[CR] นั่งรถไฟไปเรื่อยเรื่อย Backpacker 45 Days in US ~ Seattle

ยาวนานมากที่ไม่ได้กลับมาเขียนให้จบ  เพี้ยนออกทริปเพี้ยนออกทริป
คราวนี้ถึงเวลาแล้วครับที่จะกลับมาเขียนให้จบ
เพราะว่าการเดินทางของผมนั้นมันมีต่ออีกหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
อยากให้ใครใครหลายหลายคนเข้ามาอ่าน
เอาเป็นว่าเรามาต่อกันเลยดีกว่า
หลังจากได้เดินท่องเที่ยวที่ เมือง พอร์ทแลน ที่โอเรกอนแล้ว
สถานีต่อไปของผมก็คือ Seattle


สำหรับคนที่อยากลองกลับไปอ่านกระทู้แรกๆ ก็ตามลิ้งค์ข้างล่างนี่ได้เลยครับ
https://ppantip.com/topic/34742868 Part 1
https://ppantip.com/topic/34749824 Part 2

ใช้เวลาเพียง 3 ชมครึ่ง เท่านั้นสำหรับการนั่ง รถไฟ จาก Portland to Seattle
ผมจำได้ว่า วันนั้นไปถึงสถานี ราวราว เกือบสองทุ่ม
แน่นอนว่า ไม่คุ้นทางแน่นอนเพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่นั่น
หลังเดินออกจากสถานี ที่ที่แรกที่ต้องไปคือ ที่พักที่ได้ทำการจองเอาไว้ครับ
คืนนั้นฝนตกเรื่อยเรื่อยทั้งคืน
ผมมีเงินติดตัวประมาณ ไม่ถึง $100
ปัญหาเลยเกิดขึ้นครับ
เพราะผมจะต้องจ่ายค่าที่พักทั้งหมดก่อนพักซะงั้น
แล้วทีนี้ทำไงล่ะ
โทรหาเพื่อนสิครับ มันยืมเงินผมไปแล้วบอกว่าจะคืนนานแล้ว ผมก็เห็นว่าเงินน่าจะเข้าทัน แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน
เลยสรุปต้องโทรหามันทั้งที่หิว ก็หิวแต่ก็โกรธใครไม่ลง
สิ่งที่มีคือการมีสติเท่านั้น
สรุปได้เงินมาก่อน เพิ่มอีก $200 เพื่อจ่ายค่าที่พักกับมีเงินทานข้าวมื้อดึกในวันนั้น
ผมได้นั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟ ไปยังที่พักซึ่งจากป้ายรถเมล์นั้น ต้องเดินอีกหน่อยถึงจะถึงที่พักนั่นเอง
ตอนที่ไปถึง ห้องที่ได้เป็นเตียงสองชั้น สองอัน เท่ากับว่า ห้องนั้นมีรูมเมททั้งหมด สี่คน
ซึ่งผมเป็นคนที่สองที่ได้เข้าไป และมีอีกคนที่กำลังเข้ามาติดติดกันเลยในคืนนั้น
คนแรกที่มาก่อนหน้าผมนั้นเป็นคนเกาหลีแต่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย
เขาเพียงนอนอยู่บนเตียงชั้นล่าง มีคอมพิวเตอร์ข้างหน้า
ผมจึงปล่อยให้เขาใช้เวลาของเขาไปละกัน ฮ่าๆๆๆๆ
โชคดีที่ รูมเมทอีกคนตามเข้ามาติดติดและเพิ่งถึงเหมือนเรา
ไอ้เราก็เนาะ ตีซี้ไว้ก่อนว่ามาจากไหน ชื่อไร แล้วทานไรยัง หิวป่ะ

สรุปได้ใจความว่า ชื่อ Steve ยังเรียนอยู่  รู้สึกจะเรียนต่อปโท ด้านเกี่ยวกับแมลงนี่ล่ะ
และก็เลยตัดสินใจไปหาไรกินกันใกล้ๆ
ระหว่างทานข้าวมื้อดึกนั้นก็คุยกันไปเรื่อยๆว่า มาทำไรที่นี่
เจ้าตัวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้น เขามีเวลาว่างประมาณ ห้าวัน เลยมาเที่ยวหาประสบการณ์ ด้วยการนั่งรถไฟนี่ล่ะ ไอ้เราก็แบบ เห้ยยยยย !!  มันเหมือนกับกุเลย
แต่ว่า สตีฟ จะอยู่ที่ เมืองนี้แค่สองวัน แล้วเดินทางไป ซานฟรานซิสโก ต่ออีกวันนึง

สตีฟได้ชวนผมไปเดินเล่นสวนสัตว์ ในวันต่อมา
เพราะ เพื่อนของเขา ทำงานที่นั่น
ด้วยความที่ไม่มีแพลนตายตัว
เราก็เลยแบบว่า ไปก็ไปวะ สุดท้ายได้เข้าสวนสัตว์ฟรีครับ
ตอนนั้นใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางจากที่พัก ไปยังสวนสัตว์แต่ว่าคุ้มมากครับ
ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อนของ สตีฟ พาเข้าฟรี ซึ้งในตอนแรก สตีฟบอกผมว่าเราจะเสียแค่ครึ่งเดียว

เราสองคนใช้เวลาช่วงเช้าอย่างเด็มที่ จนเดินครบรอบสวนสัตว์
หลังจากนั้นเราทั้งสองคนได้ตัดสินใจว่า เดี๋ยวจะกลับไปที่พักก่อนเพราะว่าแบทโทรศัพท์ของเจ้าเพื่อนใหม่กำลังจะหมด
เลยต้องไปเอาที่ชาร์ทแบทก่อนจะเดินต่อไปยังในตัวเมือง
ที่ที่เราจะไปกัน ก็ไม่ไกลจากที่พักมาก
ไงก็ตามมาชมภาพสวนสัตว์ที่นี่กันสักเล็กน้อยกันดีกว่าครับ

และนี่คือ เจ้าสตีฟ ที่ว่าครับ ฮ่าๆๆๆ
ส่วนคนข้างๆๆ คือ ผมเองอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากพวกเราได้ที่ชาร์ทแบทแล้วก็เดินจากที่พักไปยังในตัวเมือง
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากที่เมิองนี้นะครับ
โคตรจะใกล้กันหมด
เดินไปหากันแบบว่า ห้านาทีก็เดินถึงละ ไม่รู้มันจะเล็ก และใกล้กันไปถึงไหน
ไอ้เราก็คิดว่าสี่ห้าวันที่นี่น่าจะชิวๆสบายๆๆ
สุดท้ายเหลือเฟือเกินคาด

ที่แรกที่เราเดินมาถึงคือบริเวณ
Pike Place Market
ซึ่งเป็นที่เราเรียกกันง่ายง่ายว่า ตลาดสด บ้านเรานั่นเอง
มีทั้งอาหารทะเลสดสด
รวมไปถึงผลไม้ และแน่นอน อยู่ใกล้กับ ร้านกาแฟชื่อดัง StarBucks แห่งแรกของโลกด้วยครับ
ส่วนสำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะหาไรกินเล่นไปก่อน
และถ้าชื่นชอบหรือไม่รังเกียจพวกขนมปังทานเล่น
แนะนำเลยร้านข้างล่างนี้ครับ
รับประกันอร่อยจริง
เดินไม่ไกลจากร้านกาแฟชื่อดังมากนัก
แน่นอนว่าผมก็ฟาดมาสองชิ้น
ก็คนมันหิวนี่เนาะเพี้ยนกิน


เราทั้งสองก็เดินต่อไปเรื่อยเรื่อย
จนถึงตรงนี้ครับแล้วก็เข้าใจได้ว่านี่คือจุดท่องเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนเดินผ่านไปมา
ยืนถ่ายรูปกับเจ้าป้ายนี้กันมากมายเหลือเกิน

ต่อจากนั้นเราก็เดินเข้าไปในตัวตลาดข้างใน
มีทั้งร้านอาหารทะเล
ของสด ของแห้ง ร้านขายโปสการ์ด
เรามาดูกันเลยครับว่า ภายในพื้นที่เล็กแถวนี้เค้าขายอะไรกันบ้าง

และมีสิ่งหนึ่งที่มาแล้วต้องลอง
มาแล้วต้องไปจัด
Clam Chowder ครับ
มาดูกันเลยดีกว่าว่าเจ้าอาหารที่ว่าเนี่ยหน้าตาเป็นกันอย่างไร

ผม กับ สตีฟ ตัดสินใจว่าจะลองชิมกันคนละนิดหน่อย คนละอย่างตามที่เค้ามีให้ลอง
ก็เลยลองมาชิมกันหลายหลายอย่าง
สรุป มีอยู่ประมาณ สองสามอย่างที่ถูกลิ้นผม
ก็ไอ้เจ้าตัวครีมขาวขาวข้นข้นนั่นเอง
พวก ออรินัล อร่อยจริงครับ
ทั้งสด ทั้งหอม ทั้งเข้มข้นเพี้ยนกินเพี้ยนสู้สู้

ต่อจากนั้นเราได้แยกกันเดินไปคนละทางครับ
เพราะว่า ผมอยากจะเดินเล่นชิวชิวสักพัก ไหนไหนก็มีเวลามากพอ
ผมเดินไปได้ไม่ไกลมากนักวันนั้น ก็ลืมไปว่ายังมีอีกที่ที่เราต้องไปโดนให้ได้

Gummy Walls  
แค่เห็นภาพก็รู้ละว่ามันคืออะไร ฮ่าๆๆ

จากตรงนี้อยู่ไม่ไกลเลยจากตลาดครับ เพียงแค่ สองสามนาทีก็เดินมาถึงละ มันจะอยู่ทางด้านซ้ายของตลาด

และในที่สุดผมก็ได้เจ้าโปสการ์ด
ของสิ่งเดียวที่ผมอยากได้จากการเดินทางไปแต่ล่ะที่
สิ่งที่ผมอยากได้คือ การปั๊มแสตมป์ของแต่ล่ะเมืองนี่ล่ะครับ
รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งว่า
มันจะมาถึงไหม
มันจะส่งมาเมื่อไหร่
แล้วตราสแตมป์มันเป็นอย่างไร


ผมใช้เวลากับตัวเองสักพักเลยทีเดียวในวันนั้น
ราวกับว่า มีความสุขมากกับการท่องเที่ยว
ต่อให้ต้องเดินทางเพียงคนเดียวก็ตาม

ตกเย็นถึงเวลานัดเจอสตีฟอีกครั้ง
คราวนี้พวกเราจะไปเดินชมโลกใต้ดินกันว่ามันจะเป็นอย่างไร
ว่าสมัยก่อนมันมีอะไรเกิดขึ้น
เราจะต้องจองทัวร์ซึ่งไม่จำเป็นต้องจองนานก่อนมากมาย
ผมแค่โทรไปหาเขาว่าต้องการจะไปวันนี้ เวลานี้นะ
เรียบร้อยครับ เราก็ได้ตั๋วมาครอบครอง ฮ๋าๆๆๆ
สำหรับทัวร์นี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทราบประวัติของเมืองแห่งนี้ว่าสมัยก่อนมีอะไรเกิดขึ้น
และทำไมพลเมิองที่นี่ถึงจำเป็นต้องอาศัยใต้ดินในระยะเวลาช่วงหนึ่ง
สำหรับผม ผมชอบนะ มันเป็นการสำรวจพื้นที่อีกรูปแบบหนึ่ง


และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายของ สตีฟ กับผม ของทรืปนี้เนื่องจาก
เจ้าสตีฟจะต้องเดินทางต่อไปยังซานฟรานซิสโก
เมืองสุดรักของผม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
แต่คืนนั้นผมก็ได้เพื่อนร่วมทางใหม่อีกคน
เป็นชาวอเมริกันอีกเช่นกันครับ
มาต่อกันเลยดีกว่า เพื่อไม่ให้ขาดตอน
เพื่อนใหม่คนนี้ นามว่า Colby  ครับ
คนคนนี้ยังเด็กกว่าผมนิดหน่อย
เขายังเรียนอยู่เช่นกัน
ในเช้าวันต่อมาโคลบี้ได้ใช้ตั๋วที่เราเรียกกันว่า City Pass
เจ้าตั๋วเนี้ย มันจะบอกเราว่า เราสามารถไปที่ไหนได้บ้าง ซึ่งเราจะได้ส่วนลดมากมาย เกือบครึ่งเลยทีเดียว
แต่ทว่า สถานที่ที่ระบุ มันเหมาะสำหรับคนที่ชอบไป มิวเซียม หรือ พิพิธภัณ นั่นเอง
แต่มันก็ยังรวมสถานที่ที่ ผมอยากจะไปอยู่ นั่นก็คือ
เจ้า Space Needle
เจ้าตึกสูงๆๆ ที่เรากำลังจะได้เห็นกัน
แล้วเจ้าตั๋วใบนี้ เราสามารถ ขึ้นได้สองครั้ง
พวกเราทั้งสองจึงตัดสินใจไปทั้งตอนเช้าและกลางคืนเลยทีเดียว
สรุปว่าวันนั้น เราสองคนใช้เวลาด้วยกันไปกับ การใช้ City Pass
ไปชมภาพกันเลยดีกว่าว่าจะสวยงามกันมากน้อยแค่ไหน

' Space Needle '

ที่นี่เราจะสามารถเห็นวิวได้ทั้งหมด 360 องศาของเมืองนี้กันได้เลยทีเดียว
อย่าลืมพกแจ็กเกทไปก็ดีนะครับ
ลมแรง ฮ๋าๆๆๆๆ

' Chihuly Garden and Glass '

ส่วนทีที่เราเห็นกันนี้หลายคนสงสัยว่าคือที่ไหน
มันเป็นสถานที่เราจะได้เห็นการสร้างแก้วสีต่างๆ
ภายในตัวอาคารจะมีส่วนหนึ่งที่ทางพนักงานจะโชว์เราถึงวิธึการหลอมแก้วกันให้เห็นจะจะกันไปเลย

' Museum of Pop Culture (MoPOP) '

มีต่อ
v
v
v
v

ชื่อสินค้า:   Backpacker 45 Days in US [ By Train - Amtrak ]
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่