หนังเก่าเล่าใหม่ 059: Always 2: Sunset on third street (Takashi Yamazaki, 2007)
" ความอบอุ่นบนถนนสายที่สาม " เรื่องราวในเรื่องเกิดขึ้น 4 เดือนหลังจากภาคแรก Always 2 ยังคงให้ความอบอุ่นไม่ต่างจากภาคแรกมากนัก แม้จะทำได้ไม่ดีเทียบเท่ากับภาคแรกก็ตาม แต่องค์ประกอบรวมยังถือเป็นงานที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจได้ไม่น้อย ตัวหนังยังคงบอกเล่าเรื่องราวชีวิตผู้คนบนถนนหมายเลขสาม เรื่องราวของครอบครัวซูซูกิยังคงดำเนินต่อไป กิจการอู่ซ่อมรถค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ 'ริวโนสุเกะ' ยังคงตั้งใจเขียนนิยายพร้อมกับดูแล 'จุนโนะสุเกะ' และรอคอยการกลับมาของ 'ฮิโรมิ' หลังจากเรื่องราวภาคแรกจบลงความสัมพันธ์ระหว่าง 'ริวโนสุเกะ' และ 'ฮิโรมิ' ได้ทิ้งคำถามถึงความเป็นไปได้หลังจากนั้น ซึ่งภาคนี้ถือเป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเขาทั้งหมด แม้จะต้องรอลุ้นเอาใจช่วยจนวินาทีสุดท้ายของเรื่องเลยก็ตาม (ถึงจะเดาได้ตลอดทั้งเรื่อง)
ในส่วนของอารมณ์นั้น หนังยังทำได้ละมุมผสมมุขขำๆ รวมไปถึงฉากดราม่าที่ต้องยกให้เป็นบทภาพยนตร์ที่บีบคั้นอารมณ์อยู่เสมอ ทั้งฉากเศร้า รอยยิ้มของความสุข ไม่ได้ถูกยัดเยียดมากจนเกินไป ส่วนตัวเรารู้สึกว่าภาคนี้สามารถใช้บทที่รู้สึกว่าบีบคั้นอารมณ์กว่าภาคแรก แต่ทำได้ถูกจุดถูกที่และเหมาะสมกับเวลา ไม่ว่าจะเป็นวินาทีของการลาจาก หนทางแห่งการพบกันใหม่ รอยเรียงอยู่ในภาคนี้เรียบร้อย ปราศจากคำถามทิ้งท้าย จบแบบบริบูรณ์แตกต่างจากภาคแรกที่ทิ้งคำถามไว้ให้เรา ซึ่งให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เสมือนภาคแรกคืองานบรรจงในทุกๆส่วน ส่วนภาคนี้คืองานเจาะจงด้านอารมณ์ที่สามารถรองรับอารมณ์ได้ทั้งหมด ถึงกระนั้นคงต้องยกความดีงามให้ตัวผู้กำกับและเหล่านักแสดงทุกคนที่สามารถส่งอารมณ์กันได้ดีเยี่ยม รวมไปถึงงานโปรดักชั่นที่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องได้อยู่เสมอ การเล่าเรื่องยังคงเป็นเส้นตรง เรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกมาก แม้ฉากทั้งหมดจะไม่สามารถตรึงใจเราได้เท่าภาคแรกก็ตาม (ไม่ได้ร้องไห้หนักเท่าภาคแรก) แต่กลับเป็นความรู้สึกว่าเรากำลังนั่งดูชีวิตของพวกเขาเหล่านี้เผชิญหน้ากับความทุกข์ใจ รับมือกับความผิดหวังอย่างไร ได้รับความสุขแบบไหน กล้าที่จะต่อสู้กับสิ่งที่ตัวเองกลัวได้แค่ไหน
ในส่วนของพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวนั้นมีให้เห็นกันเรื่อยๆตั้งแต่ภาคแรกจนต่อเนื่องมาถึงภาคนี้ ตัวละครที่เราคิดว่าเปลี่ยนแปลงที่สุดคงเป็น 'ริวโนะสุเกะ' ที่พยายามเขียนนิยายส่งเข้าประกวดเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถที่จะเลี้ยงดู 'จุนโนะสุเกะ' หลังจากที่ 'จุนโนะสุเกะ' ได้พบกับพ่อที่แท้จริงซึ่งรวยมากและต้องการพาเขาไปเลี้ยงดู 'ริวโนะสุเกะ' ที่เป็นนักเขียนไส้แห้งพยายามทุ่มสุดตัวเพื่อจะได้เป็นคนดูแล 'จุนโนะสุเกะ' ความสัมพันธ์ของน้า-หลาน จากภาคแรก แปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่เงินไม่ใช่สาระสำคัญเท่าความอบอุ่นที่คนสองคนมีให้กัน และสิ่งนั้นทำให้ความรักของคนต่างสายเลือดเติบโตอย่างถาวร ในส่วนของ 'ฮิโรมิ' หลังจากได้ 'สวมแหวนร่องหล' ที 'ริวโนะสุเกะ' สวมให้นั้น เธอต้องทำงานใช้หนี้ของพ่อโดยการเป็นคาบาเรต์โชว์ เป็นนักเต้นที่มีหนุ่มๆคนรวยหมายปอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ‘ฮิโรมิ’ ยังคงซื่อสัตย์ด้วยความรักที่มีต่อ 'ริวโนะสุเกะ' เสมอมา ในส่วนของครอบครัวซูซุกิ คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการอยู่กันพร้อมหน้าของคนในครอบครัว และ 'โรขุจัง' เด็กน้อยจากวันแรกที่ซ่อมรถไม่เป็นก็ค่อยๆ หยิบจับทุกอย่างได้ดีขึ้น จนกลายเป็นคนในครอบครัวไปเรียบร้อย ในส่วนของ 'อิปเป' ลูกชายตัวเล็กก็ได้รู้จักถึงความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เมื่อญาติของซูซุกิที่ล้มละลายต้องฝากลูกสาวที่เอาแต่ใจให้ครอบครัวซูซูกิดูแล จนสุดท้ายก็กลายเป็นขวัญใจของ 'อิปเป' ความสัมพันธ์ของเด็กน้อยสองคน ช่วยสร้างสีสันให้เรารู้สึกอมยิ้มตามตลอดเวลา
สำหรับอุปสรรคของตัวละครในเรื่องแตกต่างจากภาคแรกเพราะไม่ได้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากสังคมภายนอกเกือบทั้งสิน เป็นบทพิสูจน์ถึงหนทางในการดำเนินชีวิตบทถนนสายที่สาม พวกเขาต้องผ่านบททดสอบไปให้ได้ ความดราม่าผสมคอมมาดี้ การโฟกัสไปที่ผู้คนรอบข้าง แล้วค่อยๆลงลึกไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นั้น ภาคนี้ยังมีตัวละครเพิ่มเติมจากภาคแรกให้เราได้รับรู้ความรู้สึกเพิ่มเข้ามาอีกด้วย สำหรับเรา 'Always' คือภาพเสมือนของโลกที่ปราศจากเงินทองที่เป็นของนอกกายของพวกเขาเหล่านั้น เปรียบเสมือนความรักที่พวกเขามีให้กันนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้เลย ไม่ว่าจะข้อแม้ใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องเงินซึ่งถือเป็นปัจจัยต้นๆของการเอาชีวิตรอด หนังสะท้อนคุณค่าของชีวิตที่มากกว่าเงินให้กับเรา ความสัมพันธ์แบบ 'ริวโนะสุเกะ กับ ฮิโรมิ' ยังจะมีอยู่จริงในโลกยุคปัจจุบันหรือเปล่า เราอิจฉาชีวิตของพวกเขาสองคนจริงๆ 'บางทีการได้เจอคนที่ยอมรับเราไม่ว่าจะได้ดีหรือร้าย พร้อมที่จะเผชิญปัญหาไปด้วยกัน คงมีค่ามากกว่าเงินทองมากมาย'
สุดท้าย 'Always 2: Sunset on third street' ยังคงสภาพของไออุ่นผสมความเศร้า ที่สามารถทำให้หัวใจของเราได้ชุ่มชื่น กับช่วงชีวิตของผู้คนที่ดำเดินไปบนถนนเช่นนั้น ความหวังของผู้คนบนถนนสายนี้ยังคงดำเนินต่อไปและพร้อมให้เราหยิบมาเรียนรู้อีกครั้งโดยไม่รู้จักเบื่อ ตัวละครในเรื่องทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสวยงามในตอนจบเปรียบเสมือนกำลังใจที่ผสมหยดน้ำตาให้เรามีพลังที่จะเดินต่อไปบนถนนสายของเรา สิ่งที่แน่นอนที่สุดหลังหนังจบลงคือ ตัวละครในเรื่องจะโยงใย+ผูกพัน ไปกับชีวิตเราหลังจากนี้แน่นอน
'พระอาทิตย์ตกแล้ว สวยดีเนอะ'
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ปล. รีวิวภาคแรก
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/photos/a.526813687409980.1073741825.218828854875133/1378615932229747/?type=3&theater
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
หนังเก่าเล่าใหม่ 059: Always 2: Sunset on third street (Takashi Yamazaki, 2007) เขียนโดย Form Corleone
" ความอบอุ่นบนถนนสายที่สาม " เรื่องราวในเรื่องเกิดขึ้น 4 เดือนหลังจากภาคแรก Always 2 ยังคงให้ความอบอุ่นไม่ต่างจากภาคแรกมากนัก แม้จะทำได้ไม่ดีเทียบเท่ากับภาคแรกก็ตาม แต่องค์ประกอบรวมยังถือเป็นงานที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจได้ไม่น้อย ตัวหนังยังคงบอกเล่าเรื่องราวชีวิตผู้คนบนถนนหมายเลขสาม เรื่องราวของครอบครัวซูซูกิยังคงดำเนินต่อไป กิจการอู่ซ่อมรถค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ 'ริวโนสุเกะ' ยังคงตั้งใจเขียนนิยายพร้อมกับดูแล 'จุนโนะสุเกะ' และรอคอยการกลับมาของ 'ฮิโรมิ' หลังจากเรื่องราวภาคแรกจบลงความสัมพันธ์ระหว่าง 'ริวโนสุเกะ' และ 'ฮิโรมิ' ได้ทิ้งคำถามถึงความเป็นไปได้หลังจากนั้น ซึ่งภาคนี้ถือเป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเขาทั้งหมด แม้จะต้องรอลุ้นเอาใจช่วยจนวินาทีสุดท้ายของเรื่องเลยก็ตาม (ถึงจะเดาได้ตลอดทั้งเรื่อง)
ในส่วนของอารมณ์นั้น หนังยังทำได้ละมุมผสมมุขขำๆ รวมไปถึงฉากดราม่าที่ต้องยกให้เป็นบทภาพยนตร์ที่บีบคั้นอารมณ์อยู่เสมอ ทั้งฉากเศร้า รอยยิ้มของความสุข ไม่ได้ถูกยัดเยียดมากจนเกินไป ส่วนตัวเรารู้สึกว่าภาคนี้สามารถใช้บทที่รู้สึกว่าบีบคั้นอารมณ์กว่าภาคแรก แต่ทำได้ถูกจุดถูกที่และเหมาะสมกับเวลา ไม่ว่าจะเป็นวินาทีของการลาจาก หนทางแห่งการพบกันใหม่ รอยเรียงอยู่ในภาคนี้เรียบร้อย ปราศจากคำถามทิ้งท้าย จบแบบบริบูรณ์แตกต่างจากภาคแรกที่ทิ้งคำถามไว้ให้เรา ซึ่งให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เสมือนภาคแรกคืองานบรรจงในทุกๆส่วน ส่วนภาคนี้คืองานเจาะจงด้านอารมณ์ที่สามารถรองรับอารมณ์ได้ทั้งหมด ถึงกระนั้นคงต้องยกความดีงามให้ตัวผู้กำกับและเหล่านักแสดงทุกคนที่สามารถส่งอารมณ์กันได้ดีเยี่ยม รวมไปถึงงานโปรดักชั่นที่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องได้อยู่เสมอ การเล่าเรื่องยังคงเป็นเส้นตรง เรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกมาก แม้ฉากทั้งหมดจะไม่สามารถตรึงใจเราได้เท่าภาคแรกก็ตาม (ไม่ได้ร้องไห้หนักเท่าภาคแรก) แต่กลับเป็นความรู้สึกว่าเรากำลังนั่งดูชีวิตของพวกเขาเหล่านี้เผชิญหน้ากับความทุกข์ใจ รับมือกับความผิดหวังอย่างไร ได้รับความสุขแบบไหน กล้าที่จะต่อสู้กับสิ่งที่ตัวเองกลัวได้แค่ไหน
ในส่วนของพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวนั้นมีให้เห็นกันเรื่อยๆตั้งแต่ภาคแรกจนต่อเนื่องมาถึงภาคนี้ ตัวละครที่เราคิดว่าเปลี่ยนแปลงที่สุดคงเป็น 'ริวโนะสุเกะ' ที่พยายามเขียนนิยายส่งเข้าประกวดเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถที่จะเลี้ยงดู 'จุนโนะสุเกะ' หลังจากที่ 'จุนโนะสุเกะ' ได้พบกับพ่อที่แท้จริงซึ่งรวยมากและต้องการพาเขาไปเลี้ยงดู 'ริวโนะสุเกะ' ที่เป็นนักเขียนไส้แห้งพยายามทุ่มสุดตัวเพื่อจะได้เป็นคนดูแล 'จุนโนะสุเกะ' ความสัมพันธ์ของน้า-หลาน จากภาคแรก แปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่เงินไม่ใช่สาระสำคัญเท่าความอบอุ่นที่คนสองคนมีให้กัน และสิ่งนั้นทำให้ความรักของคนต่างสายเลือดเติบโตอย่างถาวร ในส่วนของ 'ฮิโรมิ' หลังจากได้ 'สวมแหวนร่องหล' ที 'ริวโนะสุเกะ' สวมให้นั้น เธอต้องทำงานใช้หนี้ของพ่อโดยการเป็นคาบาเรต์โชว์ เป็นนักเต้นที่มีหนุ่มๆคนรวยหมายปอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ‘ฮิโรมิ’ ยังคงซื่อสัตย์ด้วยความรักที่มีต่อ 'ริวโนะสุเกะ' เสมอมา ในส่วนของครอบครัวซูซุกิ คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการอยู่กันพร้อมหน้าของคนในครอบครัว และ 'โรขุจัง' เด็กน้อยจากวันแรกที่ซ่อมรถไม่เป็นก็ค่อยๆ หยิบจับทุกอย่างได้ดีขึ้น จนกลายเป็นคนในครอบครัวไปเรียบร้อย ในส่วนของ 'อิปเป' ลูกชายตัวเล็กก็ได้รู้จักถึงความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เมื่อญาติของซูซุกิที่ล้มละลายต้องฝากลูกสาวที่เอาแต่ใจให้ครอบครัวซูซูกิดูแล จนสุดท้ายก็กลายเป็นขวัญใจของ 'อิปเป' ความสัมพันธ์ของเด็กน้อยสองคน ช่วยสร้างสีสันให้เรารู้สึกอมยิ้มตามตลอดเวลา
สำหรับอุปสรรคของตัวละครในเรื่องแตกต่างจากภาคแรกเพราะไม่ได้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากสังคมภายนอกเกือบทั้งสิน เป็นบทพิสูจน์ถึงหนทางในการดำเนินชีวิตบทถนนสายที่สาม พวกเขาต้องผ่านบททดสอบไปให้ได้ ความดราม่าผสมคอมมาดี้ การโฟกัสไปที่ผู้คนรอบข้าง แล้วค่อยๆลงลึกไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นั้น ภาคนี้ยังมีตัวละครเพิ่มเติมจากภาคแรกให้เราได้รับรู้ความรู้สึกเพิ่มเข้ามาอีกด้วย สำหรับเรา 'Always' คือภาพเสมือนของโลกที่ปราศจากเงินทองที่เป็นของนอกกายของพวกเขาเหล่านั้น เปรียบเสมือนความรักที่พวกเขามีให้กันนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้เลย ไม่ว่าจะข้อแม้ใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องเงินซึ่งถือเป็นปัจจัยต้นๆของการเอาชีวิตรอด หนังสะท้อนคุณค่าของชีวิตที่มากกว่าเงินให้กับเรา ความสัมพันธ์แบบ 'ริวโนะสุเกะ กับ ฮิโรมิ' ยังจะมีอยู่จริงในโลกยุคปัจจุบันหรือเปล่า เราอิจฉาชีวิตของพวกเขาสองคนจริงๆ 'บางทีการได้เจอคนที่ยอมรับเราไม่ว่าจะได้ดีหรือร้าย พร้อมที่จะเผชิญปัญหาไปด้วยกัน คงมีค่ามากกว่าเงินทองมากมาย'
สุดท้าย 'Always 2: Sunset on third street' ยังคงสภาพของไออุ่นผสมความเศร้า ที่สามารถทำให้หัวใจของเราได้ชุ่มชื่น กับช่วงชีวิตของผู้คนที่ดำเดินไปบนถนนเช่นนั้น ความหวังของผู้คนบนถนนสายนี้ยังคงดำเนินต่อไปและพร้อมให้เราหยิบมาเรียนรู้อีกครั้งโดยไม่รู้จักเบื่อ ตัวละครในเรื่องทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสวยงามในตอนจบเปรียบเสมือนกำลังใจที่ผสมหยดน้ำตาให้เรามีพลังที่จะเดินต่อไปบนถนนสายของเรา สิ่งที่แน่นอนที่สุดหลังหนังจบลงคือ ตัวละครในเรื่องจะโยงใย+ผูกพัน ไปกับชีวิตเราหลังจากนี้แน่นอน
'พระอาทิตย์ตกแล้ว สวยดีเนอะ'
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ปล. รีวิวภาคแรก https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/photos/a.526813687409980.1073741825.218828854875133/1378615932229747/?type=3&theater
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/