ทฤษฎีมิติต่างๆ

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอบอก่อนว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นได้เอง และผ่านการวิเคราะห์กลั่นกรองด้วยตัวเอง ดังนั้น ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ผมเพียงต้องการจะแชร์ความคิดให้ทุก ๆ คนได้รับทราบ และอยากพัฒนาแนวคิดตัวเองด้วยคำวิจารณ์ของคนอื่นด้วยครับ
    เริ่มด้วยคำพูดที่ผมตกผลึกมาว่า "โลกจะเป็นไปตามที่เราคิด" นั่นจะแปลว่าปรากฎการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับแค่เราคนเดียว ต่อมา ทุกคนน่าจะทราบกันดีว่าเราทุกคนอยู่ในโลก 3 มิติ นั่นคือมีความกว้าง ความยาว ความสูงหรือความลึก แต่ทำไมเราถึงทราบว่าแก้วน้ำที่อยู่ในมือก่อนที่จะตกแตก กับแก้วน้ำที่แตกไปแล้ว เป็นแก้วใบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มันมีหน้าตาและรูปร่างไม่เหมือนกันเลย ถ้ายึดตามทฤษฎีผม มันเป็นเพราะเกิดการเพิกเฉยของมิติที่ต่ำกว่าต่อมิติที่สูงกว่า ใจเย็น ๆ เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟัง
    ถ้านำสิ่งของวางเยื้องกัน เวลามองจากด้านบน จะเห็นระยะห่างยาวเป็นเส้นทแยงมุม แต่เมื่อเรามองวัตถุสองชิ้นนี้ด้วยมุมมองจากด้านหน้า เราจะเห็นว่ามันห่างกันเป็นเส้นตรง ที่สั้นกว่าระยะจากมุมมองด้านบนเสมอ นั่นคือการเพิกเฉยของมิติที่ต่ำกว่าต่อมิติที่สูงกว่า ในที่นี้คือ มิติที่ 2 เพิกเฉยต่อ มิติที่ 3 ตามผมทันนะครับ
    เมื่อใช้กฎนี้กับการรับรู้เวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มาในมิติที่ 4 ทำให้วัตถุใน 3 มิติทุกอย่าง จะเพิกเฉยต่อเวลา นั่นคือไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ วัตถุก็ยังเป็นชิ้นเดิม หรือตามทฤษฎีที่มีคนกล่าวว่า "สสารไม่มีวันสูญหาย" เนื่องจากมันเพิกเฉยต่อความต่างเวลาในมิติที่ 4 นั่นเอง แต่สิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมิติที่ 3 เพิกเฉยต่อเวลา แล้วความคิดเราทำไมสามารถคิดถึงอดีตที่เคยผ่านมา หรือคิดไปถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ โดยอยู่เหนือกาลเวลา นั่นทำให้ผมสรุปง่าย ๆ ว่า "จิตใจกับร่างกายไม่ไดอยู่ในมิติเดียวกัน" ถึงตรงนี้ถ้ามันตรงกับหลักธรรมละก็ บอกก่อนว่าผมนับถือศาสนาตามบัตรประชาชนเท่านั้น เข้าใจตรงกันนะ
    คำถามต่อมา "แล้วจิตใจเราอยู่ในมิติไหนละ" ก็บอกก่อนเลยว่า มันอยู่ในมิติที่ 6 ครับ เราจะไปอย่างช้า ๆ ทุกคนตามทันนะครับ
    เรารู้แล้วว่ามิติที่ 4 คือมิติของเวลา แต่มิตินี้จะมีเพียงอดีตและอนาคต เหมือนกันการนำเหตุกาณ์ต่าง ๆ มาเรียงเป็นเส้นตรง ทางซ้ายเป็นอดีต ทางขวาเป็นอนาคต แต่เราจะเห็นเพียงเหตุการณ์เดียว ไม่ว่าจะกลับไปกี่ครั้ง ก็จะเห็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะไปอนาคตกี่ครั้ง ก็จะเห็นเหมือนเดิม นั่นเพราะมันเพิกเฉยต่อความต่างของโลกคู่ขนานซึ่งเป็นมิติที่ 5 นั่นเอง หรือก็คือมิติที่ 5 เป็นโลกแห่งทางเลือกและตัดสินใจ ถ้าเราอยู่ในมิติที่ 5 เราจะเห็นอดีตที่เคยเป็นและอนาคตที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดของทุก ๆ การตัดสินใจ ถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่า เรายังสามารถคิดถึงผลที่จะตามมาของการกระทำของเราได้ คิดถึงสิ่งที่จะเกิดถ้าเราแก้ไขสิ่งที่ทำในอดีต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้ว่าจิตใจเราอยู่เหนือมิติที่ 5 นั่นเอง
    แต่ทั้งหมดทั้งมวล มิติแห่งทางเลือกหรือมิติที่ 5 ก็จะเพิกเฉยต่อความมีตัวตนของมิติที่ 6 ถ้าเราอยู่ในมิติที่ 6 เราจะสามารถเป็นคนอื่นได้ คิดแทนคนอื่นได้ และยังคิดได้ด้วยซ้ำว่าถ้าเราเป็นคนอื่นและทำอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
    ความจริงจิตใจเราอาจจะอยู่ในมิติที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้ ถ้าใครมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถบอกกันได้ครับ
    

    สุดท้ายนี้ถ้าผมผิดพลาดตรงไหนสามารถติดชมได้ครับส่วนสำนวนการเขียน ผมว่ามันยังไม่ค่อยดี จะค่อย ๆ ปรับปรุงไปนะครับ ในที่สงสัยตรงไหน มาคุยกันในคอมเม็นต์ครับ ถ้ามีเวลาจะมาตอบให้ทุกความคิดเห็นเลยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่