ลองคิดตามหลักความเป็นจริงดูนะครับว่านิยามของคำว่าสบายคืออะไร ในที่นี้ ผมนิยามความสบายคือความคุ้มค่าของผลตอบแทนต่อเนื้องานที่ทำไป ลองคิดจากงานสบายตามค่ามาตรฐานในอุดมคติก่อนนะครับก็จะได้สมการความสบายดังนี้
ความคุ้มค่าของงาน = เนื้องาน / เงินเดือน
ถ้าเนื้องานมากขึ้น งานก็หนักขึ้น แต่ถ้าได้เงินเดือนมากพอ มันก็คุ้มทำ ผมขอยกตัวอย่างเคสงานนึงให้นะครับ
ความคุ้มค่าของงาน = 15,000 / 15,000 = 1
อันนี้สมมติตามเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนะครับ คนทำงาน 15,000 ได้ค่าแรง 15,000 ก็สมเหตุสมผล สมมติว่าคุณทำงานเก่งมากขนาดทำคุ้มค่าแรง 25,000 ได้จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 25,000 / 15,000 = 1.667
ลูกจ้างจะทำงานดีแค่ไหนอย่างเก่งก็ได้ปรับเงินเดือน 5-10% ได้โบนัสเพิ่ม ถ้าได้เลื่อนตำแหน่งก็รายได้เพิ่มไปหลานพันถึงหลายหมื่นก็เป็นได้ เคสนี้ผมให้เต็มเพดาน 10% รวมโบนัสอีกเป็น 20,000 เลยเอ้าจะได้แบบนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 25,000 / 20,000 = 1.25
ยังไงก็สบายไม่คุ้มค่าเหนื่อยครับ สมมติว่าเจ้านายโคตรเก่งเห็นแววคุณเลื่อนตำแหน่งให้คุณต่อทันที คุณก็ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นด้วยแต่งานคุณก็เยอะตามเป็นแบบนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 40,000 / 30,000 = 1.33
เขาก็จะคาดหวังให้คุณทำงาน 4 หมื่นให้คุ้มกับค่าแรง 3 หมื่น เพราะ performance ของคุณเมื่อก่อนคือ 25,000 ถ้าคุณทำ 30-35k ก็ไม่ได้ตามเป้าเขาคุณก็จะโดนลดความสำคัญลงมากลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงในปีต่อๆมาก็จะมาแทนคุณได้ คุณก็ต้องทำงานด้วยเนื้องาน 40-50k เพื่อความก้าวหน้าของหน้าที่การงานต่อไป ยังไงก็ไม่เคยได้สบายคุ้มกับเนื้องานที่ทำครับ
นี่คือเคสแบบอุดมคติสุดๆนะครับ ในชีวิตจริงมันแย่กว่านี้เยอะ กว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไหนจะโดนประเมินงานในทีมกับการเมืองในบริษัทอีก ยังไงคุณก็เหนื่อยกว่าค่าแรงจริง ผมเคยนั่งกินข้าวในร้านอาหารได้ยินคนคุยกันว่า
"ถ้าให้เงินเดือนลูกน้องอยู่เท่านี้จะพอให้เขาพอใจที่จะอยู่ต่อได้รึเปล่าวะ"
ไม่มีเจ้านายคนไหนยอมเสียกำไรเดือนละ 3 หมื่นเพื่อให้คนที่หาเงินให้เขาได้น้อยกว่านั้นหรอกครับ อย่างน้อยๆเวลาของคนที่จ้างคุณเขาเอาไปใช้หาเงินได้มากกว่าที่จ่ายคุณถึงคิดว่าคุ้มจ้างไม่มาทำเอง ลูกน้องคุณบางคนเข้ามาใหม่ได้เงินเดือนใกล้ๆคุณแต่ทำงานน้อยกว่าคุณเยอะก็มี พอคุณจะลาออกเจ้านายก็เสนอขึ้นเงินเดือนให้ แปลว่าที่ผ่านมาคุณได้ค่าแรงไม่คุ้มกับงานที่ทำหรืออย่างไรถึงไม่ขึ้นให้แต่แรก
เอาล่ะ ดูของลูกจ้างมานานพอแล้วมาดูของเจ้านายกันบ้าง
ความคุ้มค่าของงาน = 200,000 / 200,000 = 1
2 แสนเลยเหรอ ผมสมมติงานแบบอุดมคติขั้นต่ำให้นะครับ สมมติว่าคุณมีลูกน้อง 5 คนละกัน เงินเดือนเฉลี่ยคนละ 15,000 ก็ 75,000 รวมกับค่า fixed cost และ operation ต่างๆยังไงรายจ่ายเดือนนึงก็เกินหลักแสน ผมให้ 2 แสนนี่ถือว่าน้อยแล้วครับ ถ้าหากเจ้านายดี มีวิสัยทัศน์ ทำงานได้ดีจริงแบบ 3 แสนนะครับ ผลประกอบการก็ได้ตามนั้นไปดังนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 300,000 / 300,000 = 1
อันนี้คืออุดมคตินะครับ ถ้าทำดีทุกอย่างแล้วยังพลาดแปลว่าคุณไม่เก่งหรือดวงไม่ดีพอครับ ไม่ต้องอ้างเพราะเคสลุกจ้างผมก็คิดตามอุดมคติหมด จะเห็นได้ว่าเพดานของเจ้านายมันไม่มีเหมือนลูกจ้าง ทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น สมมติว่าคุณได้ลูกจ้างเก่งแบบที่ยกมานะครับ อาจจะได้แบบนี้เลยก็ได้
ความคุ้มค่าของงาน = 300,000 / 500,000 = 0.6
คุณจ่ายลูกน้องให้เดือนละไม่ถึงแสน แต่ลูกน้องทำงานดีได้กำไรมาอีกสองแสน ยังไงก็สบายกว่าเห็นๆ บางบริษัทที่ผลประกอบการดีนะครับ โตแบบ 200% มาหลายปีติดกันเลยก็มีครับ ขนาดพวกที่อิ่มตัวแล้วยังโตขั้นต่ำกันที่ 10% โดยเฉลี่ย
ใครที่บอกเจ้านายทำงานหนักมากแบบนั้นแบบนี้ผมบอกได้เลยว่ามโนครับ จะมีหนักจริงก็ตอนเริ่มก่อร้างสร้างองค์กรขึ้นมา พอองค์กรอยู่ตัวแล้วเจ้านายสบายครับ มีลูกเจ้าของบริษัทคนไหนมาลำบากล้มลุกคลุกคลานแบบพ่อเขาบ้าง ไม่มี๊ มันก็เหมือนการปลูกต้นไม้ครับ ตอนแรกก็เหนื่อยลำบากประคบประหงมไม่ให้มันตาย พอโตมาได้ก็รอกินผลอร่อยๆระยะยาวไม่ต้องมานั่งพรวนดินดูแลมันเหมือนต้นกล้าในตอนแรก
ยังไงเจ้านายก็สบายกว่า ความเครียดของเจ้านายก็เป็นงานบริหารของเขา ลูกน้องก็เครียดกับงานที่เค้าบริหารเองเหมือนกัน ต่างกันที่ scale ของงานกับผลตอบแทนที่ได้รับ แต่ไม่มีเจ้าของคอนโดคนไหนหรอกที่มานั่งผสมปูนแบกก้อนอิฐเอง ไม่มีเจ้าของภัตตาคารหรูคนไหนหรอกที่มานั่งล้างจานถูพื้นอยู่หลังร้านประจำทุกวัน (หรืออาจจะมีแต่ไม่ถึง 1%)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็จะมาเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของกิจการกันได้ จะต้องมี mindset ที่พร้อมจะออกมาผจญภัยกับการที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่ทำงานรอรับเงินเดือนอีกต่อไป คุณจะต้องมีลู่ทางที่ทำให้คุณสามารถเลี้ยงชีพด้วยตัวเองได้ คุณจะต้องมีทุนไม่ว่าจะเป็นเงิน แผนธุรกิจ แรงงาน และเวลาที่จะมาจัดสรรผลักดันให้กิจการดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ
สาเหตุที่คุณยังเป็นลูกจ้างอยู่เพราะลึกๆคุณรู้ตัวว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะออกมาจากกรอบของการเป็นลูกจ้าง ออกจาก comfort zone ที่มีเงินเดือนเป็น failsafe ให้กับชีวิตคุณ คุณก็รู้ว่าเป็นเจ้านายก็เสี่ยงเจ๊งสูง ไม่แกร่งพอก็อยู่ได้ไม่นาน ล้มแล้วต้องพร้อมลุกขึ้นสู้ไปตลอดจนกว่าจะประสบความสำเร็จพอที่จะสบายไปทั้งชีวิตได้ ดังนั้นเลิกบ่นเจ้านายเสียแล้วรีบพัฒนาตนเองให้พร้อมพอที่จะออกมาจากกรอบเดิมๆถ้าคุณไม่อยากเป็นลูกน้องอีกต่อไป
เป็นเจ้านายน่ะ ยังไงก็สบายกว่าเป็นลูกจ้างเขาครับ
ความคุ้มค่าของงาน = เนื้องาน / เงินเดือน
ถ้าเนื้องานมากขึ้น งานก็หนักขึ้น แต่ถ้าได้เงินเดือนมากพอ มันก็คุ้มทำ ผมขอยกตัวอย่างเคสงานนึงให้นะครับ
ความคุ้มค่าของงาน = 15,000 / 15,000 = 1
อันนี้สมมติตามเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนะครับ คนทำงาน 15,000 ได้ค่าแรง 15,000 ก็สมเหตุสมผล สมมติว่าคุณทำงานเก่งมากขนาดทำคุ้มค่าแรง 25,000 ได้จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 25,000 / 15,000 = 1.667
ลูกจ้างจะทำงานดีแค่ไหนอย่างเก่งก็ได้ปรับเงินเดือน 5-10% ได้โบนัสเพิ่ม ถ้าได้เลื่อนตำแหน่งก็รายได้เพิ่มไปหลานพันถึงหลายหมื่นก็เป็นได้ เคสนี้ผมให้เต็มเพดาน 10% รวมโบนัสอีกเป็น 20,000 เลยเอ้าจะได้แบบนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 25,000 / 20,000 = 1.25
ยังไงก็สบายไม่คุ้มค่าเหนื่อยครับ สมมติว่าเจ้านายโคตรเก่งเห็นแววคุณเลื่อนตำแหน่งให้คุณต่อทันที คุณก็ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นด้วยแต่งานคุณก็เยอะตามเป็นแบบนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 40,000 / 30,000 = 1.33
เขาก็จะคาดหวังให้คุณทำงาน 4 หมื่นให้คุ้มกับค่าแรง 3 หมื่น เพราะ performance ของคุณเมื่อก่อนคือ 25,000 ถ้าคุณทำ 30-35k ก็ไม่ได้ตามเป้าเขาคุณก็จะโดนลดความสำคัญลงมากลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงในปีต่อๆมาก็จะมาแทนคุณได้ คุณก็ต้องทำงานด้วยเนื้องาน 40-50k เพื่อความก้าวหน้าของหน้าที่การงานต่อไป ยังไงก็ไม่เคยได้สบายคุ้มกับเนื้องานที่ทำครับ
นี่คือเคสแบบอุดมคติสุดๆนะครับ ในชีวิตจริงมันแย่กว่านี้เยอะ กว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไหนจะโดนประเมินงานในทีมกับการเมืองในบริษัทอีก ยังไงคุณก็เหนื่อยกว่าค่าแรงจริง ผมเคยนั่งกินข้าวในร้านอาหารได้ยินคนคุยกันว่า
"ถ้าให้เงินเดือนลูกน้องอยู่เท่านี้จะพอให้เขาพอใจที่จะอยู่ต่อได้รึเปล่าวะ"
ไม่มีเจ้านายคนไหนยอมเสียกำไรเดือนละ 3 หมื่นเพื่อให้คนที่หาเงินให้เขาได้น้อยกว่านั้นหรอกครับ อย่างน้อยๆเวลาของคนที่จ้างคุณเขาเอาไปใช้หาเงินได้มากกว่าที่จ่ายคุณถึงคิดว่าคุ้มจ้างไม่มาทำเอง ลูกน้องคุณบางคนเข้ามาใหม่ได้เงินเดือนใกล้ๆคุณแต่ทำงานน้อยกว่าคุณเยอะก็มี พอคุณจะลาออกเจ้านายก็เสนอขึ้นเงินเดือนให้ แปลว่าที่ผ่านมาคุณได้ค่าแรงไม่คุ้มกับงานที่ทำหรืออย่างไรถึงไม่ขึ้นให้แต่แรก
เอาล่ะ ดูของลูกจ้างมานานพอแล้วมาดูของเจ้านายกันบ้าง
ความคุ้มค่าของงาน = 200,000 / 200,000 = 1
2 แสนเลยเหรอ ผมสมมติงานแบบอุดมคติขั้นต่ำให้นะครับ สมมติว่าคุณมีลูกน้อง 5 คนละกัน เงินเดือนเฉลี่ยคนละ 15,000 ก็ 75,000 รวมกับค่า fixed cost และ operation ต่างๆยังไงรายจ่ายเดือนนึงก็เกินหลักแสน ผมให้ 2 แสนนี่ถือว่าน้อยแล้วครับ ถ้าหากเจ้านายดี มีวิสัยทัศน์ ทำงานได้ดีจริงแบบ 3 แสนนะครับ ผลประกอบการก็ได้ตามนั้นไปดังนี้
ความคุ้มค่าของงาน = 300,000 / 300,000 = 1
อันนี้คืออุดมคตินะครับ ถ้าทำดีทุกอย่างแล้วยังพลาดแปลว่าคุณไม่เก่งหรือดวงไม่ดีพอครับ ไม่ต้องอ้างเพราะเคสลุกจ้างผมก็คิดตามอุดมคติหมด จะเห็นได้ว่าเพดานของเจ้านายมันไม่มีเหมือนลูกจ้าง ทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น สมมติว่าคุณได้ลูกจ้างเก่งแบบที่ยกมานะครับ อาจจะได้แบบนี้เลยก็ได้
ความคุ้มค่าของงาน = 300,000 / 500,000 = 0.6
คุณจ่ายลูกน้องให้เดือนละไม่ถึงแสน แต่ลูกน้องทำงานดีได้กำไรมาอีกสองแสน ยังไงก็สบายกว่าเห็นๆ บางบริษัทที่ผลประกอบการดีนะครับ โตแบบ 200% มาหลายปีติดกันเลยก็มีครับ ขนาดพวกที่อิ่มตัวแล้วยังโตขั้นต่ำกันที่ 10% โดยเฉลี่ย
ใครที่บอกเจ้านายทำงานหนักมากแบบนั้นแบบนี้ผมบอกได้เลยว่ามโนครับ จะมีหนักจริงก็ตอนเริ่มก่อร้างสร้างองค์กรขึ้นมา พอองค์กรอยู่ตัวแล้วเจ้านายสบายครับ มีลูกเจ้าของบริษัทคนไหนมาลำบากล้มลุกคลุกคลานแบบพ่อเขาบ้าง ไม่มี๊ มันก็เหมือนการปลูกต้นไม้ครับ ตอนแรกก็เหนื่อยลำบากประคบประหงมไม่ให้มันตาย พอโตมาได้ก็รอกินผลอร่อยๆระยะยาวไม่ต้องมานั่งพรวนดินดูแลมันเหมือนต้นกล้าในตอนแรก
ยังไงเจ้านายก็สบายกว่า ความเครียดของเจ้านายก็เป็นงานบริหารของเขา ลูกน้องก็เครียดกับงานที่เค้าบริหารเองเหมือนกัน ต่างกันที่ scale ของงานกับผลตอบแทนที่ได้รับ แต่ไม่มีเจ้าของคอนโดคนไหนหรอกที่มานั่งผสมปูนแบกก้อนอิฐเอง ไม่มีเจ้าของภัตตาคารหรูคนไหนหรอกที่มานั่งล้างจานถูพื้นอยู่หลังร้านประจำทุกวัน (หรืออาจจะมีแต่ไม่ถึง 1%)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็จะมาเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของกิจการกันได้ จะต้องมี mindset ที่พร้อมจะออกมาผจญภัยกับการที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่ทำงานรอรับเงินเดือนอีกต่อไป คุณจะต้องมีลู่ทางที่ทำให้คุณสามารถเลี้ยงชีพด้วยตัวเองได้ คุณจะต้องมีทุนไม่ว่าจะเป็นเงิน แผนธุรกิจ แรงงาน และเวลาที่จะมาจัดสรรผลักดันให้กิจการดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ
สาเหตุที่คุณยังเป็นลูกจ้างอยู่เพราะลึกๆคุณรู้ตัวว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะออกมาจากกรอบของการเป็นลูกจ้าง ออกจาก comfort zone ที่มีเงินเดือนเป็น failsafe ให้กับชีวิตคุณ คุณก็รู้ว่าเป็นเจ้านายก็เสี่ยงเจ๊งสูง ไม่แกร่งพอก็อยู่ได้ไม่นาน ล้มแล้วต้องพร้อมลุกขึ้นสู้ไปตลอดจนกว่าจะประสบความสำเร็จพอที่จะสบายไปทั้งชีวิตได้ ดังนั้นเลิกบ่นเจ้านายเสียแล้วรีบพัฒนาตนเองให้พร้อมพอที่จะออกมาจากกรอบเดิมๆถ้าคุณไม่อยากเป็นลูกน้องอีกต่อไป