อ้างอิงจากกระทู้นี้คะ
https://ppantip.com/topic/36375176
เราจะบรรยายอาการของพ่อตั้งแต่วันแรกที่ เข้าโรงพยาบาล จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ให้ได้อ่านกันคะ
กระทู้ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ใส่รายระเอียดมากมายนัก กระทู้นี้เราจะใส่รายระเอียดเพิ่มให้เล็กน้อยนะคะ
ที่ต้องรู้คือ 1 . พ่อของเราเป็นพระภิกษุ 2. พ่อของเราอายุ 64 ปี 3. พ่อเคยเส้นเลือดในสมองตีบมาก่อน
1. วันที่ 23 เมษายน 2560 เวลาโดยประมาณ 8.00 น
พ่อมีอาการความดันขึ้นสูง ตอนกำลังจะกลับจากบิณฑบาต พ่อกำลังจะก้าวขึ้นมอเตอร์ไซด์กลับวัดพอดีแต่ไม่ทัน สุดท้ายท่านลมหงายหลัง
แบบตัวไม่งอเลย ศรีษะ ฟาดพื้น คนแถวนั้นบอกว่า หลวงตาล้มดังมาก เสียงเหมือนเฉาะมะพร้าว ดัง โบ๊ะ!! เลย
8.05 - 8.10 น
พยาบาลที่กำลังซื้อของแถวนั้นเห็นเหตุการ เลยนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ ทันที ไปถึงโรงพยาบาล พ่อยังมีสติดี แต่ศรีษะแตก เพราะแรงกระแทก
8.30 น โดยระมาณ
พี่สาวเราเดินทางไปถึงโรงพยาบาล พ่อยังมีสติ ให้ทำอะไรก็ทำ บอกให้ลุก ยกแขน ยกขา ทำได้ ปกติ
09.00 น โดยประมาณ
พ่อยังมีสติ แต่มีอาการ มึน งง บอกให้ทำอะไรก็ทำ แต่เริ่มช้าลง เหมือนต้องพูดซ้ำ 4-5 ครั้ง
10.00 น โดยประมาณ
เราเดินทางถึงโรงพยาบาล ตอนนั้นพ่อยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน หมอเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด อาการของพ่อคือหลับตา แผลที่หัวถูกเย็บเรียบร้อย พ่อยังคงดิ้นไปมาแต่ไม่ลืมตา เรียกก็ไม่หือไม่อือ อะไรทั้งสิ้น
11.00 น
หมอเรียกญาติคุย หมอบอกว่าพ่อเริ่มซึม ตอบสนองช้าลง ติดต่อโรงพยาบาลตามสิทธิ์รักษาให้แล้ว แต่ทางนั้นยังไม่ตอบรับกลับมา เนื่องจากเตียงคนไข้เต็ม หากมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งอีกที
11.45 น
หมอเรียกญาติคุยอีกครั้ง บอกว่าอารพ่อยังเหมือนเดิมคือซึม และช้า และบอกว่าถ้าโรงพยาบาลอีกที่ ยังไม่ติดต่อมา คงต้องให้พ่อรักษาตัวอยู่ที่นี่ ซึ่งเราและพี่สาวเราก็โอเค ***หมอถามว่าถ้าเกิดว่าช่วงกลางคืนหากคนไข้หัวใจหยุดเต้น หรือต้องต่อเครื่องช่วยหายใจ ญาติจะยอมให้ทางโรงพยาบาลสอดท่อหรือไม่*** ซึ่งเราและพี่สาวเราบอกว่ายอม
13.40 น โดยประมาณ
หมอเรียกพบญาติอีกครั้ง แจ้งว่า ทางโรงพยาบาลตอบรับเคสของคุณพ่อแล้ว และทางนี้จะส่งตัวไปทันที เรากับพี่สาวเรา ตกลงกันว่า ให้พี่สาวเรานำหน้าไปก่อนให้ไปเตรียมเรื่องเอกสารกับอีกทางโรงพยาบาลนึง ส่วนเราจะนั่งไปกับพ่อเอง
14.10 น โดยประมาณ
พ่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตามสิทธ์รักษา พยาบาลนำพ่อเข้าห้องฉุกเฉิน และ สอดท่อช่วยหายใจ สอดท่อปัสวะ เรามองผ่านกระจกของห้องฉุกเฉินก็เห็นว่าพ่อมีอาการชัก เกร็ง ตอนพยาบาลสอดท่อ ***เป็นภาพที่ไม่น่าดูที่สุด***
15.45 น โดยประมาณ
พยาบาลแจ้งว่าจะย้ายพ่อขึ้นไปที่ห้อง ICU ตอนนี้กำลังรอเตียงว่าง ซึ่งกำลังจะมีผู้ป่วยย้ายออกพอดี
16.20 น โดยประมาณ
พยาบาลนำพ่อไปที่ห้อง ICU
17.05 น โดยประมาณ
พยาบาลให้ญาติเข้าพบได้ อาการของพ่อคือ ดิ้นตลอดเวลา จนต้องมัดหน้าอก มัดมือทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้าง สอดท่ออาหาร ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือที่แขน สายยาทีขา หัวใจเต้นผิดจังหวะ พยาบาลแจ้งว่า พ่อมีอาการเลือดออกในสมอง (ไม่ได้บอกว่าบริเวณไหน เราก็ลืมถาม ตอนนั้น ซ๊อต อย่างแรง) ซึม ตอบสนองช้า พยาบาลขอเบอร์เราไว้ และให้เรากลับบ้านไปก่อน แต่ถ้ามีอะไรฉุกเฉินหมอจะโทรแจ้งญาติ
2 . 24 เมษายน 2560
หมอแจ้งว่า พ่อมีอารสมองบวมเนื่องจากความดันสูงมากทำให้เลือดออกมากขึ้น ต้องใช้ยานอกบัญชี คือต้องจ่ายเงินสด ซึ่งเราก็ไปซื้อตามที่หมอสั่ง หมอบอกว่า ต้องให้ยานี้ 7 วัน ตกวันล่ะ 1 ขวดครึ่ง และขอให้ญาติ นำของใช้ส่วนตัวมาให้ เช่นผ้าอ้อม ผ้าเช็ดตัว สบู่เหลว แป้งเด็ก และอื่นๆ
3 . 25 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังทรงตัว แต่ ผ้าที่มัดหน้าอกเอาออกแล้ว ดิ้นบ้างแต่ก็น้องลงจากวันแรก
4 . 26 เมษายน 2560
อาการเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ หอบเล็กน้อย ไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่า คนไข้ไม่มีความรู้สึกเลยนะตอนนี้ ไม่รู้ใครมาเยี่ยม ที่มีอาการดิ้นคืออาการทางสมอง
5 . 27 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังเหมือนเดิม พยาบาลเอา ผ้าที่มัดแขนข้างขวาออก และ ขาข้างขวาออกแล้ว พ่อดิ้นน้อยลง
6 .28 - 30 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีไข้ ไอ อาการหอบไม่มี เพิ่มมาคือน้ำตาลขึ้นสูง พยาบาลเอาผ้าที่มัดออกทั้งหมด พ่อไม่ขยับตัวอีกแล้ว เอ็กเรย์ซ้ำ มีอาการกระโหลกร้าว
7 . 1-2 พฤษภาคม 2560
พยาบาลแจ้งว่า ลองให้พ่อหายใจเอง ด้วยการเปิดอ๊อกเบาๆ พ่อทำได้ แค่ 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นมีอาการเหนื่อยหอบ จนต้องเปิดอ๊อกให้แรงเหมือนเดิม (ยาที่ให้ครบวันแล้วไม่ต้องซื้อเพิ่ม)
วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลา 17.00 โดยประมาณ
เราและพี่สาว ขอคุยกับหมอเจ้าของเคส เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่เคยเจอหมอเลย คือห้อง ICU ให้เยี่ยมเป็นเวลา หมอมาทุกวัน แต่ไม่ตรงกับเวลาให้เยี่ยม
พยาบาลเลยทำการนัดคุณหมอให้ ซึ่ง หมอนัดวันรุ่งขึ้นเวลา 9 โมงเช้า
วันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เวลา 09.00 น
เจอคุณหมอที่ห้องไอซียู หมอแจ้งว่า อาการของพ่อตอนนี้แย่มาก ที่ผ่านมา พ่อดื้อยาไม่รับยาเลย ร่างกายต่อต้านหมด ชีพจร พ่อต่ำลงมาก ความดันต่ำ มีอาการติดเชื้อในปอด ทุกอย่างมันแย่หมด พ่อมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก (เรา สตันไป 3 วินาที พี่สาว สตั้นนานมาก พูดไม่ออก) เราเลยถามอาการที่อยากรู้ อาการที่พยาบาลบอกเราไม่ได้
1. พ่อเลือกออกในสมองส่วนไหน และตอนนี้เป็นยังไงในส่วนของสมอง
= พ่อเลือดออกทั้งหัว ทุกส่วนที่มีเส้นเลือกออกหมด เลือดหยุดไหลแล้ว แต่อาการสมองบวมไม่หาย สมองซ้าย ขวา หน้า หลัง ตอนนี้ถูกทำลายหมด
ที่ไม่ผ่าผัด เพราะร่างกายของพ่อไม่ไหว ทำการผ่าตัดไม่ได้ แต่ที่พ่อยังอยู่ได้จนถึงตอนนี้ เพราะตัวของพ่อเองไม่ใช่เพราะหมอหรือญาติยื้อชีวิต การรักษาทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามขั้นตอนการรักษาทั้งหมด ตอนนี้ที่มีเพิ่มเติมคือ หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจแล้ว
อันนี้เราเดาเอาว่าการรักษามาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
2. หมอบอกว่าที่หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจอย่าไปคิดว่าหมอยื้อคนไข้ หรือทรมาณคนไข้นะ หมอรักษาตามขั้นตอน / หมอถามเรื่องการยื้อชีวิต ใน กรณีพ่อ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ว่าจะให้หมอปั้มหัวใจหรือไม่ พี่สาวเรามองหน้าแต่พูดไม่ออก สุดท้ายเราเป็นคนพูดเองว่า **ไม่ขอยื้อชีวิต** ไม่ขอปั้มพ่อขึ้นมาอีกแล้ว เราไม่ได้ใจดำ แต่ ณ จุดๆนั้น เรามองว่าพ่อทรมาณมากแล้ว เหนื่อยมามากแล้ว 10 วัน ที่นอนโรงพยาบาล พ่อสู้สุดๆแล้ว
เราสงสารคนที่ยังอยู่ พี่สาวเราก็แย่ อาการเหม่อลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ญาติพี่น้องฝั่งพ่อ ก็โทรถามอาการทุกวัน พอบอกอาการก็ร้องไห้โฮ พาเราสติจะหลุดไปด้วย
สุดท้ายหมอบอกว่างั้นเราก็เข้าใจตรงกันนะ ซึ่งหมอก็เห็นด้วยในกรณีไม่ยื้อชีวิต เพราะว่าการปั้มหัวใจคือ พยาบาลต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปั้มหัวใจ ขึ้นคร่อมคนไข้น่ะพูดง่ายๆ ซึ่งมันทรมาณคนไข้ปล่าวๆ (อันนี้เราพูดให้เข้าใจง่ายๆนะจริงๆหมอพูดซอฟ กว่านี้)
และสุดท้ายหากพ่อเสียชีวิตแล้ว ทางโรงพยาบาล ต้องส่งตัวพ่อไปนิติเวศนะ เพราะตายผิดธรรมชาติ
อันนี้เราไม่โอเคเลย เพราะ ทำไมต้องผ่าด้วย แค่นี้ช้ำไม่พอรึ? หมอเลยอธิบายว่า หากผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วนั่นคือเข้าสู้ขั้นตอนของกฎหมาย ต้องหาสาเหตุการตายให้แน่ชัด เพราะพ่อมีอาการกระโหลกร้าวร่วมด้วย และ เผื่อทางญาติสงสัยสาเหตุการตาย มันจะเป็นคดีความฟ้องร้องกันไปมาตอนหลัง ถึงแม้เราและพี่สาวเราจะไม่ติดใจเรื่องสาเหตุการตายก็เถอะ สุดท้ายต้องก้มหน้ารับเหตุการที่จะเกิดขึ้นต่อไป
3 พฤษภาคม 2560 เวลา ตี 1.22 น. (จริงๆมันจะนับเป็นวันที่ 4 แล้วเนอะ)
รับโทรศัพย์จากโรงพยาบาล แจ้งว่า พ่อชีพจรต่ำลงแล้วนะ ญาติจะมาดูใจมั้ย เราเลยถามพยาบาลว่าเราจะไปทันมั้ย ถ้าเรามาจากตรงนี้ที่เราอยู่ เราบอกที่อยู่ไป พยาบาลแจ้งว่าไม่ทันแน่นอน ให้เรามาช่วงสายๆแทนเพราะพ่อต้องส่งเข้านิติเวศ พยาบาลบอกว่างั้นพยาบาลไม่โทรแจ้งแล้วเนอะหากหลวงตาหมดลม เราก็โอเค และก็จบการสนทนา
****ใบมรณะบัตรของพ่อ ลงเวลาเสียชีวิต ตี 1.19 นาที ซึ่ง เราคิดว่าตอนที่ทางโรงพยาบาลโทรมานั้น พ่อเราเสียแล้ว เพราะตอนที่ถามว่าจะมาดูใจมั้ยนั้น เราคำนวนระยะทางแล้วเราไปไม่น่าถึง 10 นาที***
สรุป*** นิติเวศ แจ้งในใบมรณะบัตรว่า พ่อเราเสียชีวิตด้วยอาการ เส้นเลือดในสมองแตก ไม่ใช่กระโหลกร้าว
ทิ้งท้าย.....ตั้งแต่วันแรกที่พ่อล้ม จนถึงวันสุดท้ายของงานศพ วันสุดท้ายที่เราเห็นพ่อเข้าสู่เตาเผา เราไม่มีน้ำตาเลยสักหยดเดียว ไม่ใช่เราไม่เสียใจ หรือยึดถือความเชื่อโบราณว่าอย่าร้องไห้ เพราะพ่อจะมีห่วง พ่อจะไม่ไปไหน มันไม่ใช่เลย เราเสียใจน่ะ แต่ชีวิตคนเราต้องเดินไป การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา วันสุดท้ายของชีวิตเราจุดจบไม่คงไม่ต่างกัน
..อย่าสงสารคนตายเลย สงสารคนที่ยังอยู่เถอะ...
คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คนตายถือว่าหมดเวรหมดกรรม หมดทุกข์
คนอยู่ก็ต้องใช้ใช้กรรมต่อไป ยังต้องเจอ ความเจ็บปวด สุข เศร้า และยังต้องเจอเรื่องพวกนี้ วนเวียน จนกว่าเราจะหมออายุไข
พิมพ์ผิดบ้างให้อภัยกันเนอะ.....
(ต่อเนื่อง)พ่อเส้นเลือดในสมองแตก - วันสุดท้ายของชีวิต
เราจะบรรยายอาการของพ่อตั้งแต่วันแรกที่ เข้าโรงพยาบาล จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ให้ได้อ่านกันคะ
กระทู้ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ใส่รายระเอียดมากมายนัก กระทู้นี้เราจะใส่รายระเอียดเพิ่มให้เล็กน้อยนะคะ
ที่ต้องรู้คือ 1 . พ่อของเราเป็นพระภิกษุ 2. พ่อของเราอายุ 64 ปี 3. พ่อเคยเส้นเลือดในสมองตีบมาก่อน
1. วันที่ 23 เมษายน 2560 เวลาโดยประมาณ 8.00 น
พ่อมีอาการความดันขึ้นสูง ตอนกำลังจะกลับจากบิณฑบาต พ่อกำลังจะก้าวขึ้นมอเตอร์ไซด์กลับวัดพอดีแต่ไม่ทัน สุดท้ายท่านลมหงายหลัง
แบบตัวไม่งอเลย ศรีษะ ฟาดพื้น คนแถวนั้นบอกว่า หลวงตาล้มดังมาก เสียงเหมือนเฉาะมะพร้าว ดัง โบ๊ะ!! เลย
8.05 - 8.10 น
พยาบาลที่กำลังซื้อของแถวนั้นเห็นเหตุการ เลยนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ ทันที ไปถึงโรงพยาบาล พ่อยังมีสติดี แต่ศรีษะแตก เพราะแรงกระแทก
8.30 น โดยระมาณ
พี่สาวเราเดินทางไปถึงโรงพยาบาล พ่อยังมีสติ ให้ทำอะไรก็ทำ บอกให้ลุก ยกแขน ยกขา ทำได้ ปกติ
09.00 น โดยประมาณ
พ่อยังมีสติ แต่มีอาการ มึน งง บอกให้ทำอะไรก็ทำ แต่เริ่มช้าลง เหมือนต้องพูดซ้ำ 4-5 ครั้ง
10.00 น โดยประมาณ
เราเดินทางถึงโรงพยาบาล ตอนนั้นพ่อยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน หมอเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด อาการของพ่อคือหลับตา แผลที่หัวถูกเย็บเรียบร้อย พ่อยังคงดิ้นไปมาแต่ไม่ลืมตา เรียกก็ไม่หือไม่อือ อะไรทั้งสิ้น
11.00 น
หมอเรียกญาติคุย หมอบอกว่าพ่อเริ่มซึม ตอบสนองช้าลง ติดต่อโรงพยาบาลตามสิทธิ์รักษาให้แล้ว แต่ทางนั้นยังไม่ตอบรับกลับมา เนื่องจากเตียงคนไข้เต็ม หากมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งอีกที
11.45 น
หมอเรียกญาติคุยอีกครั้ง บอกว่าอารพ่อยังเหมือนเดิมคือซึม และช้า และบอกว่าถ้าโรงพยาบาลอีกที่ ยังไม่ติดต่อมา คงต้องให้พ่อรักษาตัวอยู่ที่นี่ ซึ่งเราและพี่สาวเราก็โอเค ***หมอถามว่าถ้าเกิดว่าช่วงกลางคืนหากคนไข้หัวใจหยุดเต้น หรือต้องต่อเครื่องช่วยหายใจ ญาติจะยอมให้ทางโรงพยาบาลสอดท่อหรือไม่*** ซึ่งเราและพี่สาวเราบอกว่ายอม
13.40 น โดยประมาณ
หมอเรียกพบญาติอีกครั้ง แจ้งว่า ทางโรงพยาบาลตอบรับเคสของคุณพ่อแล้ว และทางนี้จะส่งตัวไปทันที เรากับพี่สาวเรา ตกลงกันว่า ให้พี่สาวเรานำหน้าไปก่อนให้ไปเตรียมเรื่องเอกสารกับอีกทางโรงพยาบาลนึง ส่วนเราจะนั่งไปกับพ่อเอง
14.10 น โดยประมาณ
พ่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตามสิทธ์รักษา พยาบาลนำพ่อเข้าห้องฉุกเฉิน และ สอดท่อช่วยหายใจ สอดท่อปัสวะ เรามองผ่านกระจกของห้องฉุกเฉินก็เห็นว่าพ่อมีอาการชัก เกร็ง ตอนพยาบาลสอดท่อ ***เป็นภาพที่ไม่น่าดูที่สุด***
15.45 น โดยประมาณ
พยาบาลแจ้งว่าจะย้ายพ่อขึ้นไปที่ห้อง ICU ตอนนี้กำลังรอเตียงว่าง ซึ่งกำลังจะมีผู้ป่วยย้ายออกพอดี
16.20 น โดยประมาณ
พยาบาลนำพ่อไปที่ห้อง ICU
17.05 น โดยประมาณ
พยาบาลให้ญาติเข้าพบได้ อาการของพ่อคือ ดิ้นตลอดเวลา จนต้องมัดหน้าอก มัดมือทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้าง สอดท่ออาหาร ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือที่แขน สายยาทีขา หัวใจเต้นผิดจังหวะ พยาบาลแจ้งว่า พ่อมีอาการเลือดออกในสมอง (ไม่ได้บอกว่าบริเวณไหน เราก็ลืมถาม ตอนนั้น ซ๊อต อย่างแรง) ซึม ตอบสนองช้า พยาบาลขอเบอร์เราไว้ และให้เรากลับบ้านไปก่อน แต่ถ้ามีอะไรฉุกเฉินหมอจะโทรแจ้งญาติ
2 . 24 เมษายน 2560
หมอแจ้งว่า พ่อมีอารสมองบวมเนื่องจากความดันสูงมากทำให้เลือดออกมากขึ้น ต้องใช้ยานอกบัญชี คือต้องจ่ายเงินสด ซึ่งเราก็ไปซื้อตามที่หมอสั่ง หมอบอกว่า ต้องให้ยานี้ 7 วัน ตกวันล่ะ 1 ขวดครึ่ง และขอให้ญาติ นำของใช้ส่วนตัวมาให้ เช่นผ้าอ้อม ผ้าเช็ดตัว สบู่เหลว แป้งเด็ก และอื่นๆ
3 . 25 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังทรงตัว แต่ ผ้าที่มัดหน้าอกเอาออกแล้ว ดิ้นบ้างแต่ก็น้องลงจากวันแรก
4 . 26 เมษายน 2560
อาการเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ หอบเล็กน้อย ไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่า คนไข้ไม่มีความรู้สึกเลยนะตอนนี้ ไม่รู้ใครมาเยี่ยม ที่มีอาการดิ้นคืออาการทางสมอง
5 . 27 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังเหมือนเดิม พยาบาลเอา ผ้าที่มัดแขนข้างขวาออก และ ขาข้างขวาออกแล้ว พ่อดิ้นน้อยลง
6 .28 - 30 เมษายน 2560
อาการของพ่อยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีไข้ ไอ อาการหอบไม่มี เพิ่มมาคือน้ำตาลขึ้นสูง พยาบาลเอาผ้าที่มัดออกทั้งหมด พ่อไม่ขยับตัวอีกแล้ว เอ็กเรย์ซ้ำ มีอาการกระโหลกร้าว
7 . 1-2 พฤษภาคม 2560
พยาบาลแจ้งว่า ลองให้พ่อหายใจเอง ด้วยการเปิดอ๊อกเบาๆ พ่อทำได้ แค่ 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นมีอาการเหนื่อยหอบ จนต้องเปิดอ๊อกให้แรงเหมือนเดิม (ยาที่ให้ครบวันแล้วไม่ต้องซื้อเพิ่ม)
วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลา 17.00 โดยประมาณ
เราและพี่สาว ขอคุยกับหมอเจ้าของเคส เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่เคยเจอหมอเลย คือห้อง ICU ให้เยี่ยมเป็นเวลา หมอมาทุกวัน แต่ไม่ตรงกับเวลาให้เยี่ยม
พยาบาลเลยทำการนัดคุณหมอให้ ซึ่ง หมอนัดวันรุ่งขึ้นเวลา 9 โมงเช้า
วันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เวลา 09.00 น
เจอคุณหมอที่ห้องไอซียู หมอแจ้งว่า อาการของพ่อตอนนี้แย่มาก ที่ผ่านมา พ่อดื้อยาไม่รับยาเลย ร่างกายต่อต้านหมด ชีพจร พ่อต่ำลงมาก ความดันต่ำ มีอาการติดเชื้อในปอด ทุกอย่างมันแย่หมด พ่อมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก (เรา สตันไป 3 วินาที พี่สาว สตั้นนานมาก พูดไม่ออก) เราเลยถามอาการที่อยากรู้ อาการที่พยาบาลบอกเราไม่ได้
1. พ่อเลือกออกในสมองส่วนไหน และตอนนี้เป็นยังไงในส่วนของสมอง
= พ่อเลือดออกทั้งหัว ทุกส่วนที่มีเส้นเลือกออกหมด เลือดหยุดไหลแล้ว แต่อาการสมองบวมไม่หาย สมองซ้าย ขวา หน้า หลัง ตอนนี้ถูกทำลายหมด
ที่ไม่ผ่าผัด เพราะร่างกายของพ่อไม่ไหว ทำการผ่าตัดไม่ได้ แต่ที่พ่อยังอยู่ได้จนถึงตอนนี้ เพราะตัวของพ่อเองไม่ใช่เพราะหมอหรือญาติยื้อชีวิต การรักษาทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามขั้นตอนการรักษาทั้งหมด ตอนนี้ที่มีเพิ่มเติมคือ หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจแล้ว
อันนี้เราเดาเอาว่าการรักษามาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
2. หมอบอกว่าที่หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจอย่าไปคิดว่าหมอยื้อคนไข้ หรือทรมาณคนไข้นะ หมอรักษาตามขั้นตอน / หมอถามเรื่องการยื้อชีวิต ใน กรณีพ่อ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ว่าจะให้หมอปั้มหัวใจหรือไม่ พี่สาวเรามองหน้าแต่พูดไม่ออก สุดท้ายเราเป็นคนพูดเองว่า **ไม่ขอยื้อชีวิต** ไม่ขอปั้มพ่อขึ้นมาอีกแล้ว เราไม่ได้ใจดำ แต่ ณ จุดๆนั้น เรามองว่าพ่อทรมาณมากแล้ว เหนื่อยมามากแล้ว 10 วัน ที่นอนโรงพยาบาล พ่อสู้สุดๆแล้ว
เราสงสารคนที่ยังอยู่ พี่สาวเราก็แย่ อาการเหม่อลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ญาติพี่น้องฝั่งพ่อ ก็โทรถามอาการทุกวัน พอบอกอาการก็ร้องไห้โฮ พาเราสติจะหลุดไปด้วย
สุดท้ายหมอบอกว่างั้นเราก็เข้าใจตรงกันนะ ซึ่งหมอก็เห็นด้วยในกรณีไม่ยื้อชีวิต เพราะว่าการปั้มหัวใจคือ พยาบาลต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปั้มหัวใจ ขึ้นคร่อมคนไข้น่ะพูดง่ายๆ ซึ่งมันทรมาณคนไข้ปล่าวๆ (อันนี้เราพูดให้เข้าใจง่ายๆนะจริงๆหมอพูดซอฟ กว่านี้)
และสุดท้ายหากพ่อเสียชีวิตแล้ว ทางโรงพยาบาล ต้องส่งตัวพ่อไปนิติเวศนะ เพราะตายผิดธรรมชาติ
อันนี้เราไม่โอเคเลย เพราะ ทำไมต้องผ่าด้วย แค่นี้ช้ำไม่พอรึ? หมอเลยอธิบายว่า หากผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วนั่นคือเข้าสู้ขั้นตอนของกฎหมาย ต้องหาสาเหตุการตายให้แน่ชัด เพราะพ่อมีอาการกระโหลกร้าวร่วมด้วย และ เผื่อทางญาติสงสัยสาเหตุการตาย มันจะเป็นคดีความฟ้องร้องกันไปมาตอนหลัง ถึงแม้เราและพี่สาวเราจะไม่ติดใจเรื่องสาเหตุการตายก็เถอะ สุดท้ายต้องก้มหน้ารับเหตุการที่จะเกิดขึ้นต่อไป
3 พฤษภาคม 2560 เวลา ตี 1.22 น. (จริงๆมันจะนับเป็นวันที่ 4 แล้วเนอะ)
รับโทรศัพย์จากโรงพยาบาล แจ้งว่า พ่อชีพจรต่ำลงแล้วนะ ญาติจะมาดูใจมั้ย เราเลยถามพยาบาลว่าเราจะไปทันมั้ย ถ้าเรามาจากตรงนี้ที่เราอยู่ เราบอกที่อยู่ไป พยาบาลแจ้งว่าไม่ทันแน่นอน ให้เรามาช่วงสายๆแทนเพราะพ่อต้องส่งเข้านิติเวศ พยาบาลบอกว่างั้นพยาบาลไม่โทรแจ้งแล้วเนอะหากหลวงตาหมดลม เราก็โอเค และก็จบการสนทนา
****ใบมรณะบัตรของพ่อ ลงเวลาเสียชีวิต ตี 1.19 นาที ซึ่ง เราคิดว่าตอนที่ทางโรงพยาบาลโทรมานั้น พ่อเราเสียแล้ว เพราะตอนที่ถามว่าจะมาดูใจมั้ยนั้น เราคำนวนระยะทางแล้วเราไปไม่น่าถึง 10 นาที***
สรุป*** นิติเวศ แจ้งในใบมรณะบัตรว่า พ่อเราเสียชีวิตด้วยอาการ เส้นเลือดในสมองแตก ไม่ใช่กระโหลกร้าว
ทิ้งท้าย.....ตั้งแต่วันแรกที่พ่อล้ม จนถึงวันสุดท้ายของงานศพ วันสุดท้ายที่เราเห็นพ่อเข้าสู่เตาเผา เราไม่มีน้ำตาเลยสักหยดเดียว ไม่ใช่เราไม่เสียใจ หรือยึดถือความเชื่อโบราณว่าอย่าร้องไห้ เพราะพ่อจะมีห่วง พ่อจะไม่ไปไหน มันไม่ใช่เลย เราเสียใจน่ะ แต่ชีวิตคนเราต้องเดินไป การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา วันสุดท้ายของชีวิตเราจุดจบไม่คงไม่ต่างกัน
..อย่าสงสารคนตายเลย สงสารคนที่ยังอยู่เถอะ...
คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คนตายถือว่าหมดเวรหมดกรรม หมดทุกข์
คนอยู่ก็ต้องใช้ใช้กรรมต่อไป ยังต้องเจอ ความเจ็บปวด สุข เศร้า และยังต้องเจอเรื่องพวกนี้ วนเวียน จนกว่าเราจะหมออายุไข
พิมพ์ผิดบ้างให้อภัยกันเนอะ.....