ช่วงที่ผ่านมา มีกระแสข่าวจากแวดวงเทคโนโลยี และอุตสาหกรรม ออกมาทำนองว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้าหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทแทนแรงงานมนุษย์ ทำให้หลายๆคนเริ่มหวั่นวิตกกันว่า จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ แรงงานคนจะตกงานกันหรือหรือไม่ หุ่นยนต์จะมาแย่งอาชีพคนจริงๆหรือ?  

อาชีพใช้แรงงานในบ้านเรานั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ทำงานในส่วนของภาคการผลิต จึงมีความหวั่นเกรงว่าเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามา  จะเข้ามามีบทบาทเข้ามาทดแทนแรงงานคน เช่น พวกเครื่องจักรกลต่างๆ ซึ่งจุดแข็งของเครื่องจักรที่เหนือกว่ามนุษย์ คือทำงานได้ครั้งละปริมาณมากๆ และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หากมีการซ่อมบำรุงอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนจะหวั่นใจ โดยสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ เจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ เครือซีพี ได้เคยพูดไว้ในงาน Nikkei Asia Forum ช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา ว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์ จะเข้ามาทำงานแทนคน เพื่อเพิ่มผลิตภาพให้มากขึ้น แต่หุ่นยนต์จะถูกนำใช้ทำงานหนักแทนมนุษย์ แล้วเราต้องเอามนุษย์มาใช้ทำงานด้านใช้สมองที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้

อาชีพที่ในอนาคตข้างหน้า มีแนวโน้มจะนำหุ่นยนต์เข้ามาทำแทนคน ตามข้อมูลด้านบน จะเห็นได้ว่าเป็นบรรดางานที่ค่อนข้างจะอันตราย และน่าเบื่อ ไปจนถึงงานที่ไม่มีใครอยากทำต่างๆ ก็จะมีหุ่นยนต์มาช่วยทำแทบทั้งหมด   ส่วนอาชีพที่หุ่นยนต์ทำแทนคนได้ยาก จะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวเช่น นักบำบัดจิต งานที่ต้องใช้ทักษะความละเอียดอ่อนส่วนบุคคล  ผู้ควบคุมช่าง ผู้ควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉิน งานเหล่านี้จะเห็นได้ว่าจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับคน หรือต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งหุ่นยนต์ไม่สามารถทำได้ เราจึงต้องหันมาพัฒนาทักษะพิเศษเหล่านี้กันเพิ่มขึ้น

การทำงานในยุคนี้จึงไม่ง่าย คนเก่าๆก็ต้องหาทางพัฒนาศักยภาพ และปรับตัวให้เข้ากับตลาดแรงงานให้มากที่สุด ส่วนเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย ก็อาจจะไม่มีเวลา ‘ชิล’ ได้นานเท่าไหร่นัก  เพราะจำนวนคนว่างงานก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ฉะนั้นจึงต้องมีการปรับตัว พัฒนาศักยภาพตัวเองเพื่อเรียนรู้เพิ่มในทุกๆวัน หรือเรียกว่า เติมตัวเองให้เต็มตลอดเวลา ไม่เช่นนั้น เราก็อาจถูกแทนที่ได้ด้วยคู่แข่งอย่างมนุษย์จักรกล และอาจกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของตลาดแรงงานได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้ตั้งตัว



ไม่แปลกที่ใครหลายคนจะบ่นว่า  เป็นผู้ใหญ่มันเหนื่อย