กลับมาแล้วววววว ~~~
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องการเดินทางครั้งต่อไป
ผมขอ แปะลิ้งค์ตอนก่อนหน้านี้
สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านนะครับ
https://ppantip.com/topic/34742868 ~ Emeryville
https://ppantip.com/topic/34749824 ~ Portland, OR
https://ppantip.com/topic/36266465 ~ Seattle
https://ppantip.com/topic/36326962 ~ Chicago & Boston
และนี่คือ Facebook ของผมหากเพื่อนเพื่อนอยากเข้ามาพูดคุยหรืออยากถามคำถามผม
https://www.facebook.com/MR.Pasakorn
ส่วนสำหรับใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับตอนนี้
ก็มาต่อกันเลยครับ
หลังจากห่างหายไปเกือบสองอาทิตย์
ก็กลับมาเขียนต่อให้จบอีกตอนจบได้
เรามาต่อกันเลยดีกว่า
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องกัน
โดยการนั่งรถไฟจากบอสตันไปยังเมืองมหานครอย่าง นิวยอร์ค นั้น
ทางตัวผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
จะเป็นไปไม่ได้นอกจาก
ไอเจ้าของถุงนอนที่ช่วยชีวิตผมมานักต่อนัก
Lance ได้โทรมาถามไถ่ผมว่า เป็นไงบ้าง
และมันก็เข้าเรื่องเลยว่า
เดี๋ยว อาทิตย์หน้าก่อนที่ผมจะเข้าไปในนิวยอร์คนั้นมีพายุหิมะเข้าพอดี
......
พายุ พายุ พายุ
คือในใจผมนี่ อึ้งไปสักพัก
ก็ที่ไอ้ที่ผ่านผ่านมานี่ยังพออีกหรอ
หิมะที่เจอมาเกือบตลอดทาง
นี่เรียกว่า เบ เบ ไปเลยหลังจากได้ยินคำว่า
พายุ หิมะที่กำลังจะเกิดในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านั้น เป็นพายุรอบที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา
คำถามผุดออกมามากมาย
ทำไมต้องเป็นกุที่เจออีกละ
ทำไมล่ะ
ทำไมไม่เกิดหลังหรือก่อนกุป๋ายยยยยยย
แต่ก็ไหนไหน ก็ไหนไหนละ ลุยจ้าาาาาา
ระยะเวลาการเดินทางจากบอสตันไปยังนิวยอร์คนั้นใช้เวลาเพียง 4 ชม. เท่านั้นเอง
ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นที่ไปถึง สถานี Penn Station ตอนลงจากสถานี
คำแรกเลยที่ออกมาจากในใจคือ
โอยยยยยยยยยย
คือมันใหญ่มาก และก็คนเยอะมากกกกกกกก
มันเป็นสถานีที่ติดกับรถไฟใต้ดิน นุ่นนี่นั่น
ต้องบอกก่อนเลยว่า
ครั้งแรก ของที่นี่อีกเช่นกัน
เอาแล้วไง
เด็กหนุ่มเอเชียตัวเล็กเล็ก แบกกระเป๋าโคตรจะหนักไว้บนบ่าเดินไปมา เพื่อหาทางออกว่าจะต้องไปที่พักยังไง
แล้วตอนนั้นคือ หิวฝุดฝุด
ก็เดินวนไปเรื่อยเรื่อย หาไรรองท้องไปก่อนที่ผมจะต้องกลับมาวุ่นวายกับการหาสายรถไฟ และการใช้บัตรรถไฟของที่นี่ครับ ฮ่าๆๆๆ อนาถตัวเองในบางที
ในระหว่างที่รอรูปผมจาก Lightroom
ผมจะขอกล่าวเรื่องแอมแทรคสักนิดละกัน
เนื่องจากการเดินทางโดยรถไฟในตอนนั้น
ผมว่าเป็นอะไรที่หลายหลายคนชอบมากเพราะมันไม่ได้ต่างกับการนั่งรถเมล์สักเท่าไหร่ แถมยังมีพื้นที่ให้เราได้ยืดขาได้ตลอดเวลา ระยะเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเพื่อเข้ามาในตัวเมืองนิวยอร์ค
ช่างเป็นอีกอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเราเทียบกับบอสตันเมืองที่เงียบสงบและน่าอยู่
ขบวนรถไฟจากบอสตันมานิวยอร์คนั้นมีสองประเภทให้เราได้เลือกคือ แบบ ด่วนแถมมีไวไฟ ให้ใช้ แน่นอนว่าแพงกว่า
จะเรียกว่า ชั้นธุรกิจ เมื่อเทียบกับการเดินทางบนเครื่องบินก็เป็นได้
แถมยังมีรอบให้เลือกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ส่วนรอบที่ผมเดินทางมาเนี่ย
รู้สึกจะมีสองรอบ ถึงสามรอบต่อวัน ที่ออกมาจากบอสตันแล้วเดินทางผ่านเมืองนิวยอร์ค
ราคาก็ถูกกว่า ฮ๋าๆๆ แต่ก็นะ
ผมได้ตั๋วเหมารวมดังนั้นก็ต้องเป็นรอบที่คนธรรมดาทั่วไปนั่ง
แต่ก็ยังสบายอยู่ดีไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก อิอิ
อ๊ะ รูปเสร็จละ มาชม ภาพกันเลยดีกว่า ส่วนมากจะเป็นรูปจากกล้องไอโฟนละนะครับเพราะ กล้องผมพังไปแล้วที่บอสตัน
หลังจากที่ผมหาของกินรองท้องได้สักพักของวันแรกที่ไปถึง
ตอนนั้นไปถึงก็ช่วงเย็นๆค่ำละ
แน่นอนว่าเป็นช่วงคนที่เดินกันพลุกพล่านจนตาลาย
อย่างหนึ่งเลยที่เราสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจนเลยคิอ
คนที่นี่ เดินกันไวมาก แบบรีบเดินโคตรรรรรรรร
ส่วนผมมาจากเมืองซานฟรานค้าฟฟฟฟ
เดินชิวๆๆไปดิ ตามสไตล์คนเดินบนเนินเขาฮ๋าๆๆๆ
ในช่วงที่ผมต้องหาทางไปยังที่พักนั้น
ก็เริ่มหาข้อมูลละว่าต้องไปทางไหน
นั่งรถไฟขบวนไหนเพื่อที่จะไปถึงที่หมายได้อย่างสำเร็จ
และก็มาถึงช่วงตอนซื้อตั๋วรถไฟครับ
แน่นอนว่าผมไม่แน่ใจว่าควรจะซื้ออะไรอย่างไร
ตอนนั้นเลยเลือกซื้อแบบเติมเงินแต่ไม่มาก
จำได้ว่าเติมไปเพียงแค่ $20
แต่ก็นะ
ส่วนเรื่องการนั่งรถไฟ
เพื่อให้แน่ใจเข้าไปอีก ก็เลยตัดสินใจถามคนในสถานีรถไฟที่เรากำลังจะขึ้นไป
ก็ได้เจอคุณป้าวันทำงาน ที่โดนผมยืนดักทางเอาไว้ ฮ๋าๆๆ
คือ ด้วยเหตุที่ว่าทุกคนเดินกันไว และหลบหลีกการสนทนาได้อย่างคล่องแคล่ว
ไอ้เราก็ต้องใช้สกิลนิดหน่อยละ
ในที่สุด ก็มีป้าคนนี้ล่ะที่ติดกับดักเรา
เลยรีบยิงคำถามไป ว่า ขบวนที่เราจะนั่งไปเนี่ยมันถูกใช่ไหม และที่รู้แน่แน่คือ ต้องเลือกฝั่งที่ไปยัง Up town และ ที่ที่เผมจะไปเนี่ย
ก็มีขบวนรถไฟด่วนที่ไม่จอดบางสถานี ซึ่งเราต้องเลือกนั่งไปเพราะเนื่องจาก ที่พักของผมนั้น ไกลโคตรรรรร
ผมเลยต้องนั้งรถไฟ 2 or 3 เพื่อไปลง ที่สถานี 96th station แล้ว ต่อสาย 1 ซึ่งเป็นสายที่จอดแทบทุกสถานีนั่นเอง เนื่องจากรถไฟ สาย 2 / 3 ไม่จอดสถานีที่ผมจะต้องลงนั่นเอง
ผมลงที่สถานี 103th station แถวนั้นคนเรียกย่านนั้นว่า Harlem area ไอผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ หรือทราบอะไรมากว่า แถวไหนเรียกตรงไหน
ภาพข้างบนเป็น โฮสเทลที่ผมได้พัก และ คีย์การ์ดที่จะเข้าห้องของเรา
แน่นอนว่า ผมเลือกห้องที่ถูก ฮ๋าๆ ซึ่งต้องนอนกับคนอื่น
คืนนั้น ผมได้เจอเพื่อนใหม่ ชาวนอร์เวย์ ชื่อ ' Alf ' หรือ เอล์ฟ นั่นล่ะครับ มั้งนะ ฮ๋าๆๆๆๆ
ไอเจ้าเนี่ยมันมาเรียนที่นิวยอร์ค แค่ห้าเเดือนซี่งมันกำลังจะเริ่มเรียน อาทิตย์หน้าเร็วๆนี้นั่นเอง
ผมก็ขอตัวอาบน้ำไปนอน เพราะเพลียร่างมามาก
และเผลออีกทีก็ตื่นมาสายเลยจ้า ไม่ได้ทานข้าวฟรีด้วย ฮือๆๆๆ แต่คูปองที่เราได้นั้น ใช้ได้ทั้งอาทิตย์
พอตื่นมา ก็ไปอาบน้ำ แต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมที่จะออกไปข้างนอก
ไอ้เราก็ อยากรุ้เนอะว่า เจ้า เอล์ฟเนี่ยมันจะทำไรป่าววันนี้
มันก็บอกว่าว่าง
เราก็เลยชวนมันไปเดินเล่นอีกฝั่งของนิวยอร์คที่ไม่ใช่แมนฮัตตัน เลยเลือกที่จะเดินจากโฮสเทล ลัดเลาะ Central park ไปเรื่อยยันสะพาน Brooklyn เป้าหมายของวันนี้ของเรา อิอิ
สมใจครับ กว่าจะถึง ได้ หลงทางนิดหน่อย ฮ๋าๆๆๆ
และภาพด้านบนนี่ล่ะครับคือที่ที่ผมได้มาสร้างแลนมาร์คในชีวิตอีกที่
หลังจากเดินข้ามสะพานกับเพื่อนใหม่
เราทั้งสองก็ต้องหาร้านอาหารทานก่อนที่เราทั้งสอง
ออกไปสำรวจพื้นที่ย่าน Brooklyn ย่านโปรดของผม
หลังจากสำรวจไปได้สักพัก
ผมก็ได้เสื้อกันหนาว แจ็คเก็ทหนาหนา ของ Levi's ร้านประจำผมมาตัวนึง
แต่วันนั้นได้มาจาก Urban Outfitter store แน่นอน แพงโคตร แต่ก็อยากได้ ฮ่าๆๆๆ
และแล้วก็ถึงเวลาแยกย้ายกันไป
เพราะเพื่อนผมจำเป็นต้องไปติดต่อที่โรงเรียนที่เขาจะไปเรียนต่อในนิวยอร์ค
ส่วนผม ก็ขอเดินเล่นอีกสักพักก่อนที่จะไปหาเพื่อนชาวไทย ที่เคยเจอกันครั้งนึง
ตอนไปเที่ยวชิคาโก
แน่นอนว่า รอบนี้เป็นรอบที่สองที่ได้เจอกัน
นามของเทอ ชื่อ แอมมี่ ครับ
หลายหลายคนเรียกนางว่า เจ้าแม่วงการนิวยอร์ค ฮ่าๆๆ ผมพูดเองครับ
ไม่มีใครพูดหรอก ฮ่าๆๆๆ
กว่าผมจะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองแถว Manhattan ก็เย็นเย็นละ
วันนั้นเป็นวันที่แอมมี่ของเรา ตัวเอก ในวันนั้น ได้ทำการเลิกงานแล้วก็ดิ่งมาผม
เราไปเจอกันแถวสถานีรถไฟใต้ดิน แถวแถว Time square (sq.)
สิ่งแรกเลยที่ผมประทับใจในตัวแอมมี่คือ
เขาถามผมเลยครับว่าใช่ตั๋วอะไรอยู่ในระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค
สุดท้ายก็ได้คำตอบแล้ว
แอมมี่ก็ซื้อตั๋วรายวีค หรือ รายสัปดาห์ แลกกับผม เพราะว่ามันคุ้มกว่า
โดยที่แอมมี่ไม่เอาเงินผมเพิ่ม เมื่อหักส่วนต่างแล้ว
คือแบบว่า
เห้ย !!! ในใจ คิดไปว่า
เรา
โชคดีจริงจริงที่เจอคนดีดี ในนิวยอร์ค
ถ้าหาก แอมมี่เข้ามาอ่าน หรือเพื่อนนางเข้ามาอ่าน ก็ฝาก ขอบคุณอีกครั้ง
ทุกวันนี้ แอมมี่ก็ยังทำตัวน่ารักไม่เปลี่ยน
ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้อวยนะครับ
เพราะผมเป็นคนพูดตรงตรง เลยไม่ค่อยได้ชมใครเท่าไหร่
คือแอมมี่พาผมเดินไปเรื่อยๆๆ พาไปกินนุ่นนี่นั่น อิอิ
ขอบคุณน้าาา
มาต่อกันเลยดีกว่า
แอมมี่พาผม ไปเดินเล่น ตรง Time SQ แถมยังถ่ายรูปให้ด้วย
วันนั้นตอนเย็น
แอมมี่พาผมไปทานอาหารเกาหลี อร่อยดีนะ อากาศแบบหนาวๆ แล้วได้ทานอาหารร้อนร้อนน้ำน้ำ ฟินนนนนนน
และนี่ก็คือ หน้าตา ของเจ้าอาหารที่ผมได้ซัดเข้าไป กับแอมมี่
วันนั้นผมและแอมมี่ไปเดินเล่นต่อกันสักพัก แล้วก็ ซัด Crepe cake ร้านชื่อดังในนิวยอร์คไปอีก สองชิ้น
โอยยยยย ฟินครับ
ปล. หากใครมาทานอาหารชื่อดัง อย่างร้าน เครปเค้กที่ผมไปทาน เค้าจะชาร์ท ค่าบริการไว้แล้วดังนั้น
ไม่ต้องให้ทิปเพิ่มนะครับ
เพราะทุกครั้งการจ่ายของเรา
ผมไม่ได้เป็นที่ง๊ก หรืออะไร แต่เราต้องละเอียดครับ
เพราะเงินทุกเหรียญ ทุกเซนต์
มันก็เงินของเรา แล้วเราก็หามาเอง
ดังนั้นต้องใช้ให้เป็นครับ ไม่ใช่ให้แล้วให้อีก เพื่อเป็นการอวดว่า เรามีเงิน
ก่อนที่จะเลื่อนลงไปอ่านเรื่องราวของวันต่อมา
เราไปชมภาพที่แอมมี่ถ่ายให้ผมในวันนั้นก่อนละกัน ไม่ได้มากมายครับ
ผมเลือกมานิดหน่อย ส่วนมากเป็นรูปผม กับบรรยากาศก่อนพายุหิมะจะมาเร็วๆนี้ ฮ่าๆๆๆ
คือ หนวดเริ่มมาละ ฮ่าๆๆ ไม่ได้โกนเลย
ถึงจะเบลอแต่ผมชอบน้าาาาา ฮ่าๆๆ ไม่มีการว่ากันเนาะ แหะๆๆ
อ๊ะ ลืมบอกไป เจ้าแจ็คเก็ทสีดำตัวนี้ล่ะ ที่เพิ่งสอยมา
ซื้อแล้วต้องใช้เลยค้าฟฟฟฟฟ
เอาจริงจริงก็หนาวนะ พอได้เจ้าตัวนี้มา คือ อุ่นฝัด !!!
ทริปของวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ
ต่อไปก็เป็นเรื่องราวของวันต่อมา
วันที่ผม...
*กรุณาเลื่อนลงมานะค้าฟฟฟฟ โดนจำกัดตัวอักษรเช่นเคยยย
[CR] นั่งรถไฟไปเรื่อยเรื่อย Backpacker 45 Days in US ~ New York - DC
กลับมาแล้วววววว ~~~
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องการเดินทางครั้งต่อไป
ผมขอ แปะลิ้งค์ตอนก่อนหน้านี้
สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านนะครับ
https://ppantip.com/topic/34742868 ~ Emeryville
https://ppantip.com/topic/34749824 ~ Portland, OR
https://ppantip.com/topic/36266465 ~ Seattle
https://ppantip.com/topic/36326962 ~ Chicago & Boston
และนี่คือ Facebook ของผมหากเพื่อนเพื่อนอยากเข้ามาพูดคุยหรืออยากถามคำถามผม
https://www.facebook.com/MR.Pasakorn
ส่วนสำหรับใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับตอนนี้
ก็มาต่อกันเลยครับ
หลังจากห่างหายไปเกือบสองอาทิตย์
ก็กลับมาเขียนต่อให้จบอีกตอนจบได้
เรามาต่อกันเลยดีกว่า
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องกัน
โดยการนั่งรถไฟจากบอสตันไปยังเมืองมหานครอย่าง นิวยอร์ค นั้น
ทางตัวผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
จะเป็นไปไม่ได้นอกจาก
ไอเจ้าของถุงนอนที่ช่วยชีวิตผมมานักต่อนัก
Lance ได้โทรมาถามไถ่ผมว่า เป็นไงบ้าง
และมันก็เข้าเรื่องเลยว่า
เดี๋ยว อาทิตย์หน้าก่อนที่ผมจะเข้าไปในนิวยอร์คนั้นมีพายุหิมะเข้าพอดี
......
พายุ พายุ พายุ
คือในใจผมนี่ อึ้งไปสักพัก
ก็ที่ไอ้ที่ผ่านผ่านมานี่ยังพออีกหรอ
หิมะที่เจอมาเกือบตลอดทาง
นี่เรียกว่า เบ เบ ไปเลยหลังจากได้ยินคำว่า
พายุ หิมะที่กำลังจะเกิดในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านั้น เป็นพายุรอบที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา
คำถามผุดออกมามากมาย
ทำไมต้องเป็นกุที่เจออีกละ
ทำไมล่ะ
ทำไมไม่เกิดหลังหรือก่อนกุป๋ายยยยยยย
แต่ก็ไหนไหน ก็ไหนไหนละ ลุยจ้าาาาาา
ระยะเวลาการเดินทางจากบอสตันไปยังนิวยอร์คนั้นใช้เวลาเพียง 4 ชม. เท่านั้นเอง
ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นที่ไปถึง สถานี Penn Station ตอนลงจากสถานี
คำแรกเลยที่ออกมาจากในใจคือ
โอยยยยยยยยยย
คือมันใหญ่มาก และก็คนเยอะมากกกกกกกก
มันเป็นสถานีที่ติดกับรถไฟใต้ดิน นุ่นนี่นั่น
ต้องบอกก่อนเลยว่า
ครั้งแรก ของที่นี่อีกเช่นกัน
เอาแล้วไง
เด็กหนุ่มเอเชียตัวเล็กเล็ก แบกกระเป๋าโคตรจะหนักไว้บนบ่าเดินไปมา เพื่อหาทางออกว่าจะต้องไปที่พักยังไง
แล้วตอนนั้นคือ หิวฝุดฝุด
ก็เดินวนไปเรื่อยเรื่อย หาไรรองท้องไปก่อนที่ผมจะต้องกลับมาวุ่นวายกับการหาสายรถไฟ และการใช้บัตรรถไฟของที่นี่ครับ ฮ่าๆๆๆ อนาถตัวเองในบางที
ในระหว่างที่รอรูปผมจาก Lightroom
ผมจะขอกล่าวเรื่องแอมแทรคสักนิดละกัน
เนื่องจากการเดินทางโดยรถไฟในตอนนั้น
ผมว่าเป็นอะไรที่หลายหลายคนชอบมากเพราะมันไม่ได้ต่างกับการนั่งรถเมล์สักเท่าไหร่ แถมยังมีพื้นที่ให้เราได้ยืดขาได้ตลอดเวลา ระยะเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเพื่อเข้ามาในตัวเมืองนิวยอร์ค
ช่างเป็นอีกอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเราเทียบกับบอสตันเมืองที่เงียบสงบและน่าอยู่
ขบวนรถไฟจากบอสตันมานิวยอร์คนั้นมีสองประเภทให้เราได้เลือกคือ แบบ ด่วนแถมมีไวไฟ ให้ใช้ แน่นอนว่าแพงกว่า
จะเรียกว่า ชั้นธุรกิจ เมื่อเทียบกับการเดินทางบนเครื่องบินก็เป็นได้
แถมยังมีรอบให้เลือกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ส่วนรอบที่ผมเดินทางมาเนี่ย
รู้สึกจะมีสองรอบ ถึงสามรอบต่อวัน ที่ออกมาจากบอสตันแล้วเดินทางผ่านเมืองนิวยอร์ค
ราคาก็ถูกกว่า ฮ๋าๆๆ แต่ก็นะ
ผมได้ตั๋วเหมารวมดังนั้นก็ต้องเป็นรอบที่คนธรรมดาทั่วไปนั่ง
แต่ก็ยังสบายอยู่ดีไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก อิอิ
อ๊ะ รูปเสร็จละ มาชม ภาพกันเลยดีกว่า ส่วนมากจะเป็นรูปจากกล้องไอโฟนละนะครับเพราะ กล้องผมพังไปแล้วที่บอสตัน
หลังจากที่ผมหาของกินรองท้องได้สักพักของวันแรกที่ไปถึง
ตอนนั้นไปถึงก็ช่วงเย็นๆค่ำละ
แน่นอนว่าเป็นช่วงคนที่เดินกันพลุกพล่านจนตาลาย
อย่างหนึ่งเลยที่เราสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจนเลยคิอ
คนที่นี่ เดินกันไวมาก แบบรีบเดินโคตรรรรรรรร
ส่วนผมมาจากเมืองซานฟรานค้าฟฟฟฟ
เดินชิวๆๆไปดิ ตามสไตล์คนเดินบนเนินเขาฮ๋าๆๆๆ
ในช่วงที่ผมต้องหาทางไปยังที่พักนั้น
ก็เริ่มหาข้อมูลละว่าต้องไปทางไหน
นั่งรถไฟขบวนไหนเพื่อที่จะไปถึงที่หมายได้อย่างสำเร็จ
และก็มาถึงช่วงตอนซื้อตั๋วรถไฟครับ
แน่นอนว่าผมไม่แน่ใจว่าควรจะซื้ออะไรอย่างไร
ตอนนั้นเลยเลือกซื้อแบบเติมเงินแต่ไม่มาก
จำได้ว่าเติมไปเพียงแค่ $20
แต่ก็นะ
ส่วนเรื่องการนั่งรถไฟ
เพื่อให้แน่ใจเข้าไปอีก ก็เลยตัดสินใจถามคนในสถานีรถไฟที่เรากำลังจะขึ้นไป
ก็ได้เจอคุณป้าวันทำงาน ที่โดนผมยืนดักทางเอาไว้ ฮ๋าๆๆ
คือ ด้วยเหตุที่ว่าทุกคนเดินกันไว และหลบหลีกการสนทนาได้อย่างคล่องแคล่ว
ไอ้เราก็ต้องใช้สกิลนิดหน่อยละ
ในที่สุด ก็มีป้าคนนี้ล่ะที่ติดกับดักเรา
เลยรีบยิงคำถามไป ว่า ขบวนที่เราจะนั่งไปเนี่ยมันถูกใช่ไหม และที่รู้แน่แน่คือ ต้องเลือกฝั่งที่ไปยัง Up town และ ที่ที่เผมจะไปเนี่ย
ก็มีขบวนรถไฟด่วนที่ไม่จอดบางสถานี ซึ่งเราต้องเลือกนั่งไปเพราะเนื่องจาก ที่พักของผมนั้น ไกลโคตรรรรร
ผมเลยต้องนั้งรถไฟ 2 or 3 เพื่อไปลง ที่สถานี 96th station แล้ว ต่อสาย 1 ซึ่งเป็นสายที่จอดแทบทุกสถานีนั่นเอง เนื่องจากรถไฟ สาย 2 / 3 ไม่จอดสถานีที่ผมจะต้องลงนั่นเอง
ผมลงที่สถานี 103th station แถวนั้นคนเรียกย่านนั้นว่า Harlem area ไอผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ หรือทราบอะไรมากว่า แถวไหนเรียกตรงไหน
ภาพข้างบนเป็น โฮสเทลที่ผมได้พัก และ คีย์การ์ดที่จะเข้าห้องของเรา
แน่นอนว่า ผมเลือกห้องที่ถูก ฮ๋าๆ ซึ่งต้องนอนกับคนอื่น
คืนนั้น ผมได้เจอเพื่อนใหม่ ชาวนอร์เวย์ ชื่อ ' Alf ' หรือ เอล์ฟ นั่นล่ะครับ มั้งนะ ฮ๋าๆๆๆๆ
ไอเจ้าเนี่ยมันมาเรียนที่นิวยอร์ค แค่ห้าเเดือนซี่งมันกำลังจะเริ่มเรียน อาทิตย์หน้าเร็วๆนี้นั่นเอง
ผมก็ขอตัวอาบน้ำไปนอน เพราะเพลียร่างมามาก
และเผลออีกทีก็ตื่นมาสายเลยจ้า ไม่ได้ทานข้าวฟรีด้วย ฮือๆๆๆ แต่คูปองที่เราได้นั้น ใช้ได้ทั้งอาทิตย์
พอตื่นมา ก็ไปอาบน้ำ แต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมที่จะออกไปข้างนอก
ไอ้เราก็ อยากรุ้เนอะว่า เจ้า เอล์ฟเนี่ยมันจะทำไรป่าววันนี้
มันก็บอกว่าว่าง
เราก็เลยชวนมันไปเดินเล่นอีกฝั่งของนิวยอร์คที่ไม่ใช่แมนฮัตตัน เลยเลือกที่จะเดินจากโฮสเทล ลัดเลาะ Central park ไปเรื่อยยันสะพาน Brooklyn เป้าหมายของวันนี้ของเรา อิอิ
สมใจครับ กว่าจะถึง ได้ หลงทางนิดหน่อย ฮ๋าๆๆๆ
และภาพด้านบนนี่ล่ะครับคือที่ที่ผมได้มาสร้างแลนมาร์คในชีวิตอีกที่
หลังจากเดินข้ามสะพานกับเพื่อนใหม่
เราทั้งสองก็ต้องหาร้านอาหารทานก่อนที่เราทั้งสอง
ออกไปสำรวจพื้นที่ย่าน Brooklyn ย่านโปรดของผม
หลังจากสำรวจไปได้สักพัก
ผมก็ได้เสื้อกันหนาว แจ็คเก็ทหนาหนา ของ Levi's ร้านประจำผมมาตัวนึง
แต่วันนั้นได้มาจาก Urban Outfitter store แน่นอน แพงโคตร แต่ก็อยากได้ ฮ่าๆๆๆ
และแล้วก็ถึงเวลาแยกย้ายกันไป
เพราะเพื่อนผมจำเป็นต้องไปติดต่อที่โรงเรียนที่เขาจะไปเรียนต่อในนิวยอร์ค
ส่วนผม ก็ขอเดินเล่นอีกสักพักก่อนที่จะไปหาเพื่อนชาวไทย ที่เคยเจอกันครั้งนึง
ตอนไปเที่ยวชิคาโก
แน่นอนว่า รอบนี้เป็นรอบที่สองที่ได้เจอกัน
นามของเทอ ชื่อ แอมมี่ ครับ
หลายหลายคนเรียกนางว่า เจ้าแม่วงการนิวยอร์ค ฮ่าๆๆ ผมพูดเองครับ
ไม่มีใครพูดหรอก ฮ่าๆๆๆ
กว่าผมจะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองแถว Manhattan ก็เย็นเย็นละ
วันนั้นเป็นวันที่แอมมี่ของเรา ตัวเอก ในวันนั้น ได้ทำการเลิกงานแล้วก็ดิ่งมาผม
เราไปเจอกันแถวสถานีรถไฟใต้ดิน แถวแถว Time square (sq.)
สิ่งแรกเลยที่ผมประทับใจในตัวแอมมี่คือ
เขาถามผมเลยครับว่าใช่ตั๋วอะไรอยู่ในระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค
สุดท้ายก็ได้คำตอบแล้ว
แอมมี่ก็ซื้อตั๋วรายวีค หรือ รายสัปดาห์ แลกกับผม เพราะว่ามันคุ้มกว่า
โดยที่แอมมี่ไม่เอาเงินผมเพิ่ม เมื่อหักส่วนต่างแล้ว
คือแบบว่า
เห้ย !!! ในใจ คิดไปว่า
เราโชคดีจริงจริงที่เจอคนดีดี ในนิวยอร์ค
ถ้าหาก แอมมี่เข้ามาอ่าน หรือเพื่อนนางเข้ามาอ่าน ก็ฝาก ขอบคุณอีกครั้ง
ทุกวันนี้ แอมมี่ก็ยังทำตัวน่ารักไม่เปลี่ยน
ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้อวยนะครับ
เพราะผมเป็นคนพูดตรงตรง เลยไม่ค่อยได้ชมใครเท่าไหร่
คือแอมมี่พาผมเดินไปเรื่อยๆๆ พาไปกินนุ่นนี่นั่น อิอิ
ขอบคุณน้าาา
มาต่อกันเลยดีกว่า
แอมมี่พาผม ไปเดินเล่น ตรง Time SQ แถมยังถ่ายรูปให้ด้วย
วันนั้นตอนเย็น
แอมมี่พาผมไปทานอาหารเกาหลี อร่อยดีนะ อากาศแบบหนาวๆ แล้วได้ทานอาหารร้อนร้อนน้ำน้ำ ฟินนนนนนน
และนี่ก็คือ หน้าตา ของเจ้าอาหารที่ผมได้ซัดเข้าไป กับแอมมี่
วันนั้นผมและแอมมี่ไปเดินเล่นต่อกันสักพัก แล้วก็ ซัด Crepe cake ร้านชื่อดังในนิวยอร์คไปอีก สองชิ้น
โอยยยยย ฟินครับ
ปล. หากใครมาทานอาหารชื่อดัง อย่างร้าน เครปเค้กที่ผมไปทาน เค้าจะชาร์ท ค่าบริการไว้แล้วดังนั้น
ไม่ต้องให้ทิปเพิ่มนะครับ
เพราะทุกครั้งการจ่ายของเรา
ผมไม่ได้เป็นที่ง๊ก หรืออะไร แต่เราต้องละเอียดครับ
เพราะเงินทุกเหรียญ ทุกเซนต์
มันก็เงินของเรา แล้วเราก็หามาเอง
ดังนั้นต้องใช้ให้เป็นครับ ไม่ใช่ให้แล้วให้อีก เพื่อเป็นการอวดว่า เรามีเงิน
ก่อนที่จะเลื่อนลงไปอ่านเรื่องราวของวันต่อมา
เราไปชมภาพที่แอมมี่ถ่ายให้ผมในวันนั้นก่อนละกัน ไม่ได้มากมายครับ
ผมเลือกมานิดหน่อย ส่วนมากเป็นรูปผม กับบรรยากาศก่อนพายุหิมะจะมาเร็วๆนี้ ฮ่าๆๆๆ
คือ หนวดเริ่มมาละ ฮ่าๆๆ ไม่ได้โกนเลย
ถึงจะเบลอแต่ผมชอบน้าาาาา ฮ่าๆๆ ไม่มีการว่ากันเนาะ แหะๆๆ
อ๊ะ ลืมบอกไป เจ้าแจ็คเก็ทสีดำตัวนี้ล่ะ ที่เพิ่งสอยมา
ซื้อแล้วต้องใช้เลยค้าฟฟฟฟฟ
เอาจริงจริงก็หนาวนะ พอได้เจ้าตัวนี้มา คือ อุ่นฝัด !!!
ทริปของวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ
ต่อไปก็เป็นเรื่องราวของวันต่อมา
วันที่ผม...
*กรุณาเลื่อนลงมานะค้าฟฟฟฟ โดนจำกัดตัวอักษรเช่นเคยยย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น