เย้เย้ หลังจากได้รับการตอบรับในขั้นที่เรียกว่า ค่อนข้างดี
ก่อนที่เราจะมาต่อในภาคของ
Chicago
เมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่าให้เป็นเมืองแห่งลม
และ
Boston ~ New England
สำหรับใครที่พลาดกระทู้แรกแรกไปไม่ต้องกังวลนะครับ
ผมได้ทำการใส่ลิ้งค์ ไว้ให้อ่านตามด้านล่างเลยครับ
https://ppantip.com/topic/34742868 ~ Emeryville
https://ppantip.com/topic/34749824 ~ Portland, OR
https://ppantip.com/topic/36266465 ~ Seattle
ก่อนอื่นขอกล่าวอะไรสักนิดดดดดด เหตุที่ล่าช้าไปอาทิตย์นึงคือ
ผมเกือบจะได้โพสต์กระทู้นี้ละแต่ดันไปกด restart Mac book
เนื่องจากทีการอัพเดต software
ดังนั้นเลยต้องเริ่มเขียนใหม่อีกครั้งในภาคนี้ ฮือๆๆๆ
งั้นเอาเป็นว่ามาเริ่มด้วยการชมภาพจากสถานีรถไฟที่เมือง Seattle กันก่อนที่เราจะออกเดินทางไปยังเมืองแห่งลม Chicago
และทีนี้เรามาลองนึกภาพกันดีกว่าเนื่องจากการเดินทางจาก Seattle ไปยังอีกเมืองนั้นใช้ระยะเวลา
เพียง
1 Day 21 hrs.
เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ
ก็เรียกได้ว่านั่งกันก้นบานกันไปเลยทีเดียว
หากใครยังนึกภาพไม่ออก
ลองมาดูแผนที่เล็กเล็กละกันว่ามันไกลกันมากแค่ไหน
ก็อย่างที่เห็นกันนะครับจากมุมบนซ้าย เดินทางรอบบนไปยัง อีกฝั่งของประเทศ
แต่ปัญหาสำหรับผมไม่ใช่การเดินทางที่ยาวนานสักเท่าไหร่
มันคือการที่เราจะทำอะไรมากกว่า
สำหรับการเดินทางที่ยาวนานแบบนี้
บางคนก็ชอบอ่านหนังสือ ก็สามารถนำมาอ่านกันได้เพื่อฆ่าเวลากันไป
หากใครไม่ชอบก็สามารถดาวโหลดหนัง หรืออะไรก็ตามก่อนขึ้นรถไฟมาก็ดีครับ
บางคนพกพาทั้ง การ์ดเกมส์ เกมส์บอร์ด หรือ พวก หมากรุก ก็ว่ากันไป
หากใครลืม เราสามารถไปขอร่วมเล่นกับเค้าได้ครับ
แต่หนึ่งในสิ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำคือการนั่งชมวิวในตู้ชมวิว ไปพร้อมพร้อมกับฟังเพลงโปรดที่ตัวเองอยากจะฟังในตอนนั้น
ระหว่างทางผมก็ได้เก็บภาพมาฝากเพื่อนเพื่อนทุกคนมาให้ได้ชมกัน
ลองไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เราจะเห็นได้ว่าหิมะนั้นปกคลุมตลอดการเดินทาง
เนื่องจากว่าผมเลือกที่จะเดินทางในหน้าหนาวเพราะมันถูก
และง่ายต่อการเดินทาง คนไม่เยอะ ไม่หนาแน่น แถมยังได้ชมวิวในอีกรูปแบบนึง
จะว่าไป ผมก็โชคดีตลอดการเดินทางที่ได้พบปะผู้คนมากมาย
และเจอเหตุการณ์ที่สอนอะไรเราได้มากมายเช่นกัน
มาชมภาพกันต่อเลยดีกว่าครับ
ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้นั้น
สภาพอากาศย่อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมได้เลือกตัดสินใจแล้วว่า
ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อน
และแน่นอน รอบนี้ผมต้องกราบขอบพระคุณไอเจ้าเพื่อนชาวอเมริกันของผม Lance Raynor
ผมได้ยืมบางสิ่งจากมันนั่นเอง ถ้าหากขาดเจ้าสิ่งนี้ไปรับรองว่า มีสะท้านกันบ้าง ฮ่าๆๆๆ
งั้นลองเลื่อนไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันคืออะไร
ถุงนอนนนนนนน
ก็เอาเจ้าสิ่งนี้ละครับที่คอยให้ความอบอุ่นผมระหว่างที่ผมจะต้องพักผ่อนในตอนกลางคืน
หากถามว่า ในรถไฟมีฮีทเตอร์ หรือเครื่องให้ความอบอุ่นกับเรา หรือ ที่บ้านเราจะมีแอร์ให้ความเย็น
ในตัวรถไฟเองก็มีครีบ
แต่ในบางครั้งคนที่ขี้หนาว
หรือเราไม่อยากแต่งตัวหลายชั้นมากนัก
เจ้าถุงนอนอันเนี้ยยยย
ก็ช่วยเราได้มากเลยทีเดียวครับ
ภาพข้างบนที่ทุกคนได้เห็นกันแล้ว
นั่นก็คือ
ตู้ชมวิว ' Sight seeing car '
นี่คือขบวนที่ทุกคนชอบมานั่งพักผ่อนชมวิวกันครับ
เพราะว่าหากเดินลงไปในตู้นี้ จะมี Cafe อยู่ครับ
มีทั้งขนม นม เนย เบียร์ แซนวิช พิซซ่า น้ำเปล่า น้ำอัดลม ก็ว่ากันไป
ใครหิว ใครกระหายน้ำ ก็เดินลงไปซื้อกันได้ตามสบายเลย
แต่หากใครอยากทานอาหารเช้า กลางวัน หรือตอนเย็น
ทางเจ้าหน้าที่จะประกาศบอกทุกคนครับว่า
เมื่อไหร่ ตู้อาหารจะเปิดให้บริการ
โดยเฉพาะ มื้อเย็นครับ
เราต้องทำการจอง และจะมีพนักงานเดินถามว่า เราจะจองไหม
เวลาไหน กี่คน ก็บอกเค้าไป
หากไม่ทราบก็ถามได้เลยครับ
โดยปกติแล้วพนักงานก็จะถามเราเองว่ากี่คน และมีเวลาไหนที่มีว่างบ้าง
และไอสิ่งนี้คือ ตั๋วจองนั่นเอง
อย่าทำหายน้าเดี๋ยวอดกิน
ก่อนที่เข้าสู่เมือง ชิคาโกและ บอสตัน
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า เนื่องจาก ความผิดพลาดของผมที่ไม่ได้ทำการสำรองแบทเตอรี่เอาไว้
ภาพจึงมีไม่พอที่จะเอามาบรรยายในครั้งนี้ แต่ผมจะพยายามนำเสนอให้ได้มากที่สุด และในครัง้หน้าจะผมจะเอามาเสนอใหม่ในภาคของเมือง แต่ล่ะเมืองเลยจริงจริงครับ ปล.หากมีโอกาสได้ทำอีก ฮ่าๆๆ
เจ้าป้ายที่เห็นเป็นกระดาษที่บอกถึงปลายทางของแต่ละคน
และนี่คือปลายทางของผมนั่นเอง
เป็นอันที่แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราเห็นรางรถไฟหลายหลายรางเชื่อมต่อกัน
นั่นคือสัญญานที่ผมรับรู้ได้ว่า
เราถึงเมืองใหญ่กันแล้วครับ อิอิ
ถึงแว้ววววววววววววว Chicago ที่เลิฟ
เมืองแห่งลมต้อนรับผมด้วยการเริ่มต้นของหิมะแรกของวันเลยครับ
หนาวเย็นจับใจ ปล. ขออนุญาตินำภาพสถานีจากในออนไลน์มาเป็นภาพประกอบนะครับ
Credit : Google ~ Union station Amtrak
สถานีรถไฟที่นี่ใหญ่มากครับ
และผู้คนแน่นมากกกกกก แออัดกันเลยทีเดียว
ผมยังจำได้ทุกครั้งที่นึกถึงที่นั่นว่า
ครั้งแรกในตอนที่ไปถึง และเดินลงจากรถไฟ เดินเข้าไปยังในสถานี
ภาพที่ทุกคนจะต้องได้เห็นคือ
คนจำนวนมากเดินไปมาตลอดเวลา แถมยังเร่งรีบอีกต่างหาก
ภาพตัดมาที่ผม
ผมเรียกสติกลับมา
ทางไหนที่เราต้องออกจากสถานีเพื่อไปยังที่ที่พักของเรา
ผมใช้เวลาสักประมาณห้านาทีเพื่อหาทางออก เนื่องจากความใหญ่ และความเป็นมือใหม่ของที่นี่
ก็เดินวนไปสิครับ แหะๆๆๆ
หลังจากเดินออกมาจากสถานี
หิมะเริ่มตก ผมเริ่มหิว แถมอากาศเริ่มเย็นมากขึ้น
ช่วงนั้นของวันเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังเลิกงานแล้วกลับบ้านกันพอดี
มันยิ่งทำให้ดูสับสนอลหม่านกันเลยทีเดียว
ผมเริ่มจากการดูแผนที่ที่จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าที่จะนำผมไปถึงที่พักนั่นเอง
คุณเชื่อกันไหมครับ
ผมหลงทาง ฮ๋าๆๆๆๆ
คือมันไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟ Amtrak มากเท่าไหร่
แต่ด้วยที่ว่า หลงทิศ และสภาพอากาศที่แย่มาก มองอะไรไม่ค่อยชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร
มันทำให้เราสังเกตสถานที่ได้ยากมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางไปยังที่นั่น
ตอนนั้นใช้เวลาไปเกือบครี่ง ชม เพื่อหาสถานีที่ผมต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปต่อ ซึ้งมันอยู่ห่างจากตรงที่ผมยืนอยู่เพียง สองบล็อค
ในใจคิดแบบว่า ... ห่าเอ้ยยยยยยยยยยยย
และนี่คือปลายทางของผมของตอนเย็นวันนั้น ส่วนรูปเป็นของอีกวันในตอนเช้าก่อนที่ผมจะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อเจอเพื่อนโดยบังเอิญ
และนี่คือหน้าตาของเจ้าตู้ขายตั๋ว และตั๋วของเราครับ
มันเป็นแบบตั๋วเติมตัง หรือ ซื้อเป็นรอบเที่ยวแล้วแต่ความเหมาะสมของเรา
ผมเลือกที่จะเติมเงินในตอนนั้นเนื่องจากผมเป็นคนชอบเดินมากกว่าแต่หารู้ไม่ ระยะทางระหว่าง หนึ่งบล็อคของที่นั่น กว้างสาสสสสสสสสสสสสสสสส
เมื่อเดินลงไปข้างล่าง จะมีสองปลายทางที่เราสังเกตุเห็นได้
ทั้งสองที่นั้นคือปลายทางของเส้นทางการเดินทางของรถไฟเส้นนี้
ที่นั่นมีสนามบินหลักหลักเลยสองแห่ง และเราจะเห็นปลายทางของสถานีหนึ่ง O'Hare ซึ่งมีสัญลักษณ์ รูปเครื่องบิน นั่นหมายถึงสนามบินนั่นเอง
ที่นั่นเขาจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ
และแล้วผมก็มาถึงที่พัก โฮสเทลล์ เย้เย้
ผมเลือกเป็นห้องสองคนแต่ผมนอนคนเดียว
คือราคาในตอนนั้นถูกมาก ฮ่าๆๆๆ และผมไม่อยากนอนกับใครที่นั่น และคิดว่าราคาไม่มากมาายเท่าไหร่
ไปชมภาพของที่พักกันสักนิดละกัน
ห้องน้ำรวมครับ แต่สะอาดอย่างที่เห็นเห็นกัน
หากใครไม่มีไดร์เป่าผม สามารถลงไปขอยืมได้ด้วยกันวางบัตรประชาชนของเรามัดจำไว้ได้ครับ
ด้านล่างล็อบบี้จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
มีคาเฟ่อยู่สำหรับใครที่อยากหากาแฟดื่ม ขนมปังรองท้องก่อนเดินทางก็เชิญลงมาข้างล่างได้เลย
สะดวก และอร่อย ปล.ไม่ได้ค่านายหน้านะ ฮ่าๆๆ
และไอเจ้าขนมที่เห็นอยู่นี้ เรียกว่า 'Empanadas'
มันมีลักษณะคล้ายคล้ายกับแป้งโรตีที่เอามาสอดใส้ต่างๆเข้าไป ไม่ว่า ไก่เห็ดหอม
หมูแดง เนื้อหมักโคล่า ต่างต่างนานา ผักบ้าง เนื้อบ้าง
แต่บอกเลยว่า มันทำให้ผมติดใจอย่างมากเนืองจากราคา และความอร่อยของมัน
ทำให้ผมต้องทานทุกวันก่อนออกเดินทาง
******มีต่อข้างล่างงงงงงงงงง เนื่องจากถูกจำกักข้อความในการพิมพ์ของแต่ล่ะครัง
[CR] นั่งรถไฟไปเรื่อยเรื่อย Backpacker 45 Days in US ~ Chicago - Boston
เย้เย้ หลังจากได้รับการตอบรับในขั้นที่เรียกว่า ค่อนข้างดี
ก่อนที่เราจะมาต่อในภาคของ
Chicago
เมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่าให้เป็นเมืองแห่งลม
และ
Boston ~ New England
สำหรับใครที่พลาดกระทู้แรกแรกไปไม่ต้องกังวลนะครับ
ผมได้ทำการใส่ลิ้งค์ ไว้ให้อ่านตามด้านล่างเลยครับ
https://ppantip.com/topic/34742868 ~ Emeryville
https://ppantip.com/topic/34749824 ~ Portland, OR
https://ppantip.com/topic/36266465 ~ Seattle
ก่อนอื่นขอกล่าวอะไรสักนิดดดดดด เหตุที่ล่าช้าไปอาทิตย์นึงคือ
ผมเกือบจะได้โพสต์กระทู้นี้ละแต่ดันไปกด restart Mac book
เนื่องจากทีการอัพเดต software
ดังนั้นเลยต้องเริ่มเขียนใหม่อีกครั้งในภาคนี้ ฮือๆๆๆ
งั้นเอาเป็นว่ามาเริ่มด้วยการชมภาพจากสถานีรถไฟที่เมือง Seattle กันก่อนที่เราจะออกเดินทางไปยังเมืองแห่งลม Chicago
และทีนี้เรามาลองนึกภาพกันดีกว่าเนื่องจากการเดินทางจาก Seattle ไปยังอีกเมืองนั้นใช้ระยะเวลา
เพียง
1 Day 21 hrs.
เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ
ก็เรียกได้ว่านั่งกันก้นบานกันไปเลยทีเดียว
หากใครยังนึกภาพไม่ออก
ลองมาดูแผนที่เล็กเล็กละกันว่ามันไกลกันมากแค่ไหน
ก็อย่างที่เห็นกันนะครับจากมุมบนซ้าย เดินทางรอบบนไปยัง อีกฝั่งของประเทศ
แต่ปัญหาสำหรับผมไม่ใช่การเดินทางที่ยาวนานสักเท่าไหร่
มันคือการที่เราจะทำอะไรมากกว่า
สำหรับการเดินทางที่ยาวนานแบบนี้
บางคนก็ชอบอ่านหนังสือ ก็สามารถนำมาอ่านกันได้เพื่อฆ่าเวลากันไป
หากใครไม่ชอบก็สามารถดาวโหลดหนัง หรืออะไรก็ตามก่อนขึ้นรถไฟมาก็ดีครับ
บางคนพกพาทั้ง การ์ดเกมส์ เกมส์บอร์ด หรือ พวก หมากรุก ก็ว่ากันไป
หากใครลืม เราสามารถไปขอร่วมเล่นกับเค้าได้ครับ
แต่หนึ่งในสิ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำคือการนั่งชมวิวในตู้ชมวิว ไปพร้อมพร้อมกับฟังเพลงโปรดที่ตัวเองอยากจะฟังในตอนนั้น
ระหว่างทางผมก็ได้เก็บภาพมาฝากเพื่อนเพื่อนทุกคนมาให้ได้ชมกัน
ลองไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เราจะเห็นได้ว่าหิมะนั้นปกคลุมตลอดการเดินทาง
เนื่องจากว่าผมเลือกที่จะเดินทางในหน้าหนาวเพราะมันถูก
และง่ายต่อการเดินทาง คนไม่เยอะ ไม่หนาแน่น แถมยังได้ชมวิวในอีกรูปแบบนึง
จะว่าไป ผมก็โชคดีตลอดการเดินทางที่ได้พบปะผู้คนมากมาย
และเจอเหตุการณ์ที่สอนอะไรเราได้มากมายเช่นกัน
มาชมภาพกันต่อเลยดีกว่าครับ
ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้นั้น
สภาพอากาศย่อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมได้เลือกตัดสินใจแล้วว่า
ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อน
และแน่นอน รอบนี้ผมต้องกราบขอบพระคุณไอเจ้าเพื่อนชาวอเมริกันของผม Lance Raynor
ผมได้ยืมบางสิ่งจากมันนั่นเอง ถ้าหากขาดเจ้าสิ่งนี้ไปรับรองว่า มีสะท้านกันบ้าง ฮ่าๆๆๆ
งั้นลองเลื่อนไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันคืออะไร
ถุงนอนนนนนนน
ก็เอาเจ้าสิ่งนี้ละครับที่คอยให้ความอบอุ่นผมระหว่างที่ผมจะต้องพักผ่อนในตอนกลางคืน
หากถามว่า ในรถไฟมีฮีทเตอร์ หรือเครื่องให้ความอบอุ่นกับเรา หรือ ที่บ้านเราจะมีแอร์ให้ความเย็น
ในตัวรถไฟเองก็มีครีบ
แต่ในบางครั้งคนที่ขี้หนาว
หรือเราไม่อยากแต่งตัวหลายชั้นมากนัก
เจ้าถุงนอนอันเนี้ยยยย
ก็ช่วยเราได้มากเลยทีเดียวครับ
ภาพข้างบนที่ทุกคนได้เห็นกันแล้ว
นั่นก็คือ
ตู้ชมวิว ' Sight seeing car '
นี่คือขบวนที่ทุกคนชอบมานั่งพักผ่อนชมวิวกันครับ
เพราะว่าหากเดินลงไปในตู้นี้ จะมี Cafe อยู่ครับ
มีทั้งขนม นม เนย เบียร์ แซนวิช พิซซ่า น้ำเปล่า น้ำอัดลม ก็ว่ากันไป
ใครหิว ใครกระหายน้ำ ก็เดินลงไปซื้อกันได้ตามสบายเลย
แต่หากใครอยากทานอาหารเช้า กลางวัน หรือตอนเย็น
ทางเจ้าหน้าที่จะประกาศบอกทุกคนครับว่า
เมื่อไหร่ ตู้อาหารจะเปิดให้บริการ
โดยเฉพาะ มื้อเย็นครับ
เราต้องทำการจอง และจะมีพนักงานเดินถามว่า เราจะจองไหม
เวลาไหน กี่คน ก็บอกเค้าไป
หากไม่ทราบก็ถามได้เลยครับ
โดยปกติแล้วพนักงานก็จะถามเราเองว่ากี่คน และมีเวลาไหนที่มีว่างบ้าง
และไอสิ่งนี้คือ ตั๋วจองนั่นเอง
อย่าทำหายน้าเดี๋ยวอดกิน
ก่อนที่เข้าสู่เมือง ชิคาโกและ บอสตัน
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า เนื่องจาก ความผิดพลาดของผมที่ไม่ได้ทำการสำรองแบทเตอรี่เอาไว้
ภาพจึงมีไม่พอที่จะเอามาบรรยายในครั้งนี้ แต่ผมจะพยายามนำเสนอให้ได้มากที่สุด และในครัง้หน้าจะผมจะเอามาเสนอใหม่ในภาคของเมือง แต่ล่ะเมืองเลยจริงจริงครับ ปล.หากมีโอกาสได้ทำอีก ฮ่าๆๆ
เจ้าป้ายที่เห็นเป็นกระดาษที่บอกถึงปลายทางของแต่ละคน
และนี่คือปลายทางของผมนั่นเอง
เป็นอันที่แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราเห็นรางรถไฟหลายหลายรางเชื่อมต่อกัน
นั่นคือสัญญานที่ผมรับรู้ได้ว่า
เราถึงเมืองใหญ่กันแล้วครับ อิอิ
ถึงแว้ววววววววววววว Chicago ที่เลิฟ
เมืองแห่งลมต้อนรับผมด้วยการเริ่มต้นของหิมะแรกของวันเลยครับ
หนาวเย็นจับใจ ปล. ขออนุญาตินำภาพสถานีจากในออนไลน์มาเป็นภาพประกอบนะครับ
Credit : Google ~ Union station Amtrak
สถานีรถไฟที่นี่ใหญ่มากครับ
และผู้คนแน่นมากกกกกก แออัดกันเลยทีเดียว
ผมยังจำได้ทุกครั้งที่นึกถึงที่นั่นว่า
ครั้งแรกในตอนที่ไปถึง และเดินลงจากรถไฟ เดินเข้าไปยังในสถานี
ภาพที่ทุกคนจะต้องได้เห็นคือ
คนจำนวนมากเดินไปมาตลอดเวลา แถมยังเร่งรีบอีกต่างหาก
ภาพตัดมาที่ผม
ผมเรียกสติกลับมา
ทางไหนที่เราต้องออกจากสถานีเพื่อไปยังที่ที่พักของเรา
ผมใช้เวลาสักประมาณห้านาทีเพื่อหาทางออก เนื่องจากความใหญ่ และความเป็นมือใหม่ของที่นี่
ก็เดินวนไปสิครับ แหะๆๆๆ
หลังจากเดินออกมาจากสถานี
หิมะเริ่มตก ผมเริ่มหิว แถมอากาศเริ่มเย็นมากขึ้น
ช่วงนั้นของวันเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังเลิกงานแล้วกลับบ้านกันพอดี
มันยิ่งทำให้ดูสับสนอลหม่านกันเลยทีเดียว
ผมเริ่มจากการดูแผนที่ที่จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าที่จะนำผมไปถึงที่พักนั่นเอง
คุณเชื่อกันไหมครับ
ผมหลงทาง ฮ๋าๆๆๆๆ
คือมันไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟ Amtrak มากเท่าไหร่
แต่ด้วยที่ว่า หลงทิศ และสภาพอากาศที่แย่มาก มองอะไรไม่ค่อยชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร
มันทำให้เราสังเกตสถานที่ได้ยากมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางไปยังที่นั่น
ตอนนั้นใช้เวลาไปเกือบครี่ง ชม เพื่อหาสถานีที่ผมต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปต่อ ซึ้งมันอยู่ห่างจากตรงที่ผมยืนอยู่เพียง สองบล็อค
ในใจคิดแบบว่า ... ห่าเอ้ยยยยยยยยยยยย
และนี่คือปลายทางของผมของตอนเย็นวันนั้น ส่วนรูปเป็นของอีกวันในตอนเช้าก่อนที่ผมจะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อเจอเพื่อนโดยบังเอิญ
และนี่คือหน้าตาของเจ้าตู้ขายตั๋ว และตั๋วของเราครับ
มันเป็นแบบตั๋วเติมตัง หรือ ซื้อเป็นรอบเที่ยวแล้วแต่ความเหมาะสมของเรา
ผมเลือกที่จะเติมเงินในตอนนั้นเนื่องจากผมเป็นคนชอบเดินมากกว่าแต่หารู้ไม่ ระยะทางระหว่าง หนึ่งบล็อคของที่นั่น กว้างสาสสสสสสสสสสสสสสสส
เมื่อเดินลงไปข้างล่าง จะมีสองปลายทางที่เราสังเกตุเห็นได้
ทั้งสองที่นั้นคือปลายทางของเส้นทางการเดินทางของรถไฟเส้นนี้
ที่นั่นมีสนามบินหลักหลักเลยสองแห่ง และเราจะเห็นปลายทางของสถานีหนึ่ง O'Hare ซึ่งมีสัญลักษณ์ รูปเครื่องบิน นั่นหมายถึงสนามบินนั่นเอง
ที่นั่นเขาจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ
และแล้วผมก็มาถึงที่พัก โฮสเทลล์ เย้เย้
ผมเลือกเป็นห้องสองคนแต่ผมนอนคนเดียว
คือราคาในตอนนั้นถูกมาก ฮ่าๆๆๆ และผมไม่อยากนอนกับใครที่นั่น และคิดว่าราคาไม่มากมาายเท่าไหร่
ไปชมภาพของที่พักกันสักนิดละกัน
ห้องน้ำรวมครับ แต่สะอาดอย่างที่เห็นเห็นกัน
หากใครไม่มีไดร์เป่าผม สามารถลงไปขอยืมได้ด้วยกันวางบัตรประชาชนของเรามัดจำไว้ได้ครับ
ด้านล่างล็อบบี้จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
มีคาเฟ่อยู่สำหรับใครที่อยากหากาแฟดื่ม ขนมปังรองท้องก่อนเดินทางก็เชิญลงมาข้างล่างได้เลย
สะดวก และอร่อย ปล.ไม่ได้ค่านายหน้านะ ฮ่าๆๆ
และไอเจ้าขนมที่เห็นอยู่นี้ เรียกว่า 'Empanadas'
มันมีลักษณะคล้ายคล้ายกับแป้งโรตีที่เอามาสอดใส้ต่างๆเข้าไป ไม่ว่า ไก่เห็ดหอม
หมูแดง เนื้อหมักโคล่า ต่างต่างนานา ผักบ้าง เนื้อบ้าง
แต่บอกเลยว่า มันทำให้ผมติดใจอย่างมากเนืองจากราคา และความอร่อยของมัน
ทำให้ผมต้องทานทุกวันก่อนออกเดินทาง
******มีต่อข้างล่างงงงงงงงงง เนื่องจากถูกจำกักข้อความในการพิมพ์ของแต่ล่ะครัง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น