ประสบการณ์เรียนมวยไทยเพื่อสุขภาพแต่ได้รอบเอวที่ลดลงเป็นของแถม

สวัสดีค่า วันนี้เรามีประสบการณ์เรียนมวยไทยมาแบ่งปันให้ทุกท่าน โดยเฉพาะคนที่กำลังสนใจจะเริ่มเรียนนะคะก่อนอื่นขอเล่าพื้นเพขอเราคล่าวๆนะคะ เราเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมด๊าธรรมดาอายุก็เข้าเลขสามแล้ว ไม่ค่อยได้ออกกำลัง มีโรคประจำตัวคือภูมิแพ้ทั้งปีทั้งชาติ เหนื่อยง่าย เป็นคนผอมที่มีพุงและต้นขาเป็นแหล่งสะสมของไขมันชั้นดี เราเป็นคนกินเยอะ ยิ่งกินเท่าไหร่มันก็ไปกองตรงช่วงล่างหมด กองเยอะขึ้นๆ จนกางเกงต้องขยับไซส์เป็นไซส์แอลในขณะที่เสื้อยังเป็นไซส์เอส 555

จนมาถึงเดือนธันวา 2559 เราเริ่มรู้สึกไม่ไหวกับตัวเอง เราอยากเปลี่ยนค่ะ เราไม่อยากมีพุง เราไม่อยากเป็นคนผอมที่ต้นขาเต็มไปด้วยเซลลูไลท์ และที่สำคัญที่สุด เราอยากแข็งแรงค่ะ จึงตั้งมั่นกับตัวเองว่าปี2560 นี้เราจะออกกำลังกายมากขึ้น ก็เลยได้ฤกษ์หาการออกกำลังที่เหมาะกับเราที่สุด ตัดตัวเลือกออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็สรุปว่าจะเรียนมวยไทย ด้วยเหตุผลก็คือ ได้ออกกำลังทุกส่วน เป็นการออกกำลังที่หนักน่าจะทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นบ้าง แล้วก็ไม่น่าจะทำให้เราเบื่อได้ง่ายๆเพราะเป็นอะไรที่ต้องแอคทีพตลอด

เราตัดสินใจหาที่สอนมวยไทยที่ใกล้บ้านที่สุด คือย่านสุขุมวิท ไปดูสถานที่จริง ราคารับได้ไม่โหดร้ายต่อกระเป๋าสตางค์ แล้วก็สมัครเรียนทันทีค่ะ เรียนแบบเป็นกลุ่ม แต่ที่ที่เราเรียนจะเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆนะคะ ไม่เกิน 8 คน เริ่มเรียนมกรา 2560 โดยวันแรกที่ไปก็เลิกงานเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปเรียนเลยไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไปถึงครูก็จะให้ยืดเส้นยืดสาย วิ่ง กระโดดเชือก ซิทอัพ สควอท แพงค์ ฯลฯประมาณครึ่งชั่วโมงได้ สำหรับเราคือเหนื่อยมากกก น้ำตาจะไหล 555 จากนั้นคุณครูก็จะพันมือให้ สอนการออกอาวุธต่างๆของมวยไทย โดยครูทำเป็นตัวอย่าง คุณครูก็ใจดีค่ะ ใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นก็ฝึกกับกระสอบ โดยมีครูดูอย่างใกล้ชิด แล้วก็ถึงเวลาฝึกตัวต่อตัวกับคุณครูค่ะ ครูล่อเป้าให้เราก็ออกอาวุธตามที่ครูบอก ถ้าทำอะไรไม่ถูกครูก็จะแก้ให้ค่ะ ซึ่งเราเตะไม่ค่อยจะได้ ครูให้บิดเอวบิดสะโพกตอนเตะทำยังไงๆก็ไม่ค่อยจะถูก T^T โดยการฝึกตัวต่อตัวกับครูจะฝึกทั้งหมดสามยก แต่ละยกก็ขั้นด้วยการกระโดดตบและซิทอัพค่ะ จบหนึ่งคลาสเราแทบตาย สาหัสมากกสำหรับคนไม่ออกกำลังอย่างเรา เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ กลับบ้านไปสลบเลย แต่ที่วิเศษที่สุดคือตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแบบสดชื่นมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ว่าตัวจะระบมไปหมด หน้าแข้งจะม่วง แต่เหมือนมันโล่งง โปร่งสบาย(เว่อร์ไปมั๊ย 555) รู้สึกดีจริงๆ จากวันนั้นมามันคือจุดเปลี่ยนค่ะ เราติดต้องออกกำลัง วันไหนไม่ได้เตะไม่ได้ต่อยมันเหมือนขาดอะไรไป กลายเป็นทาสมวยอย่างจริงจังเลยก็ว่าได้


ช่วงแรกๆขาม่วงจนเป็นเรื่องปกติ หุหุ

จากนั้น เรียนได้ประมาณสามเดือน เราลองไปเรียนที่ค่ายมวยย่านรัชดาดูค่ะ ไปเรียนเป็นครั้งคราวช่วงเสาร์อาทิตย์ ไม่ใช่ว่าที่ที่เรียนอยู่ไม่ดีนะคะ เราอยากลองว่าการเรียนการสอนจะต่างกันมากมั๊ย โดยเมื่อไปถึงที่ค่าย ครูก็ให้ยืดเส้น ยืดสาย วิ่งยี่สิบรอบ จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง จับคู่ชกกับครูเลยค่า คุณครูที่นี่ก็ดีมากๆเหมือนกัน สอนให้ออกท่าทางให้ถูก ที่นี่ให้ฝึกกับครูประมาณห้ายกได้ อยากจะบอกว่า เหนื่อยสาหัสมากๆจริงๆ เพราะเน้นออกอาวุธอย่างต่อเนื่อง และด้วยความที่เราเป็นคนขี้ร้อน และที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เราเลยรู้สึกหมดแรงอย่างรวดเร็วค่ะ แต่สำหรับคนที่อยากฝึกมวยอย่างจริงจังนี่เราแนะนำเลย

ถึงวันนี้ก็สี่เดือนพอดีค่ะที่ได้เรียนมวยไทย สิ่งที่เราได้รับก็คือ เรารู้สึกได้เลยว่าเราแข็งแรงขึ้นเยอะมากๆๆ เราไม่ค่อยป่วยแล้วว อาการภูมิแพ้หายไปประมาณ 80%ได้ หลับสนิททุกคืน ขับถ่ายเป็นปกติดีขึ้นมากก (อันนี้ไม่รู้เกี่ยวมั๊ย) ไม่ปวดท้องประจำเดือนเลย แล้วที่ที่เป็นของแถมคือเอวเล็กลงสองนิ้ว มีซิกแพคลางๆ ต้นขาเฟิร์มขึ้นอย่างชัดเจน เซลลูไลท์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคนรอบข้างเริ่มบอกว่าหน้าตาเราดูสดใสขึ้น คือต้องบอกว่าถ้าเราไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเองวันนั้น ก็คงไม่มีเราวันนี้เหมือนกัน ต้องขอบคุณมวยไทย และคุณครูมวยไทยทุกท่าน ที่ทำให้ผู้หญิงอ่อนแอๆคนนึงแข็งแรงขึ้นได้มากขนาดนี้ จะเรียนมวยไทยต่อไปเรื่อยๆแน่นอนค่ะ

ใครที่คิดอยากออกกำลัง ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพหรือเพื่อลดน้ำหนัก เราแนะนำเลยนะคะว่าให้เริ่มเลย เลือกออกกำลังแบบไหนก็ได้ที่เหมาะกับตัวคุณเองที่สุด ถ้ามัวแต่คิดว่าจะเริ่ม เพราะถ้าคุณไม่เริ่มก็จะไม่มีผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่