[CR][SR] Backpack “Leh Ladakh” เลห์ ลาดัก สู่ดินแดนทิเบตน้อย ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง....ฟินนนนนมากกกก l by Journey เจอนี่ l

ไปเลห์ กันมั้ย...ประโยคที่เอ่ยปากชวนเพื่อนร่วมทริป ด้วยความปุปปับจองตั๋วแบบด่วนๆ ทำวีซ่าแบบรีบๆ แล้วก็ไปกันเลย มีเวลาเตรียมตัวแค่ 4 วัน เราไปช่วงเดือนเมษายน ตอนหยุดสงกรานต์นี่แหละ


ใครที่แพลนไป Leh Ladakh แล้วมีคำถามหรืออยากรู้ข้อมูลก็แวะมาถามเราได้ที่  https://www.facebook.com/kunbeejourney/

วิธีการจองตั๋วไป Leh Ladakh

ทริปนี้เราใช้การหาตั๋วผ่าน www.skyscanner.co.th เว็ปตัวช่วยหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกไปเที่ยวเลห์ ลาดัก สำหรับทริปนี้เราต้องหาตั๋วแบบ กรุงเทพฯ – นิวเดลี – เลห์

1.ใช้วิธีหาตั๋วผ่าน Skyscanner >> www.skyscanner.co.th

2.เลือกต้นทาง-ปลายทาง เราใช้เทคนิคเลือกแบบ “หลายเมือง” แล้วก็ใส่เส้นทางการเดินทาง ตั้งแต่ไปยันกลับเลย ก็คือ
ขาไป >> Bangkok – New Delhi >> New Delhi – Leh

ขากลับ >> Leh – New Delhi >> New Delhi – Bangkok
ใส่ทุกเส้นทางการเดินทางลงไปเลย แล้วก็ระบุวันที่จะเดินทาง แล้วระบบของ Skyscanner ก็จะหาตั๋วราคาถูกที่สุดของวันที่เดินทางมาให้ ทำวิธีจองตั๋วเป็นตัวอย่างมาให้ดูกัน

**สำหรับใครที่ไม่คิดจะแวะไปเที่ยวนิวเดลี แนะนำให้จองออกจากกรุงเทพฯ ไฟล์ทช้าสุด และไปเลห์ตอนเช้าสุด แล้วก็อยู่ในสนามบินเอา


แล้วระบบก็จะแสกนตั๋วออกมาให้ของทุกเที่ยวบิน ทริปนี้เราได้ตั๋วทุกเที่ยวบิน อยู่ที่ 22,000 บาท ซึ่งถ้าแพลนไปเที่ยวไว้ล่วงหน้า ส่วนมากตั๋วจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 18,000 บาท


พอราคาออกมาก็เช็ควันที่ต่างๆ ว่าถูกต้องมั้ย แล้วก็กดจองได้เลย แต่ทริปนี้ของเรามีแวะไปเที่ยว Agra กับเที่ยวที่ New Delhi ก่อนก็เลยจองตั๋วแบบหัวท้ายเว้นวันกันเอาไว้ ถ้าใครมีเวลา 10 วัน ก็จองแบบเราก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากไปเที่ยวเลห์ ลาดัก ก็ใช้เวลาสัก 6-7 วันก็พอแล้ว หลังจากได้ตั๋วการเดินทางแล้ว ก็รีบทำวีซ่าเอาไว้เลย เผื่อเวลาไว้สัก 1 สัปดาห์ก็ดี

วิธีการทำวีซ่าอินเดีย 2017 (Tourist Visa)

1.แบบฟอร์มออนไลน์ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน แล้ว Print ออกมา อย่าไปเขียนเพิ่มเติมบนเอกสารเด็ดขาด เข้าไปกรอกข้อมูลได้ที่นี่ https://indianvisaonline.gov.in/visa/info1.jsp และกรอกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ และลายเซ็นต์ต้องเหมือนใน Passport
**หากจะไปเลห์ ลาดัก แนะนำให้ทำ Visa แบบ Double Entry เพราะการไปเที่ยวอาจจะต้องข้ามแดนไปยังพรมแดนประเทศ จะได้ไม่ต้องมีปัญหาตามมาตอนที่กลับเข้ามาอินเดีย
2. Passport ต้องมีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน ต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า (ควรติด Passport เล่มเก่ามาด้วยถ้ามี)
3.รูปถ่ายสีที่ถ่ายแล้วไม่เกิน 3 เดือน ด้านหลังพื้นขาวเท่านั้น ขนาด 2 นิ้ว x 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ รูปจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
4.แพลนการเดินทางคร่าวๆ
5.สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) จำนวน 2 ชุด
6.สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 1 ชุด เซ็นต์สำเนาถูกต้องให้เรียบร้อย
7.สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 1 ชุด
8.ใบจองตั๋วเครื่องบินทุกไฟล์ท
9.ใบจองโรงแรม (เลือกจองแบบจ่ายเงินทีหลังได้ ลองไปหาโรงแรมใน www.skyscanner.co.th แล้วเลือกตัวกรองแบบยกเลิกฟรี)
10.ถ้าจะไปเที่ยวเลห์ ลาดัก ต้องมีแบบฟอรม์แจ้งความประสงค์ว่าจะไปขออนุญาตเข้าเมืองที่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยตัวเอง ใบละ 5 บาท
11.ใช้ปากกาสีดำในการเขียนเอกสารต่างๆ

ไปยื่นเอกสาร
ไปยื่นขอวีซ่าที่ศูนย์รับยื่นวีซ่าอินเดีย IVS Global Southeast Asia Co., Ltd. (ถ้าต้องไปเลห์ ลาดัก แนะนำให้ไปขอที่ศูนย์ฯ เพื่อความสบายใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่อง Visa ปลายทาง)
- ไปยื่นขอวีซ่าอินเดีย ที่อโศก “PS Tower ชั้น 10” (สุขุมวิท 21)
- กดบัตรคิวเพื่อตรวจเอกสาร ควรเตรียมเอกสารให้ครบ ไม่งั้นจะถูกให้มาต่อแถวใหม่ แล้วยังต้องเสียค่าธรรมเนียมไปแบบฟรีๆ หลังจากเค้าตรวจเอกสารครบแล้ว ก็จะได้บัตรคิวไปถ่ายรูป และแสกนนิ้ว และเค้าจะแจ้งวันรับเล่มคืน ใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน

ค่าใช้จ่ายยื่น Visa India
ค่ายื่นวีซ่า 1,700 บาท
ค่าบริการสถานฑูต 70 บาท
ค่าบริการ 20 บาท
ค่าส่ง SMS เพื่อแจ้งสถานะวีซ่าทางมือถือ 60 บาท
ค่าจัดส่งทางไปรษณีย์ 230 บาท  (ถ้าไม่สามารถมารับเล่มด้วยตัวเอง)

สำหรับยื่นเอกสารขอวีซ่า : วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 8:30 น. – 14:00 น.
สำหรับรับเล่มวีซ่าคืน : วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 16:30 น. – 17:30 น.

Leh Ladakh ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 7 วัน ใช้เงินทั้งหมด 33,525 บาท

- ค่าเครื่องบิน : 22,000
- ค่าที่พัก    : 3,750  (หาร 2 คนแล้ว)
- ค่าเหมารถเที่ยว 1 วัน (หาร 4 คน) : คนละ 375
- ค่ากิน : 300    
- ค่า Permit : 350
- ค่ารถไป Pangong & Nubra Valley (หาร 4 คน)    : 2,150
- ค่าที่พักและอาหาร Pangong : 500  (หาร 2 คนแล้ว)
- ค่าที่พักและอาหาร Nubra Valley : 800      (หาร 2 คนแล้ว)
- ค่าขี่อูฐ : 100
- ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 2 วัน : 500
- ค่าน้ำมัน เติมมอเตอร์ไซค์ : 200
- อื่นๆ จิปาถะส่วนตัว     : 500
- ค่าทำ visa : 2,000
- ค่าประกันการเดินทาง (เจอโปรฟรีของคนมีบัตร Visa ก็เลยได้ฟรีมา)

**ถ้าไปหลายคน ก็จะมีตัวหารเพิ่มขึ้นนะ ก็จะใช้เงินน้อยกว่านี้ แล้วถ้ายิ่งได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก ทริปก็ยิ่งถูกลงนะ ก็ลองเข้าไปหาตั๋วดูได้ที่ www.skyscanner.co.th

ไปเที่ยว Leh Ladakh กันมั้ย....อ่ะ เตรียมตัวได้
1.ค่าเงินอินเดีย ก็คิดง่ายๆ เอาเงินบาทบ้านเราไปหารสอง คือ 1 รูปี เท่ากับประมาณ 0.50 บาทบ้านเรา
2.เวลาดูราคาของที่เราจะซื้อ เค้าจะพิมพ์ราคาตั้งแต่ผลิต ลองหมุนๆ หาดูอย่างน้ำดื่มก็จะอยู่ตรงต้นคอขวด 20 Rs คนขายก็มาโก่งราคาเราไม่ได้
3.ถ้าไปเลห์ช่วงหน้าหนาว หรือปลายหนาวอย่างเมษายน ก็ยังหนาวมากๆ อุณหภูมิก็ยังติดลบอยู่ดี
4.เอากระเป๋าลากไปได้ ไม่ลำบาก
5.ไม่ต้องเปิดโรมมิ่ง ไม่ต้องซื้อซิมที่สนามบินอินเดีย มันใช้เน็ตไม่ได้ อาศัยใช้ wifi เกสต์เฮาส์เอา ซึ่งติดบ้างไม่ติดบ้าง ก่อนไปเลห์ บอกที่บ้านไว้ล่วงหน้าเลยนะ กลับมาจะเป็นอีกคนนึง จะตัดโลกไปได้เยอะเลย
6.ขานั่งเครื่องบินไปเลห์ นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย แล้วนั่งหน้าๆ หน่อย ถ้าอยากฟินทั้งไปกลับ ขากลับให้นั่งฝั่งขวานะ
7.ก่อนไปจากไทย โหลด maps.me แผนที่ offline เอาไว้ โหลดแผนที่เอาไว้ตั้งแต่ที่ไทยเลยนะ
8.ใครผิวแห้ง ก่อนไปทาครีมเอาไว้เยอะๆ กินน้ำเยอะๆ หรือพกวิตามินอีไปด้วยก็ดี ไม่งั้นมีเนื้อแตก
9.วาสลีนเอย ลิปมันต่างๆ เอย ทาแล้วมันระเหยไปกับอุณหภูมิติดลบรึยังไง ลิปทาปากที่รอดก็คือ Himalaya lip balm หลอดเล็ก หาซื้อได้ที่ Leh main bazaar หลอดละ 25 รูปี
10.ถ้ารู้ตัวว่ากินยาก พกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผัดกระเพรา ผัดต่างๆ ข้าว จะบอกว่า้าผ่านไปสัก 3 วันจะคิดถึงร้านอาหารตามสั่งมากๆ
11.ช็อคโกแล็ต บิสกิต ติดกระเป๋าเอาไว้ รอดดดดด
12.พกชามกระดาษไป จะได้ไม่ต้องคอยล้าง แล้วไม่ใช้พลาสติกจะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้เมืองเค้า กับบะหมี่กึ่งเป็นห่อ มันจัดกระเป๋าง่าย เอาแบบถ้วยไป กระเป๋ามันล้นเด้อออ...
13.ไปช่วงหน้าหนาว ฮีทเทค extra warm ใส่ทับไป 2 ตัวเลยก็ยังได้
14.ผ้าปิดหน้า เวลาอากาศหนาวๆ เจอขี่ฝุ่น ก็เอามาปิดซะ หมวกไหมพรม ถุงมือเอยไรเอย ของกันหนาวต่างๆ
15.ทิชชู่เปียก เอาไว้เช็ด หรือเรียกว่าเอาไว้อาบน้ำแบบแห้งดีกว่า น้ำอุ่นที่พักมี แต่หลังอาบเสร็จ ก็หนาวมาก ไม่อาบดีกว่า 5555
16.เสปรย์สระผม อุปกรณ์ช่วยชีวิตสำหรับคนไม่อาบน้ำ
17.ไดร์เป่าผม อ้าววว...เอาไปทำไม ไหนบอกจะไม่อาบน้ำ เห้ยยยย...หนาวดีนัก เอาเป่าตัวให้อุ่นเลย
18.ทำประกันการเดินทางเอาไว้ก็ได้ จะได้สบายใจ
19.แว่นกันแดด ครีมกันแดด จำเป็นมากนะ เห็นหนาวๆ แบบนั้นกลับมา หน้าไหม้จ้า
20.ของฝากราคาน่ารัก ก็คงจะเป็นธงมนต์ เอากลับมาไว้ห้อยหลังรถน่ารักๆ

เอาล่ะ...เรามาเริ่มเที่ยวเลห์ ลาดักกันเลยยยยย

Leh Ladakh llll day 1 llll

จากนิวเดลี ไปเลห์ ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงนึง บอกเลยว่าให้จองที่นั่งติดหน้าต่างฝั่งซ้ายนะ แล้วเลือกหน้าๆ เข้าไว้ แล้วห้ามเผลอหลับเด็ดขาด เพราะวิวนี้มันที่สุดแห่งความสวย เท่าที่จำได้เรากดชัตเตอร์แบบรัวๆ มันตื่นเต้นมากที่อีกนิดตูดแทบจะติดกับภูเขาอยู่แล้ว อ่ะ....แอบดูก่อน




Julley คำทักทายแบบเลห์ เราถึงแล้ว ถึงจริงๆ มันหนาว แล้ววิวที่อยู่ข้างหน้ามันทำให้เราหยุดถ่ายรูปไม่ได้ อ่ะ...พอลงจากเครื่องก็จะมีรถบัสมารับเราเข้าไปในตัวตึก ระยะทางมันสั้นมากจนตกใจว่า เห้ยยย...พานั่งรถทำไม แต่เชื่อดิมันเหนื่อย

ส่วนกระเป๋าลากเอาไปได้ เอาไปใบเดียวใหญ่สุด แบบใส่เสื้อผ้า 2 คน ซื้อมาในเฟสร้าน COVE LUGGAGE



สำหรับต่างชาติ พอถึงในตัวอาคาร รับใบมากรอกก่อน เหมือนเช็คชื่อการเข้าเมือง ก็กรอกให้เรียบร้อย แล้วก็เดินมาหา Taxi Prepaid ไปยังที่พัก ถ้าจำไม่ผิดก็ราคาประมาณ 120 รูปี


วันแรกที่ไปถึง Leh รู้เลยว่าหนาวมาก หิมะยังตกอยู่ อากาศน่าจะเกือบติดลบต้นๆเลย เพราะช่วงนี้เป็นปลายหนาวแล้ว ดูดิหิมะยังตกอยู่เลย


ทริปนี้เราจองที่พักไว้แค่ 1 คืนจากไทย เพราะกลัวว่าเดี๋ยวถ้าจองยาวๆ ห้องไม่ถูกใจ แล้วมันเปลี่ยนไม่ได้ ชื่อว่า niri-la ladakh guest house ที่พักห่างจาก Leh bazaar เกือบโล แต่ก็เดินเอาชิลล์ๆ แต่พอเดินขึ้นเนิน ไม่ชิลล์นะ

สำหรับวันแรกที่ไปถึงเลห์ ควรนอนพักประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับก่อน เนื่องจากเลห์ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ ก็ทำให้ออกซิเจนน้อย ร่างกายปรับตัวไม่ได้ บางคนก็เกิดอาการปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ ที่เป็นอาการ Altitude sickness เราก็กินยา diamox ไปล่วงหน้าตั้งแต่อยู่นิวเดลี แล้วตอนอยู่ที่เลห์ ก็กินทุกวัน และสิ่งสำคัญงดเลย ก็คือแอลกอฮอล์ และงดห้าว ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ดู และทำความเข้าใจก่อนเดินทางกันหน่อยนะ

หลังจากนอนพักแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นที่ตลาด แล้วก็หาร้านทัวร์พาเราไป Pangong lake กับ Nubra valley เดินวนอยู่ในตลาดนานมาก เดินเกือบจะทุกซอย










ตอนนี้มันเป็นช่วงปลายหนาว ก็จะไม่ค่อยมีทัวร์เปิด เดินไปเรื่อยยยย..จนเจอที่นี่ Trance Tara ก็คุยดีลกับเค้าไป และสิ่งสำคัญคือเราต้องทำ permit ถ้าหากจะไป Pangong และ Nubra Valley อยู่ที่ประมาณคนละ 700 รูปี แล้วเราดันไปถึงวันเสาร์ เอ้า....ที่ทำ permit เปิดวันจันทร์ รอวนๆ ไป บวกกับช่วงนี้อากาศยังไม่ค่อยดี ทางไปก็ดันปิด เพราะติดหิมะอยู่ ลุงเค้าบอกว่าก็ต้องรอไปก่อน ตอนนั้นคือ อ่ะ...ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้ไป Pangong กับ Nubra valley เดี๋ยวจะวนให้ทั่วเมืองเลยคอยดู แล้วก็จะตามเฝ้าตาลุงร้านทัวร์นี้ทุกวัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย

[img]https://f.ptcdn.info/065/051/000/opqg2uo0k6z7rvdlfxA-o.jpg
ชื่อสินค้า:   Leh, Ladakh
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่