เกาะซิงกาโปเป็นเกาะที่มีขุมทรัพย์มหาศาล จอมยุทธจากหลากเชื้อชาติ หลายสำนัก มาที่นี่เพื่อหวังกอบโกยเงินทองและชื่อเสียง ผู้ใดได้ตำแหน่งบัลลังก์เจ้ายุทธภพของเกาะแห่งนี้ นอกจากสามารถเก็บเงินทองได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว ยังแผ่อิทธิพลไปยังแหล่งขุมทรัพย์อื่นๆ ในเพลาข้างหน้า ผู้แสวงโชคอื่นๆ ก็จักยอมสยบ หากจะแหลมเข้ามามีเอี่ยวแสวงหาผลประโยชน์ ก็จักต้องเสียค่าต๋งให้กับผู้ครองตำแหน่งเจ้ายุทธภพแห่งนี้เสียก่อน อา..ช่างเป็นตำแหน่งที่น่าหมายปองเสียจริงๆ
ลานกว้างที่กำหนดให้เป็นสนามประลองเพลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนชาวซิงกาโปและชาวยุทธที่เดินทางมาจากหลายแห่งทั่วยุทธภพเพื่อเป็นสักขีพยานการชิงตำแหน่งนางสิงห์เจ้ายุทธจักร ณ บัลลังก์แห่งนี้
เมื่อถึงเวลานัดหมายก็นวยนาดออกมาจากถ้ำเก็บตัว เป็นโกวเนี้ยทั้งสองนางนี้จริงๆ.....แม่นางต่ายจื้ออิง กระบี่มือหนึ่งของยุทธภพจากสำนักดอกเหมยฮัว และแม่นางหม่าหลิน ฉายา หงู๊ ไอ๊ซี่ เซีย (เสียงคำรามของควายถูกเชือด) จากสำนักหลี่ไห่หงู๊ (กระทิงดุ)
“เจ้านี่เอง!”
“เป็นเจ้าอีกแล้ว!”
เสียงทักทายของแม่นางทั้งสองดูเหมือนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“บาดแผลคราที่แล้ว เจ้ายังมิเข็ดหลาบ” แม่นางต่ายทักขึ้นก่อน มียิ้มสะแหยะ และชายหางตาประกอบใบหน้า
“ระงังปากของเจ้าให้ดีเถอะ เสร็จศึกนี้แล้ว อาจมิได้กลับไปดูดชาไข่มุกที่สำนักเป็นที่สำราญได้ดั่งเคย” แม่นางหม่าหลินก็มิได้ยอมกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างสะบัดหางม้าใส่กันแล้ว ทั้งสองโกวเนี้ยในวัยไล่เลี่ยก็ถอดชุดคลุมออก พลันที่เห็นคู่ประลองเผยโฉมภายใต้เสื้อคลุมออกมา หม่าหลินถึงกับอุทาน..
“จะ..เจ้า เจ้าไปทำอะไรมา!!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะลึงล่ะสิ ร่างของข้าแปรเปลี่ยนเป็นร่างที่สามแล้ว” ต่ายจื้ออิงหัวเราะลั่น เบ่งร่างโชว์ กล้ามเนื้อเป็นประกายแวววับ
“เจ้าสำเร็จวิชาทุเรียนหมอนทองทั้งสี่ตั้งแต่เมื่อไร”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตอนเดินทางผ่านไท่ก๊ก ข้าได้สัมผัสกับตำราทุเรียนหมอนทอง และนำมาฝึกปรือจนได้ผลอย่างที่เห็น”
วิชาทุเรียนหมอนทองเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาอันเป็นที่หมายปองของชาวยุทธทุกเพศทุกวัย ปกติมิได้เป็นความใฝ่ฝันของจอมยุทธหญิง หาคนฝึกจนขึ้นรูปได้ยากยิ่ง แต่วันนี้ ภาพของต่ายจื้ออิง มีพูของทุเรียนทั้งสี่ปรากฏให้เห็นบนหัวไหล่ทั้งสองและน่องที่ปูดปูน
หม่าหลินแม้ยังมิได้ปะมือแต่ก็มีหยดเหงื่อผุดออกมาจากขมับทั้งสองข้างแล้ว ลำพังฝีมือของต่ายจื้ออิงร่างเดิมก็รับมือได้ยากยิ่งอยู่แล้ว มาได้เคล็ดวิชาทุเรียนหมอนทองจากไท่ก๊ก ซึ่งถือเป็นสุดยอดเวิชา ยิ่งทำให้นางกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานจริงๆ
หม่าหลินพยายามเบือนความคิดไปทางอื่นเสีย ไพล่หาเรื่องคุยไปเรื่อยเพื่อหาจุดอ่อน
“หึ หึ เจ้ายังคงใส่ชุดของพี่ชายมาลงสนาม” หม่าหลินอมยิ้ม อาภรณ์ของต่ายจื้ออิงนับว่าไม่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ยังคงเอกลักษณ์อาภรณ์สมัยราชวงศ์หมิงอยู่ ประหนึ่งสวมชุดกางเกงนอนปานนั้น
“เจ้าก็ยังคงใส่ชุดกระโปรงของน้องสาวเช่นเดิม” ต่ายจื้ออิงตอกกลับอย่างเจ็บแสบ ทำเอาหม่าหลินหันมามองตาขวาง ชุดของนางนับว่าปราดเปรียวและล้ำยุคที่สุดแล้ว มิใยว่ามันจะคับติ้วไปสักหน่อย
“อย่าเสียเวลาสาวหาวเลย มาประลองกันเลยดีกว่า” หม่าหลินกระโดดขึ้น ชักมีดสั้นคู่ ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายออกมาร่ายรำ
“เดี๋ยว!!” ต่ายจื้ออิงยกมือขึ้นปราม “เราต้องหาผู้เป็นกลางมาตัดสินชี้ขาดก่อน มิเช่นนั้น ชนะไปอาจมิกลายเป็นแพ้” ต่ายจื้ออิงกล่าว
“ใครล่ะจะเป็นผู้ชี้ขาด”
“ข้าเอง” ที่บนฟ้ามีร่างๆ หนึ่งพุ่งทะยานออกมาพร้อมเสียง
“แม่นางเหม่เม๋!!”
“เป็นแม่นางเหม่เม๋จริงๆ เจ้าของฉายาปวยไล้ปวยขื่อ (บัดเดี๋ยวมา บัดเดี๋ยวไปแล้ว)”
“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง” แม่น่างเหม่เม๋ทะยานลงสู่พื้นในท่าย่อเข่าข้างหนึ่งไว้ที่พื้น ใบหน้าและแขนขาทั้งสี่ ยังมีผ้าพันแผลพันธนาการโดยรอบ
“ข้าเป็นผู้ที่เพลี่ยงพล้ำต่อท่านทั้งสองมาโดยราบคาบก่อนหน้านี้ จึงสมควรเป็นผู้ชี้ขาด เพราะข้าย่อมไม่ถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นอน”
“กล่าวได้ดี มีเหตุผล สมควรแล้ว” ต่ายจื้ออิงประสานมือคารวะ หม่าหลินก็ทำเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า ทั้งสองยอมรับการชี้ขาดของแม่นางเหม่เม๋
“การประลองเริ่มต้น ณ บัดนี้..นี้..นี้” แม่นางเหม่เม๋ประกาศจบก็มีเสียงไอกระแอมออกมา มีโลหิตปะปนออกมาเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของนางยังมิทุเลาไปเลยจริงๆ
ทันทีที่เสียงประกาศจบลง หม่าหลินก็ทะยานขึ้นฟ้า ชิงซัดมีดสั้นคู่นั้นเข้าใส่ต่ายจื้ออิงโดยมิให้ทันตั้งตัว เสียงมีดแหวกลมเพียงฟ็วเดียว ต่ายจื้ออิงมิทันระวัง ถูกปลายแหลมของมีดสั้นด้ามหนึ่งเสียบเข้าที่หัวไหล่ถึงกับทรุดตัวลง
หม่าหลินมิรอช้า ตามเข้าไปหมายเผด็จศึกในเพลงเดียว แต่ก็ต้องชะงัก ตีลังกาม้วนหลังกลับมา
เพราะเมื่อต่ายจื้ออิงทรุดนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ก็เบ่งลมปราณได้แล้ว ใช้วิชาทุเรียนหมอนทองเบ่งให้มีดปลายแหลมกระเด้งผลุงออกมาราวกับถูกสปริงดีด บาดแผลที่มีเลือดไหลซิบๆ ค่อยๆ สมานตัว และหายไปเป็นปลิดทิ้ง หม่าหลินรวมทั้งชาวยุทธต่างอุทานกันเป็นเสียงเดียว เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มิเคยพานพบ
แม่นางเหม่เม๋ถึงกับหลับตาปี๋
“เดชะบุญนะ ที่เราตกรอบไปก่อน” แม่นางเหม่เม๋รำพึงเบาๆ ในลำคอ มิประสงค์จะให้ผู้ใดได้ยิน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นไง ตะลึงเลยสิ คราวนี้ถึงทีของข้าบ้าง” ต่ายจื้ออิงเห็นคู่ต่อสู้อยู่ในอาการยืนก็ไม่ได้ นั่งก็ยังลำบากเช่นนั้นก็รีบทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ชูกระบี่ในมือขึ้นแล้วจ้วงลงมาอย่างรวดเร็ว
เฟี้ยวววววว....!!!!!!
เร็วประหนึ่งลมเพชรหึงที่หวนกลับ แม้นใครพยายามจ้องมอง ก็เห็นเป็นเพียงควันจางๆ พุ่งเป็นสายไปเท่านั้น
แต่ก่อนที่กระบี่จะถึงลำคอของหม่าหลิน ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามลั่นออกมา ผู้คนต่างก็ปิดหูกันหมด เด็กเล็กๆ พากันร้องกระจองอแง
“อ๊า..อ๊ากกกกกกกกก”
เป็นเสียงคำรามของหม่าหลิน กับไม้ตายท่า “หงู๊ไอ๊ซี่เซีย” ทำเอาต่ายจื้ออิงต้องหยุดชะงัก เพื่อเอานิ้วมาอุดหู
เสียงคำรามในระยะใกล้ๆ ส่งพิษร้ายให้ถึงตับไตไส้พุง ต่ายจื้ออิงซวนเซไปมา มือข้างหนึ่งกุมหน้า อีกข้างหนึ่งกุมที่ท้อง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เคยโดนมาแล้วยังมิรู้พิษสงของมันอีกหรือ” หม่าหลินเหมือนย่ามใจ ชูมีดสั้นคู่ในมือขึ้นหมายช่วงชิงโอกาสทอง จ้วงแทงมิให้ตั้งตัว
แต่ต่ายจื้ออิงยังมีสติอยู่ พิษของหงู๊ไอ๊ซี่เซียอาจทำร้ายผู้อื่นได้หนึ่งเพลา แต่ใช้กับต่ายจื้ออิงได้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
ต่ายจื้ออิงเพียงยกกระบี่ขึ้น ชี้ออกไปเบื้องหน้า รอร่างของหม่าหลินทะยานเข้ามาหา มีดคู่ของหม่าหลินจ่อที่ซี่โครงทั้งสองข้างของต่ายจื้ออิง แต่กระบี่ของต่ายจื้ออิงก็จ่อเข้าที่คอหอยของหม่าหลินในขณะเดียวกัน
ทั้งสองร่างหยุดชะงักกันอยู่ในท่านั้นนานชั่วอึดใจ ต่างมิมีใครตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจที่สาดใส่กันเฉกเช่นกาต้มน้ำร้อนเท่านั้น
“มีดสั้นของเจ้าอาจทำให้ข้าบาดเจ็บ แต่ก็เพียงชายโครง หากแต่ลำคอของเจ้าจะถูกกระบี่นี้เจาะทะลุไปถึงท้ายทอย เจ้าจงเลือกเอาเถิด” ต่ายจื้ออิงกล่าวทำลายความเงียบงัน ตาถลึงมิกระพริบ
หม่าหลินกัดริมฝีปากล่างของนางจนโลหิตไหลออกมาเป็นสายที่มุมปาก มือที่กุมมีดสั้นทั้งสองคลายลงช้าๆ หล่อนยังใคร่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกตราบเท่านาน
“หยุด..! การประลองสิ้นสุดลงไปแล้ว ต่ายจื้ออิงคือผู้ชนะ” แม่นางเหม่แม๋ประกาศออกมาดังลั่น ก่อนจะกลับมากระแอมไอดังเดิม
เจ้าเมืองแห่งเกาะซิงกาโปมอบรางวัล 3 พันชั่ง 3 พันตำลึง ให้กับต่ายจื้ออิง พร้อมบัลลังก์เจ้ายุทธภพให้ครอบครองนานหนึ่งปี การประลองยุทธชิงเจ้ายุทธภพแห่งเกาะซิง็ได้จบสิ้นลงด้วยประการฉะนี้
**นางสิงห์เจ้ายุทธจักร ตอน ศึกชิงบัลลังก์เกาะซิงกาโปของแม่นางต่ายจื้ออิง และ แม่นางหม่าหลิน**
ลานกว้างที่กำหนดให้เป็นสนามประลองเพลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนชาวซิงกาโปและชาวยุทธที่เดินทางมาจากหลายแห่งทั่วยุทธภพเพื่อเป็นสักขีพยานการชิงตำแหน่งนางสิงห์เจ้ายุทธจักร ณ บัลลังก์แห่งนี้
เมื่อถึงเวลานัดหมายก็นวยนาดออกมาจากถ้ำเก็บตัว เป็นโกวเนี้ยทั้งสองนางนี้จริงๆ.....แม่นางต่ายจื้ออิง กระบี่มือหนึ่งของยุทธภพจากสำนักดอกเหมยฮัว และแม่นางหม่าหลิน ฉายา หงู๊ ไอ๊ซี่ เซีย (เสียงคำรามของควายถูกเชือด) จากสำนักหลี่ไห่หงู๊ (กระทิงดุ)
“เจ้านี่เอง!”
“เป็นเจ้าอีกแล้ว!”
เสียงทักทายของแม่นางทั้งสองดูเหมือนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“บาดแผลคราที่แล้ว เจ้ายังมิเข็ดหลาบ” แม่นางต่ายทักขึ้นก่อน มียิ้มสะแหยะ และชายหางตาประกอบใบหน้า
“ระงังปากของเจ้าให้ดีเถอะ เสร็จศึกนี้แล้ว อาจมิได้กลับไปดูดชาไข่มุกที่สำนักเป็นที่สำราญได้ดั่งเคย” แม่นางหม่าหลินก็มิได้ยอมกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างสะบัดหางม้าใส่กันแล้ว ทั้งสองโกวเนี้ยในวัยไล่เลี่ยก็ถอดชุดคลุมออก พลันที่เห็นคู่ประลองเผยโฉมภายใต้เสื้อคลุมออกมา หม่าหลินถึงกับอุทาน..
“จะ..เจ้า เจ้าไปทำอะไรมา!!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะลึงล่ะสิ ร่างของข้าแปรเปลี่ยนเป็นร่างที่สามแล้ว” ต่ายจื้ออิงหัวเราะลั่น เบ่งร่างโชว์ กล้ามเนื้อเป็นประกายแวววับ
“เจ้าสำเร็จวิชาทุเรียนหมอนทองทั้งสี่ตั้งแต่เมื่อไร”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตอนเดินทางผ่านไท่ก๊ก ข้าได้สัมผัสกับตำราทุเรียนหมอนทอง และนำมาฝึกปรือจนได้ผลอย่างที่เห็น”
วิชาทุเรียนหมอนทองเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาอันเป็นที่หมายปองของชาวยุทธทุกเพศทุกวัย ปกติมิได้เป็นความใฝ่ฝันของจอมยุทธหญิง หาคนฝึกจนขึ้นรูปได้ยากยิ่ง แต่วันนี้ ภาพของต่ายจื้ออิง มีพูของทุเรียนทั้งสี่ปรากฏให้เห็นบนหัวไหล่ทั้งสองและน่องที่ปูดปูน
หม่าหลินแม้ยังมิได้ปะมือแต่ก็มีหยดเหงื่อผุดออกมาจากขมับทั้งสองข้างแล้ว ลำพังฝีมือของต่ายจื้ออิงร่างเดิมก็รับมือได้ยากยิ่งอยู่แล้ว มาได้เคล็ดวิชาทุเรียนหมอนทองจากไท่ก๊ก ซึ่งถือเป็นสุดยอดเวิชา ยิ่งทำให้นางกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานจริงๆ
หม่าหลินพยายามเบือนความคิดไปทางอื่นเสีย ไพล่หาเรื่องคุยไปเรื่อยเพื่อหาจุดอ่อน
“หึ หึ เจ้ายังคงใส่ชุดของพี่ชายมาลงสนาม” หม่าหลินอมยิ้ม อาภรณ์ของต่ายจื้ออิงนับว่าไม่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ยังคงเอกลักษณ์อาภรณ์สมัยราชวงศ์หมิงอยู่ ประหนึ่งสวมชุดกางเกงนอนปานนั้น
“เจ้าก็ยังคงใส่ชุดกระโปรงของน้องสาวเช่นเดิม” ต่ายจื้ออิงตอกกลับอย่างเจ็บแสบ ทำเอาหม่าหลินหันมามองตาขวาง ชุดของนางนับว่าปราดเปรียวและล้ำยุคที่สุดแล้ว มิใยว่ามันจะคับติ้วไปสักหน่อย
“อย่าเสียเวลาสาวหาวเลย มาประลองกันเลยดีกว่า” หม่าหลินกระโดดขึ้น ชักมีดสั้นคู่ ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายออกมาร่ายรำ
“เดี๋ยว!!” ต่ายจื้ออิงยกมือขึ้นปราม “เราต้องหาผู้เป็นกลางมาตัดสินชี้ขาดก่อน มิเช่นนั้น ชนะไปอาจมิกลายเป็นแพ้” ต่ายจื้ออิงกล่าว
“ใครล่ะจะเป็นผู้ชี้ขาด”
“ข้าเอง” ที่บนฟ้ามีร่างๆ หนึ่งพุ่งทะยานออกมาพร้อมเสียง
“แม่นางเหม่เม๋!!”
“เป็นแม่นางเหม่เม๋จริงๆ เจ้าของฉายาปวยไล้ปวยขื่อ (บัดเดี๋ยวมา บัดเดี๋ยวไปแล้ว)”
“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง” แม่น่างเหม่เม๋ทะยานลงสู่พื้นในท่าย่อเข่าข้างหนึ่งไว้ที่พื้น ใบหน้าและแขนขาทั้งสี่ ยังมีผ้าพันแผลพันธนาการโดยรอบ
“ข้าเป็นผู้ที่เพลี่ยงพล้ำต่อท่านทั้งสองมาโดยราบคาบก่อนหน้านี้ จึงสมควรเป็นผู้ชี้ขาด เพราะข้าย่อมไม่ถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นอน”
“กล่าวได้ดี มีเหตุผล สมควรแล้ว” ต่ายจื้ออิงประสานมือคารวะ หม่าหลินก็ทำเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า ทั้งสองยอมรับการชี้ขาดของแม่นางเหม่เม๋
“การประลองเริ่มต้น ณ บัดนี้..นี้..นี้” แม่นางเหม่เม๋ประกาศจบก็มีเสียงไอกระแอมออกมา มีโลหิตปะปนออกมาเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของนางยังมิทุเลาไปเลยจริงๆ
ทันทีที่เสียงประกาศจบลง หม่าหลินก็ทะยานขึ้นฟ้า ชิงซัดมีดสั้นคู่นั้นเข้าใส่ต่ายจื้ออิงโดยมิให้ทันตั้งตัว เสียงมีดแหวกลมเพียงฟ็วเดียว ต่ายจื้ออิงมิทันระวัง ถูกปลายแหลมของมีดสั้นด้ามหนึ่งเสียบเข้าที่หัวไหล่ถึงกับทรุดตัวลง
หม่าหลินมิรอช้า ตามเข้าไปหมายเผด็จศึกในเพลงเดียว แต่ก็ต้องชะงัก ตีลังกาม้วนหลังกลับมา
เพราะเมื่อต่ายจื้ออิงทรุดนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ก็เบ่งลมปราณได้แล้ว ใช้วิชาทุเรียนหมอนทองเบ่งให้มีดปลายแหลมกระเด้งผลุงออกมาราวกับถูกสปริงดีด บาดแผลที่มีเลือดไหลซิบๆ ค่อยๆ สมานตัว และหายไปเป็นปลิดทิ้ง หม่าหลินรวมทั้งชาวยุทธต่างอุทานกันเป็นเสียงเดียว เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มิเคยพานพบ
แม่นางเหม่เม๋ถึงกับหลับตาปี๋
“เดชะบุญนะ ที่เราตกรอบไปก่อน” แม่นางเหม่เม๋รำพึงเบาๆ ในลำคอ มิประสงค์จะให้ผู้ใดได้ยิน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นไง ตะลึงเลยสิ คราวนี้ถึงทีของข้าบ้าง” ต่ายจื้ออิงเห็นคู่ต่อสู้อยู่ในอาการยืนก็ไม่ได้ นั่งก็ยังลำบากเช่นนั้นก็รีบทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ชูกระบี่ในมือขึ้นแล้วจ้วงลงมาอย่างรวดเร็ว
เฟี้ยวววววว....!!!!!!
เร็วประหนึ่งลมเพชรหึงที่หวนกลับ แม้นใครพยายามจ้องมอง ก็เห็นเป็นเพียงควันจางๆ พุ่งเป็นสายไปเท่านั้น
แต่ก่อนที่กระบี่จะถึงลำคอของหม่าหลิน ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามลั่นออกมา ผู้คนต่างก็ปิดหูกันหมด เด็กเล็กๆ พากันร้องกระจองอแง
“อ๊า..อ๊ากกกกกกกกก”
เป็นเสียงคำรามของหม่าหลิน กับไม้ตายท่า “หงู๊ไอ๊ซี่เซีย” ทำเอาต่ายจื้ออิงต้องหยุดชะงัก เพื่อเอานิ้วมาอุดหู
เสียงคำรามในระยะใกล้ๆ ส่งพิษร้ายให้ถึงตับไตไส้พุง ต่ายจื้ออิงซวนเซไปมา มือข้างหนึ่งกุมหน้า อีกข้างหนึ่งกุมที่ท้อง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เคยโดนมาแล้วยังมิรู้พิษสงของมันอีกหรือ” หม่าหลินเหมือนย่ามใจ ชูมีดสั้นคู่ในมือขึ้นหมายช่วงชิงโอกาสทอง จ้วงแทงมิให้ตั้งตัว
แต่ต่ายจื้ออิงยังมีสติอยู่ พิษของหงู๊ไอ๊ซี่เซียอาจทำร้ายผู้อื่นได้หนึ่งเพลา แต่ใช้กับต่ายจื้ออิงได้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
ต่ายจื้ออิงเพียงยกกระบี่ขึ้น ชี้ออกไปเบื้องหน้า รอร่างของหม่าหลินทะยานเข้ามาหา มีดคู่ของหม่าหลินจ่อที่ซี่โครงทั้งสองข้างของต่ายจื้ออิง แต่กระบี่ของต่ายจื้ออิงก็จ่อเข้าที่คอหอยของหม่าหลินในขณะเดียวกัน
ทั้งสองร่างหยุดชะงักกันอยู่ในท่านั้นนานชั่วอึดใจ ต่างมิมีใครตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจที่สาดใส่กันเฉกเช่นกาต้มน้ำร้อนเท่านั้น
“มีดสั้นของเจ้าอาจทำให้ข้าบาดเจ็บ แต่ก็เพียงชายโครง หากแต่ลำคอของเจ้าจะถูกกระบี่นี้เจาะทะลุไปถึงท้ายทอย เจ้าจงเลือกเอาเถิด” ต่ายจื้ออิงกล่าวทำลายความเงียบงัน ตาถลึงมิกระพริบ
หม่าหลินกัดริมฝีปากล่างของนางจนโลหิตไหลออกมาเป็นสายที่มุมปาก มือที่กุมมีดสั้นทั้งสองคลายลงช้าๆ หล่อนยังใคร่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกตราบเท่านาน
“หยุด..! การประลองสิ้นสุดลงไปแล้ว ต่ายจื้ออิงคือผู้ชนะ” แม่นางเหม่แม๋ประกาศออกมาดังลั่น ก่อนจะกลับมากระแอมไอดังเดิม
เจ้าเมืองแห่งเกาะซิงกาโปมอบรางวัล 3 พันชั่ง 3 พันตำลึง ให้กับต่ายจื้ออิง พร้อมบัลลังก์เจ้ายุทธภพให้ครอบครองนานหนึ่งปี การประลองยุทธชิงเจ้ายุทธภพแห่งเกาะซิง็ได้จบสิ้นลงด้วยประการฉะนี้