นิทานก่อนนอน : นางฟ้ากับดวงดาว
ณ สวนสวรรค์อันไกลโพ้น
เหล่านางฟ้าน้อยตั้งใจศึกษาและฝึกฝนวิชาเพื่อเป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์
ในวันสำเร็จหลักสูตร ต่างได้รับคฑาวิเศษไว้ประจำกาย
เมื่อร่ายมนตราพร้อมโบกคฑาวิเศษนั้นคราใด
จักกำกับดวงดาวให้ส่องประกายระยิบระยับ
ทันทีที่ได้รับคฑาวิเศษ นางฟ้าหน้าใหม่ก็ไม่รอช้า
พากันร่ายคาถาพร้อมโบกสะบัดคฑาวิเศษโดยพลัน
ส่งผลให้ดวงดาวนับล้านบนฟากฟ้านั้น สว่างไสว สวยงาม
แต่แสงสว่างจากมนตราและคฑาวิเศษอยู่ได้ไม่นานนัก
เพียงสักพักดวงดาวก็เริ่มริบหรี่ ดับแสงลง
ภารกิจของนางฟ้าต้องทำให้ดวงดาวสว่างไสวอยู่อย่างนั้น
จึงแบ่งปันดาวให้นางฟ้าใหม่ไปรับผิดชอบกันคนละดวง
หากดาวของตนเริ่มอ่อนแสงคราใด จักต้องกำกับให้สุกใสดังเดิม
แล้วหมู่ดาวบนฟ้าจึ่งส่องแสงสวยงามระยิบระยับจับตาอีกครั้ง
คืนแล้ว คืนเล่า
หมู่ดาวยังสว่างไสว อยู่เสมอ
แม้ดวงเดือนหมุนเวียนมาพบเจอ ดาวก็ยังสว่างเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
กระทั่งคืนหนึ่ง
บนท้องฟ้ามีดวงดาวสว่างไสวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวง
และดาวอีกดวงที่เคยสดใส ก็เริ่มริบหรี่ลงไปดวงหนึ่งเช่นกัน
เหล่านางฟ้าเห็นดังนั้น ต่างตื่นตระหนก ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พากันตามหานางฟ้าผู้กำกับดาวที่แสงริบหรี่ดวงนั้นเป็นพัลวัน
ด้วยหวั่นว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนาง
เมื่อมาถึงสวนสวรรค์แดนอันเป็นที่หมาย
กลับพบว่านางฟ้าน้อยองค์นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งกำลังสนุกสนานเป็นการใหญ่กับการกำกับดวงดาวพร้อมกันสองดวง
“นางฟ้าองค์น้อย เจ้าทำการใดอยู่หรือ ?”
“กำลังกำกับดวงดารานั่นไง กำลังสว่างไสวสวยงามเชียว”
“ดาวใหม่ดวงนั้นสุกใส แต่เหตุใดดาวประจำตัวเจ้าจึงริบหรี่เล่า ?
เจ้าก็รู้ว่า ดวงดารา คือ ภาระ หาใช่ ทรัพย์สิน”
เมื่อได้ฟังดังนั้น นางฟ้าองค์น้อยก็สำนึกได้ละมือจากดาวดวงใหม่
รีบหันไปร่ายมนตราและโบกคฑาวิเศษกำกับดาวของตนทันที
แล้วแสงดาวที่ริบหรี่ ก็กลับสว่างไสว สดใสดังเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://bysoul.wordpress.com/2008/08/19/นิทานก่อนนอน-นางฟ้ากับ/
ตาสีตกปลา
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายแก่คนหนึ่งชื่อตาสี มีอาชีพตกปลาขาย ตาสีมีความสามารถพิเศษในเรื่องการตกปลา จนคนพูดกันว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน กลางวันหรือกลางคืน ฝนจะตำฟ้าจะร้องอย่างไร “ตาสีก็ตกปลาได้เสมอ”
FISHMAN1
บรรดานักตกปลาทั้งหายต่างครั่นคร้ามกลัวเกรง ในฝีมือในการตกปลาของตาสีไม่มีใครกล้าทาบรัศมีกับตาสีเลย ทำให้ตาสีรู้สึกทะนงตัวอยู่ไม่น้อย
วันหนึ่งตาสีคิดจะไปตกปลาที่หนองน้ำลึกไกลออกไปจากที่เคยหาอยู่ประจำ เรือของตาสีลำเล็กเกินไป จึงต้องขอยืมเรือของตาสาซึ่งเป็นเพื่อนกัน
เมื่อได้เรือแล้วก็พายเรือไปสู่ที่หมาย ตาสีเห็นปลาดำผุดดำว่าย อยู่คลาคล่ำ ก็เกิดความยินดีปรีดา คิดว่าวันนี้จะต้องจับปลาได้เต็มลำเรือ กลับไปบ้านอีกสักครั้ง
แต่แล้วตาสีก็ต้องผิดหวัง เพราะวันนี้เกิดวิปริตผิดปกติ คือตกอย่างไรปลาก็ไม่กินเบ็ดตาสีเลย ตาสีโกรธมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แกจึงล้มตัวลงนอนบนพื้นเรือแล้วก็หลบไป
ตาสีหลับอยู่นานเท่าไรก็ไม่ทราบ แต่แกมารู้สึกตัว ก็ต่อเมื่อเรือของแกโคลงเคลงยวบยาบ ตาสีเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นดูก็เห็นสายเบ็ดกระตุกไหว ๆ จึงลองดึงดู เมื่อการออกแรงดึงสายเบ็ด ปลาก็ยิ่งดึงเรือให้จมลงไปอีก
ตาสีตกใจมากแกก็รีบกระโดดขึ้นฝั่ง แล้วก็เที่ยววานให้เพื่อน ๆ ของแกมาช่วยจับปลาที่ติดเบ็ด
ทีแรกไม่มีใครเชื่อ คิดว่าตาสีโกหก แต่ก็ขัดตาสีไม่ได้ จึงมาช่วย ปรากฏว่าปลาที่ติดเบ็ดตาสีนั้นเป็นปลาชะโดตัวใหญ่มหึมา
เมื่อได้ปลามาแล้ว ตาสีก็จัดการชำแหละแจกเพื่อนฝูงที่ไปช่วย แต่ปลาก็ยังเหลืออีกมาก ตาสีจึงนำปลาไปแลกข้าวกับชาวบ้าน ได้ข้าวมากจนเต็มลำเรือแล้วตาสีก็พายเรือกลับบ้าน
ตาสีพายเรือมาจนเวลาพลบค่ำ ก็รู้สึกหิวข้าว ครั้นจะหุงข้าวกินก็ไม่มีหินเหล็กไฟ หรือไม้ขีดไฟ เพื่อจุดไต้ก่อไฟ แกพายเรือไปพลางสายตาก็สอดส่วยมองหาดูตามตลิ่งไปพลาง เผื่อจะมีใครเขาก่อไฟทิ้งไว้บ้าง แต่ก็หาพบไม่
ตาสีล่องเรือมาจนถึงต้นยางใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นยางมีเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งนอนซุ่มอยู่ เพื่อดักจับสัตว์กินเป็นอาหาร
เนื่องจากในเวลากลางคืนตาของเสือจะมีแสงพราวเป็นประกายเหมือนดวงไฟ ตาสีเมื่อเห็นดังนั้นก็ดีใจมาก รีบพายเรือแวะเข้าไปที่ดวงไฟนั้น ซึ่งแกคิดว่าคงจะเป็นไฟสุมขอนลุกไหม้คุกรุ่นอยู่
พอเข้าไปถึง ตาสีคว้าโซ่ล่ามเรือไว้กับหางเสือ ซึ่งแกคิดว่าเป็นรากไม้ ต่อจากนั้นแกก็คว้าไต้แหย่เข้าไปที่ลูกตาเสือเพื่อจะจุดไต้ก่อน แกแหย่ไต้เข้าไปจนชิดตาเสือได้ก็ไม่ติด ตาสีโมโหคิดว่าน้ำมันยางที่ไต้แห้งไป แกจึงเอาไต้ทิ่มเข้าไปที่ลูกตาเสือเต็มแรง
เสือแปลกใจตั้งแต่เห็นอาการของตาสีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว พอตาสีใช้ไต้ทิ่มที่ลูกตามัน มันก็ตกใจ กระโดดหนีอย่างไม่คิดชีวิต เลยลากเอาเรือของตาสีที่ผูกติดไว้กับหางของมัน วิ่งขึ้นไปบนเขา ไกลออกไปจากฝั่งหลายสิบวา
ส่วนเรือของตาสี เมื่อถูกลากแรง ๆ ก็ครูดกับพื้นดิน จึงยาวกว่าเดิมถึงสองศอก ตาสีเข็นเรือกลับลงน้ำไม่ไหว เพราะไม่มีแรง เนื่องจากไม่ได้กินข้าว เลยต้องนอนเฝ้าเรืออยู่นั่นทั้งคืน หิวก็หิว ยุงก็กัด น่าอนาถใจแท้
ครั้นพอรุ่งเช้าตาสีก็ออกเดินไปเที่ยวหาผลไม้กินแก้หิว พอกลับมาถึงเรือแกตกใจมาก เพราะข้าวเปลือกของแกถูกไก่กินไปเกือบหมดลำเรือ ตาสีโกรธจึงไปตัดหวายมาทำบ่วงติดไว้กับตรงท้องเรือ เพื่อดักสัตว์ที่มากินข้าวเปลือกของแก
ฝูงไก่ป่าไม่รู้อุบายของตาสี จึงกลับพากันมากินข้าวอีก
มันจึงติดบ่วงของตาสีหมดทุกตัว ตาสีได้ทีก็โห่ร้องขึ้น ไก่ป่าตกใจจึงพากันบินขึ้น พาเรือของตาสีกลับมาอยู่ในน้ำเหมือนเดิมโดยไม่ต้องเข็น
ต่อจากนั้นตาสีก็ฆ่าไก่ทีละตัว แล้วผ่ากระเพราะเอาข้าวของแกคืน แถวยังได้ข้าวที่ไก่กินมาจากที่อื่นด้วย ทำให้ข้าวมากกว่าเดิมเสียอีก
ไก่ป่า
พอตาสีพายเรือกลับมาถึงบ้าน ก็ช่วยกันขนข้าวขึ้นยุ้งเสร็จแล้ว จึงบอกให้เมียของแกนำเรือไปคืนตาสา
ตาสาจึงออกมาสำรวยตรวจสอบดูเรือ โดยวัดดู ปรากฏว่าเรือนี้ยาวกว่าเรือของแกไปตั้งสองศอกจึงต่อว่าเมียตาสีว่า ตาสีเป็นคนไม่ซื่อตรง ขอยืมเรือไปกลับเอาเรือลำอื่นมาคืนแทน ตาสาจึหลอกให้เมียตาสีเอาเรือคืนไป แล้วให้นำเรือของแกส่งโดยเร็วด้วย มิฉะนั้นจะต้องเกิดผิดใจกันแน่ ๆ
เมียตาสีพายเรือกลับบ้านระหว่างที่พายเรือบังเอิญเกิดพายุใหญ่
พัดพาเอาเรือพุ่งเข้าชนตลิ่งโครมใหญ่ ทำให้เรือหดสั้นเข้าไปสองศอก เรือจึงมีความยาวกลับเท่าเดิม
เมียของตาสีตกใจมาก รีบพายเรือกลับไปให้ตาสา ตาสามาสำรวจดูเรืออีกครั้งหนึ่ง เห็นว่ายาวเท่าเดิมก็รับคืนด้วยดี
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 1. อย่าคาดหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจนเกินไปนัก เพราะอะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างเดียว ฉะนั้นจงอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ 2. การทำสิ่งใดด้วยความโกรธ จะมีแต่โทษและความเสียหาย ฉะนั้นจงระงับความโกรธเอาไว้เถิด ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่ไม่โกรธประเสริฐที่สุด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.นิทานออนไลน์.com/2010/01/blog-post_4668.html
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โดหลอกนะคะ แบร่ๆๆ
นิทานก่อนนอน
ณ สวนสวรรค์อันไกลโพ้น
เหล่านางฟ้าน้อยตั้งใจศึกษาและฝึกฝนวิชาเพื่อเป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์
ในวันสำเร็จหลักสูตร ต่างได้รับคฑาวิเศษไว้ประจำกาย
เมื่อร่ายมนตราพร้อมโบกคฑาวิเศษนั้นคราใด
จักกำกับดวงดาวให้ส่องประกายระยิบระยับ
ทันทีที่ได้รับคฑาวิเศษ นางฟ้าหน้าใหม่ก็ไม่รอช้า
พากันร่ายคาถาพร้อมโบกสะบัดคฑาวิเศษโดยพลัน
ส่งผลให้ดวงดาวนับล้านบนฟากฟ้านั้น สว่างไสว สวยงาม
แต่แสงสว่างจากมนตราและคฑาวิเศษอยู่ได้ไม่นานนัก
เพียงสักพักดวงดาวก็เริ่มริบหรี่ ดับแสงลง
ภารกิจของนางฟ้าต้องทำให้ดวงดาวสว่างไสวอยู่อย่างนั้น
จึงแบ่งปันดาวให้นางฟ้าใหม่ไปรับผิดชอบกันคนละดวง
หากดาวของตนเริ่มอ่อนแสงคราใด จักต้องกำกับให้สุกใสดังเดิม
แล้วหมู่ดาวบนฟ้าจึ่งส่องแสงสวยงามระยิบระยับจับตาอีกครั้ง
คืนแล้ว คืนเล่า
หมู่ดาวยังสว่างไสว อยู่เสมอ
แม้ดวงเดือนหมุนเวียนมาพบเจอ ดาวก็ยังสว่างเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
กระทั่งคืนหนึ่ง
บนท้องฟ้ามีดวงดาวสว่างไสวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวง
และดาวอีกดวงที่เคยสดใส ก็เริ่มริบหรี่ลงไปดวงหนึ่งเช่นกัน
เหล่านางฟ้าเห็นดังนั้น ต่างตื่นตระหนก ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พากันตามหานางฟ้าผู้กำกับดาวที่แสงริบหรี่ดวงนั้นเป็นพัลวัน
ด้วยหวั่นว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนาง
เมื่อมาถึงสวนสวรรค์แดนอันเป็นที่หมาย
กลับพบว่านางฟ้าน้อยองค์นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งกำลังสนุกสนานเป็นการใหญ่กับการกำกับดวงดาวพร้อมกันสองดวง
“นางฟ้าองค์น้อย เจ้าทำการใดอยู่หรือ ?”
“กำลังกำกับดวงดารานั่นไง กำลังสว่างไสวสวยงามเชียว”
“ดาวใหม่ดวงนั้นสุกใส แต่เหตุใดดาวประจำตัวเจ้าจึงริบหรี่เล่า ?
เจ้าก็รู้ว่า ดวงดารา คือ ภาระ หาใช่ ทรัพย์สิน”
เมื่อได้ฟังดังนั้น นางฟ้าองค์น้อยก็สำนึกได้ละมือจากดาวดวงใหม่
รีบหันไปร่ายมนตราและโบกคฑาวิเศษกำกับดาวของตนทันที
แล้วแสงดาวที่ริบหรี่ ก็กลับสว่างไสว สดใสดังเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตาสีตกปลา
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายแก่คนหนึ่งชื่อตาสี มีอาชีพตกปลาขาย ตาสีมีความสามารถพิเศษในเรื่องการตกปลา จนคนพูดกันว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน กลางวันหรือกลางคืน ฝนจะตำฟ้าจะร้องอย่างไร “ตาสีก็ตกปลาได้เสมอ”
FISHMAN1
บรรดานักตกปลาทั้งหายต่างครั่นคร้ามกลัวเกรง ในฝีมือในการตกปลาของตาสีไม่มีใครกล้าทาบรัศมีกับตาสีเลย ทำให้ตาสีรู้สึกทะนงตัวอยู่ไม่น้อย
วันหนึ่งตาสีคิดจะไปตกปลาที่หนองน้ำลึกไกลออกไปจากที่เคยหาอยู่ประจำ เรือของตาสีลำเล็กเกินไป จึงต้องขอยืมเรือของตาสาซึ่งเป็นเพื่อนกัน
เมื่อได้เรือแล้วก็พายเรือไปสู่ที่หมาย ตาสีเห็นปลาดำผุดดำว่าย อยู่คลาคล่ำ ก็เกิดความยินดีปรีดา คิดว่าวันนี้จะต้องจับปลาได้เต็มลำเรือ กลับไปบ้านอีกสักครั้ง
แต่แล้วตาสีก็ต้องผิดหวัง เพราะวันนี้เกิดวิปริตผิดปกติ คือตกอย่างไรปลาก็ไม่กินเบ็ดตาสีเลย ตาสีโกรธมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แกจึงล้มตัวลงนอนบนพื้นเรือแล้วก็หลบไป
ตาสีหลับอยู่นานเท่าไรก็ไม่ทราบ แต่แกมารู้สึกตัว ก็ต่อเมื่อเรือของแกโคลงเคลงยวบยาบ ตาสีเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นดูก็เห็นสายเบ็ดกระตุกไหว ๆ จึงลองดึงดู เมื่อการออกแรงดึงสายเบ็ด ปลาก็ยิ่งดึงเรือให้จมลงไปอีก
ตาสีตกใจมากแกก็รีบกระโดดขึ้นฝั่ง แล้วก็เที่ยววานให้เพื่อน ๆ ของแกมาช่วยจับปลาที่ติดเบ็ด
ทีแรกไม่มีใครเชื่อ คิดว่าตาสีโกหก แต่ก็ขัดตาสีไม่ได้ จึงมาช่วย ปรากฏว่าปลาที่ติดเบ็ดตาสีนั้นเป็นปลาชะโดตัวใหญ่มหึมา
เมื่อได้ปลามาแล้ว ตาสีก็จัดการชำแหละแจกเพื่อนฝูงที่ไปช่วย แต่ปลาก็ยังเหลืออีกมาก ตาสีจึงนำปลาไปแลกข้าวกับชาวบ้าน ได้ข้าวมากจนเต็มลำเรือแล้วตาสีก็พายเรือกลับบ้าน
ตาสีพายเรือมาจนเวลาพลบค่ำ ก็รู้สึกหิวข้าว ครั้นจะหุงข้าวกินก็ไม่มีหินเหล็กไฟ หรือไม้ขีดไฟ เพื่อจุดไต้ก่อไฟ แกพายเรือไปพลางสายตาก็สอดส่วยมองหาดูตามตลิ่งไปพลาง เผื่อจะมีใครเขาก่อไฟทิ้งไว้บ้าง แต่ก็หาพบไม่
ตาสีล่องเรือมาจนถึงต้นยางใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นยางมีเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งนอนซุ่มอยู่ เพื่อดักจับสัตว์กินเป็นอาหาร
เนื่องจากในเวลากลางคืนตาของเสือจะมีแสงพราวเป็นประกายเหมือนดวงไฟ ตาสีเมื่อเห็นดังนั้นก็ดีใจมาก รีบพายเรือแวะเข้าไปที่ดวงไฟนั้น ซึ่งแกคิดว่าคงจะเป็นไฟสุมขอนลุกไหม้คุกรุ่นอยู่
พอเข้าไปถึง ตาสีคว้าโซ่ล่ามเรือไว้กับหางเสือ ซึ่งแกคิดว่าเป็นรากไม้ ต่อจากนั้นแกก็คว้าไต้แหย่เข้าไปที่ลูกตาเสือเพื่อจะจุดไต้ก่อน แกแหย่ไต้เข้าไปจนชิดตาเสือได้ก็ไม่ติด ตาสีโมโหคิดว่าน้ำมันยางที่ไต้แห้งไป แกจึงเอาไต้ทิ่มเข้าไปที่ลูกตาเสือเต็มแรง
เสือแปลกใจตั้งแต่เห็นอาการของตาสีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว พอตาสีใช้ไต้ทิ่มที่ลูกตามัน มันก็ตกใจ กระโดดหนีอย่างไม่คิดชีวิต เลยลากเอาเรือของตาสีที่ผูกติดไว้กับหางของมัน วิ่งขึ้นไปบนเขา ไกลออกไปจากฝั่งหลายสิบวา
ส่วนเรือของตาสี เมื่อถูกลากแรง ๆ ก็ครูดกับพื้นดิน จึงยาวกว่าเดิมถึงสองศอก ตาสีเข็นเรือกลับลงน้ำไม่ไหว เพราะไม่มีแรง เนื่องจากไม่ได้กินข้าว เลยต้องนอนเฝ้าเรืออยู่นั่นทั้งคืน หิวก็หิว ยุงก็กัด น่าอนาถใจแท้
ครั้นพอรุ่งเช้าตาสีก็ออกเดินไปเที่ยวหาผลไม้กินแก้หิว พอกลับมาถึงเรือแกตกใจมาก เพราะข้าวเปลือกของแกถูกไก่กินไปเกือบหมดลำเรือ ตาสีโกรธจึงไปตัดหวายมาทำบ่วงติดไว้กับตรงท้องเรือ เพื่อดักสัตว์ที่มากินข้าวเปลือกของแก
ฝูงไก่ป่าไม่รู้อุบายของตาสี จึงกลับพากันมากินข้าวอีก
มันจึงติดบ่วงของตาสีหมดทุกตัว ตาสีได้ทีก็โห่ร้องขึ้น ไก่ป่าตกใจจึงพากันบินขึ้น พาเรือของตาสีกลับมาอยู่ในน้ำเหมือนเดิมโดยไม่ต้องเข็น
ต่อจากนั้นตาสีก็ฆ่าไก่ทีละตัว แล้วผ่ากระเพราะเอาข้าวของแกคืน แถวยังได้ข้าวที่ไก่กินมาจากที่อื่นด้วย ทำให้ข้าวมากกว่าเดิมเสียอีก
ไก่ป่า
พอตาสีพายเรือกลับมาถึงบ้าน ก็ช่วยกันขนข้าวขึ้นยุ้งเสร็จแล้ว จึงบอกให้เมียของแกนำเรือไปคืนตาสา
ตาสาจึงออกมาสำรวยตรวจสอบดูเรือ โดยวัดดู ปรากฏว่าเรือนี้ยาวกว่าเรือของแกไปตั้งสองศอกจึงต่อว่าเมียตาสีว่า ตาสีเป็นคนไม่ซื่อตรง ขอยืมเรือไปกลับเอาเรือลำอื่นมาคืนแทน ตาสาจึหลอกให้เมียตาสีเอาเรือคืนไป แล้วให้นำเรือของแกส่งโดยเร็วด้วย มิฉะนั้นจะต้องเกิดผิดใจกันแน่ ๆ
เมียตาสีพายเรือกลับบ้านระหว่างที่พายเรือบังเอิญเกิดพายุใหญ่
พัดพาเอาเรือพุ่งเข้าชนตลิ่งโครมใหญ่ ทำให้เรือหดสั้นเข้าไปสองศอก เรือจึงมีความยาวกลับเท่าเดิม
เมียของตาสีตกใจมาก รีบพายเรือกลับไปให้ตาสา ตาสามาสำรวจดูเรืออีกครั้งหนึ่ง เห็นว่ายาวเท่าเดิมก็รับคืนด้วยดี
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 1. อย่าคาดหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจนเกินไปนัก เพราะอะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างเดียว ฉะนั้นจงอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ 2. การทำสิ่งใดด้วยความโกรธ จะมีแต่โทษและความเสียหาย ฉะนั้นจงระงับความโกรธเอาไว้เถิด ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่ไม่โกรธประเสริฐที่สุด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้