุด Always: sunset on third street ประสบความสำเร็จในการพาเราย้อนมองอดีตแบบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
โดยภาคแรกนี้จะเป็นการแนะนำที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว หนังเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของชีวิตแต่ละคนผ่านมุมมองที่น่าสนใจตั้งแต่ต้นเรื่อง เริ่มจากครอบครัวซูซูกิ ที่มีอู่ซ่อมรถเล็กๆ (ซูซุกิออร์โต้) มีความฝันว่าสักวันอู่รถแห่งนี้จะกลายเป็นอู่ซ่อมรถที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถึงแม้ฝันจะไกลมากๆแต่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ก็อัดแน่นไปด้วยความอบอุ่นด้วยคนในครอบครัว อู่ซ่อมรถเล็กๆในถนนสายนี้ประกอบไปด้วย ประธานบริษัท ภรรยาหนึ่งคนและลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อ 'อิปเป' เนื่องจากท่านประธานทำงานคนเดียวไม่ไหวจึงประกาศรับสมัครคนช่วยงาน ในขณะนั้นเด็กสาวที่พึ่งจบมัธยม 'โรขุจัง' จึงสมัครมาทำงานที่นี้โดยมีภาพจินตนาการว่า อู่ซ่อมรถแห่งนี้ต้องใหญ่โตมากๆ และเธอจะได้เป็นเลขาของท่านประธาน แต่แล้วเมื่อพบเจอสภาพจริง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่โรขุจังคิดไว้ แต่ถึงจะโชคร้ายที่ไม่เป็นไปอย่างที่ฝัน อู่ซ่อมรถเล็กๆหลังนี้ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความฝันของโรขุจังในที่สุด "บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตจะต้องเจอกับอะไร บางทีสิ่งที่คิดไว้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด แต่ใครจะบอกได้ว่าสิ่งที่เราไม่ได้คิดไว้นั้นจะไม่ดีเสมอไป" พัฒนาการของครอบครัวซูซูกิ คือภาพสะท้อนครอบครัวของคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลก ตลอดระยะเวลาที่หนังดำเนินไป อู่ซ่อมรถแห่งนี้ก็ค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่สภาพภายนอกของอู่ที่เปลี่ยนไป สภาพจิตใจของครอบครัวซูซูกิและโรขุจังก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เสมือนสภาพจิตใจของคนญี่ปุ่นที่ค่อยๆฟื้นฟูเป็นระยะๆ
ส่วนฝั่งตรงข้ามของอู่ซ่อมรถ คือร้านขายขนม ขายฉลากให้เด็กจับรางวัลเหมือนสมัยเด็กๆที่เราเคยเล่นกัน เจ้าของร้านชื่อ 'ริวโนสุเกะ' เป็นนักเขียนนิยายไส้แห้ง ที่มองอนาคตว่าน่าจะไปไม่รอด แต่ก็ยังพยายามเขียนนิยายอยู่เสมอเพราะเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมีความสุข แม้จะไม่มีเงินเอาไว้ซื้อข้าวกินก็ตาม 'ริวโนสุเกะ' ถือเป็นตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ยังมีความฝันและยังทำความฝันของตัวเองต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง ทำไปเรื่อยๆ อดทนต่อไปเรื่อยๆ 'ริวโนสุเกะ' อาจเป็นคนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์ในงานเขียนก็ได้ แต่สิ่งที่มีแน่ๆในตัวละครตัวนี้คือ 'ความรักในงานเขียน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ เชื่อมั่นด้วยแรงกล้า' แม้จะส่งไปสำนักพิมพ์ก็ไม่ค่อยได้ลง ส่งประกวดก็ไม่เคยได้รางวัล แต่เขาก็ทำงานเขียนไม่เคยหยุด จุดเปลี่ยนในชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' คือการนั่งกินเหล้าและพยายามจะจีบสาวสวย 'ฮิโรมิ' ที่เป็นคนดูแลร้าน จงถูกฮิโรมิ ใช้เสน่ห์ในการรุกเร้าขอร้องให้ 'ริวโนสุเกะ' รับ 'จุนโนะสุเกะ' ไปเลี้ยงต่อจากเธอ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ (ตอนเมา) ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของนักเขียนไส้แห้งคนนี้ไปตลอดเส้นทางชีวิตหลังจากนี้ ทั้ง ริวโนสุเกะ, จุนโนะสุเกะ และ ฮิโรมิ คือจุดเริ่มต้นของ 'Always: sunset on third street' เลยก็ว่าได้ ถนนเส้นนี้จะพาทั้งสามคนก้าวผ่านความทุกข์และอยู่ร่วมกับความสุขได้หรือเปล่า รวมไปถึงตัวละครทั้งสามตัวยังสร้างรอยต่อให้เราอยากติดตามภาคสองและสามต่อไปอีกด้วย ชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' ในภาคนี้อาจเหมือนนิยายที่กำลังดำเนินมาถึงตอนสำคัญ จุดแปรผันให้เรื่องราวต่อจากนี้ดูน่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' แทบไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย นี้แหละมั๊งคือชีวิต เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งข้างหน้าหรือวันไหน ใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตเราจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล เราชอบที่หนังเลือกที่ตั้งของตัวละครหลักให้อยู่ตรงข้ามกันคือฝั่งของซูซุกิออร์โต้ที่ครอบครัวเรียกว่า สมบูรณ์พร้อม กับ ริวโนสุเกะ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ เป็นความขัดแย้งที่ลงตัว
'Always: sunset on third street' ไม่เพียงให้ตัวละครหลักๆมีบทบาทที่สำคัญคือครอบครัวซูซูกิและทางฝั่งของริวโนสุเกะเท่านั้น แต่หนังยังมีตัวละครสมทบที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสรรค์ให้สภาพแวดล้อมของหนังดูอบอุ่นขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เช่น หมอเด็กประจำหมู่บ้านที่จะคอยฉีดยาให้เด็กๆ จนถูกเรียกว่าเป็นหมอยักษ์ ยายร้านขายบุหรี่ที่เหมือนเป็นตัวปูเรื่องทั้งหมด และตัวประกอบอื่นๆ ที่รายล้อมตัวละครหลักก็ทำได้น่ารักน่าชม ที่สำคัญกว่านั้นคือตัวละครสมทบของหนังเรื่องนี้แทบไม่ถูกมองข้ามที่จะไม่ใส่เรื่องราวภูมิหลังความเป็นมาก่อนสงครามและหลังสงครามให้เราเห็นเลย เรียกว่าเข้าใจความรู้สึกของตัวละครหลักแล้ว ตัวละครสมทบก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะเหตุนี้ผลกระทบของหนังในส่วนของความรู้สึกจึงทำได้ดีมาก เพราะตัวหนังเองเก็บรายละเอียดแทบตลอดทุกจุด ผนวกกับบทภาพยนตร์ที่สามารถรอยเรียงตัวละครเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืนที่สุดเรื่องหนึ่ง 'ไม่มีใครถูกทิ้งทุกตัวละครสำคัญหมด ในชีวิตจริงของเราก็คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน' สภาพแวดล้อมของหนังก็ช่วยยกให้เราซึมซับบรรยากาศของประเทศที่แพ้สงครามได้เป็นอย่างดี ดนตรีประกอบก็เพราะมาก ฉากแต่ละฉากถูกเล่าผ่านได้อย่างมีความหมาย เส้นเรื่องแต่ละเส้นถูกเรียงรอยออกมาได้อย่างสวยงาม สำหรับเรานั้นหนังสามารที่จะจบได้ด้วยตัวของมันเองเลยด้วยซ้ำสำหรับภาคนี้ เพราะมันดีงามจนไม่ต้องมีภาคต่อแล้วก็ได้
ท้ายสุด 'Always: sunset on third street' คือหนังญี่ปุ่นที่ทำให้เราร้องไห้ได้มากสุด แม้ภาพรวมอาจเป็นหนังโลกสวยแต่มันก็เป็นพลังงานที่ดีให้เราใช้ในการดำเนินชีวิตในโลกความเป็นจริงกันต่อไป น้ำตาอาจไม่ได้มาจากความเศร้าเสมอไปบางทีเรื่องราวที่ชวนให้เราซาบซึ้ง+อิ่มเอม ยังสามารถทำให้เราร้องไห้ได้มากจนรู้สึกดี ไม่ว่าเราจะหยิบหนังเรื่องนี้มาดูใหม่อีกกี่รอบก็ตาม ความอบอุ่นที่หนังมอบให้ยังคงชัดเจนผ่านเรื่องราวของตัวละคร บอกเล่าความเป็นมาของพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ ถ้าจะจัดหนังที่เราชอบมากที่สุดทางฝั่งเอเชีย 'Always' คงอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอน ไม่เพียงแค่เนื้อหาสาระที่ทำให้เราได้เรียนรู้เข้าใจชีวิตมากขึ้นแค่นั้น นักแสดงทั้งหมดในเรื่องพร้อมที่จะทำให้เราหลงรักทุกคน ขอบคุณเรื่องราวดีๆอีกครั้งหนึ่ง
'พระอาทิตย์ตกแล้ว สวยดีเนอะ'
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
หนังเก่าเล่าใหม่ 058: Always: sunset on third street (Takashi Yamazaki,2005) เขียนโดย Form Corleone
" ความหวัง ความอบอุ่น ร่องรอยของหยาดน้ำตา " Always: sunset on third street มีทั้งหมดสามภาคแต่เราจะเขียนรีวิวทีละภาคแยกกัน นี้คือหนึ่งในภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในใจเรา หนังเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงเวลาเดียวกับการสร้างหอคอยโตเกียว ซึ่งหนังได้ถ่ายทอดความหมายของการสร้างหอคอยแห่งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงโครงเหล็กธรรมดาแต่เปรียบเสมือนศูนย์รวมกำลังใจของชาวญี่ปุ่นให้มีชีวิตสู้ต่อไปจากประเทศที่แพ้สงครามอย่างมีความหวัง ตลอดระยะเวลาที่หนังดำเนินไปนั้นเราได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละครหรือพัฒนาการของตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบมีชีวิต ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับชีวิตเส้นทางของตัวละครเหล่านั้นแบบไม่ได้ถูกยัดเยียดให้ต้องรู้สึก เป็นหนังคุณภาพที่เรียกน้ำตาได้เรื่อยๆขณะที่ดู มีฉากที่ทำให้เราร้องไห้ตามได้ตลอด ไม่เพียงแค่ฉากเศร้าที่รู้สึกรันทดกับชะตาชีวิตหรือฉากสมหวังของตัวละคร ร้อยเรียงบนถนนสายนี้ได้อย่างครบองค์ประกอบ ยิ่งไปกว่านั้น การได้เรียนรู้ว่าประเทศที่แพ้สงครามนั้นต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากยังไงบ้างและก้าวข้ามความลำบากมาได้ยังไง เราไม่เคยรู้สึกว่าการมีทีวีมันจะพิเศษขนาดไหนหรือมีตู้เย็นมันจะดีเลิศมากมาย แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เราร้องไห้กับการมีทีวีขาวดำจอเล็กหนึ่งเครื่อง แล้วคนทั้งหมู่บ้านพร้อมใจกันมาดู ตื่นเต้นกันทั้งซอย ความมหัศจรรย์ของโลกภาพยนตร์คือการพาเราย้อนกลับไปเรียนรู้อดีตที่ผ่านมา เรียนรู้ความเป็นอยู่ของคนในอดีต เรียนรู้ผ่านสภาพแวดล้อมต่างๆในอดีต เพื่อมองย้อนดูตัวเราเองในปัจจุบัน แน่นอนที่สุด Always: sunset on third street ประสบความสำเร็จในการพาเราย้อนมองอดีตแบบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
โดยภาคแรกนี้จะเป็นการแนะนำที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว หนังเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของชีวิตแต่ละคนผ่านมุมมองที่น่าสนใจตั้งแต่ต้นเรื่อง เริ่มจากครอบครัวซูซูกิ ที่มีอู่ซ่อมรถเล็กๆ (ซูซุกิออร์โต้) มีความฝันว่าสักวันอู่รถแห่งนี้จะกลายเป็นอู่ซ่อมรถที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถึงแม้ฝันจะไกลมากๆแต่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ก็อัดแน่นไปด้วยความอบอุ่นด้วยคนในครอบครัว อู่ซ่อมรถเล็กๆในถนนสายนี้ประกอบไปด้วย ประธานบริษัท ภรรยาหนึ่งคนและลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อ 'อิปเป' เนื่องจากท่านประธานทำงานคนเดียวไม่ไหวจึงประกาศรับสมัครคนช่วยงาน ในขณะนั้นเด็กสาวที่พึ่งจบมัธยม 'โรขุจัง' จึงสมัครมาทำงานที่นี้โดยมีภาพจินตนาการว่า อู่ซ่อมรถแห่งนี้ต้องใหญ่โตมากๆ และเธอจะได้เป็นเลขาของท่านประธาน แต่แล้วเมื่อพบเจอสภาพจริง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่โรขุจังคิดไว้ แต่ถึงจะโชคร้ายที่ไม่เป็นไปอย่างที่ฝัน อู่ซ่อมรถเล็กๆหลังนี้ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความฝันของโรขุจังในที่สุด "บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตจะต้องเจอกับอะไร บางทีสิ่งที่คิดไว้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด แต่ใครจะบอกได้ว่าสิ่งที่เราไม่ได้คิดไว้นั้นจะไม่ดีเสมอไป" พัฒนาการของครอบครัวซูซูกิ คือภาพสะท้อนครอบครัวของคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลก ตลอดระยะเวลาที่หนังดำเนินไป อู่ซ่อมรถแห่งนี้ก็ค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่สภาพภายนอกของอู่ที่เปลี่ยนไป สภาพจิตใจของครอบครัวซูซูกิและโรขุจังก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เสมือนสภาพจิตใจของคนญี่ปุ่นที่ค่อยๆฟื้นฟูเป็นระยะๆ
ส่วนฝั่งตรงข้ามของอู่ซ่อมรถ คือร้านขายขนม ขายฉลากให้เด็กจับรางวัลเหมือนสมัยเด็กๆที่เราเคยเล่นกัน เจ้าของร้านชื่อ 'ริวโนสุเกะ' เป็นนักเขียนนิยายไส้แห้ง ที่มองอนาคตว่าน่าจะไปไม่รอด แต่ก็ยังพยายามเขียนนิยายอยู่เสมอเพราะเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมีความสุข แม้จะไม่มีเงินเอาไว้ซื้อข้าวกินก็ตาม 'ริวโนสุเกะ' ถือเป็นตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ยังมีความฝันและยังทำความฝันของตัวเองต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง ทำไปเรื่อยๆ อดทนต่อไปเรื่อยๆ 'ริวโนสุเกะ' อาจเป็นคนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์ในงานเขียนก็ได้ แต่สิ่งที่มีแน่ๆในตัวละครตัวนี้คือ 'ความรักในงานเขียน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ เชื่อมั่นด้วยแรงกล้า' แม้จะส่งไปสำนักพิมพ์ก็ไม่ค่อยได้ลง ส่งประกวดก็ไม่เคยได้รางวัล แต่เขาก็ทำงานเขียนไม่เคยหยุด จุดเปลี่ยนในชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' คือการนั่งกินเหล้าและพยายามจะจีบสาวสวย 'ฮิโรมิ' ที่เป็นคนดูแลร้าน จงถูกฮิโรมิ ใช้เสน่ห์ในการรุกเร้าขอร้องให้ 'ริวโนสุเกะ' รับ 'จุนโนะสุเกะ' ไปเลี้ยงต่อจากเธอ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ (ตอนเมา) ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของนักเขียนไส้แห้งคนนี้ไปตลอดเส้นทางชีวิตหลังจากนี้ ทั้ง ริวโนสุเกะ, จุนโนะสุเกะ และ ฮิโรมิ คือจุดเริ่มต้นของ 'Always: sunset on third street' เลยก็ว่าได้ ถนนเส้นนี้จะพาทั้งสามคนก้าวผ่านความทุกข์และอยู่ร่วมกับความสุขได้หรือเปล่า รวมไปถึงตัวละครทั้งสามตัวยังสร้างรอยต่อให้เราอยากติดตามภาคสองและสามต่อไปอีกด้วย ชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' ในภาคนี้อาจเหมือนนิยายที่กำลังดำเนินมาถึงตอนสำคัญ จุดแปรผันให้เรื่องราวต่อจากนี้ดูน่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นชีวิตของ 'ริวโนสุเกะ' แทบไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย นี้แหละมั๊งคือชีวิต เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งข้างหน้าหรือวันไหน ใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตเราจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล เราชอบที่หนังเลือกที่ตั้งของตัวละครหลักให้อยู่ตรงข้ามกันคือฝั่งของซูซุกิออร์โต้ที่ครอบครัวเรียกว่า สมบูรณ์พร้อม กับ ริวโนสุเกะ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ เป็นความขัดแย้งที่ลงตัว
'Always: sunset on third street' ไม่เพียงให้ตัวละครหลักๆมีบทบาทที่สำคัญคือครอบครัวซูซูกิและทางฝั่งของริวโนสุเกะเท่านั้น แต่หนังยังมีตัวละครสมทบที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสรรค์ให้สภาพแวดล้อมของหนังดูอบอุ่นขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เช่น หมอเด็กประจำหมู่บ้านที่จะคอยฉีดยาให้เด็กๆ จนถูกเรียกว่าเป็นหมอยักษ์ ยายร้านขายบุหรี่ที่เหมือนเป็นตัวปูเรื่องทั้งหมด และตัวประกอบอื่นๆ ที่รายล้อมตัวละครหลักก็ทำได้น่ารักน่าชม ที่สำคัญกว่านั้นคือตัวละครสมทบของหนังเรื่องนี้แทบไม่ถูกมองข้ามที่จะไม่ใส่เรื่องราวภูมิหลังความเป็นมาก่อนสงครามและหลังสงครามให้เราเห็นเลย เรียกว่าเข้าใจความรู้สึกของตัวละครหลักแล้ว ตัวละครสมทบก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะเหตุนี้ผลกระทบของหนังในส่วนของความรู้สึกจึงทำได้ดีมาก เพราะตัวหนังเองเก็บรายละเอียดแทบตลอดทุกจุด ผนวกกับบทภาพยนตร์ที่สามารถรอยเรียงตัวละครเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืนที่สุดเรื่องหนึ่ง 'ไม่มีใครถูกทิ้งทุกตัวละครสำคัญหมด ในชีวิตจริงของเราก็คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน' สภาพแวดล้อมของหนังก็ช่วยยกให้เราซึมซับบรรยากาศของประเทศที่แพ้สงครามได้เป็นอย่างดี ดนตรีประกอบก็เพราะมาก ฉากแต่ละฉากถูกเล่าผ่านได้อย่างมีความหมาย เส้นเรื่องแต่ละเส้นถูกเรียงรอยออกมาได้อย่างสวยงาม สำหรับเรานั้นหนังสามารที่จะจบได้ด้วยตัวของมันเองเลยด้วยซ้ำสำหรับภาคนี้ เพราะมันดีงามจนไม่ต้องมีภาคต่อแล้วก็ได้
ท้ายสุด 'Always: sunset on third street' คือหนังญี่ปุ่นที่ทำให้เราร้องไห้ได้มากสุด แม้ภาพรวมอาจเป็นหนังโลกสวยแต่มันก็เป็นพลังงานที่ดีให้เราใช้ในการดำเนินชีวิตในโลกความเป็นจริงกันต่อไป น้ำตาอาจไม่ได้มาจากความเศร้าเสมอไปบางทีเรื่องราวที่ชวนให้เราซาบซึ้ง+อิ่มเอม ยังสามารถทำให้เราร้องไห้ได้มากจนรู้สึกดี ไม่ว่าเราจะหยิบหนังเรื่องนี้มาดูใหม่อีกกี่รอบก็ตาม ความอบอุ่นที่หนังมอบให้ยังคงชัดเจนผ่านเรื่องราวของตัวละคร บอกเล่าความเป็นมาของพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ ถ้าจะจัดหนังที่เราชอบมากที่สุดทางฝั่งเอเชีย 'Always' คงอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอน ไม่เพียงแค่เนื้อหาสาระที่ทำให้เราได้เรียนรู้เข้าใจชีวิตมากขึ้นแค่นั้น นักแสดงทั้งหมดในเรื่องพร้อมที่จะทำให้เราหลงรักทุกคน ขอบคุณเรื่องราวดีๆอีกครั้งหนึ่ง
'พระอาทิตย์ตกแล้ว สวยดีเนอะ'
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/