บทความนี้เกิดจากการที่ผมไปตอบกระทู้หัวข้อ "มีคำถามคาใจค่ะ เช่น คนที่อยู่ในหน้าร้อนหรือหน้าหนาวจะเผาผลาญดีกว่ากัน"
ของสมาชิกหมายเลข 975226 ซึ่งเอาไปเอามาก็รวมเอาหลาย ๆ อย่างที่ผมพอจะรู้มาเขียนในนี้ ดังนั้นในบทความนี้ก็เป็นเหมือนการท้าทาย เอาสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้มาทุกอย่าง เขียนออกมาตอบคำถามสักคำถามหนึ่งให้ได้ 555 ถือว่าเป็น Challenge ละกันเนาะ ส่งต่อให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านเลยว่า
"ให้ลองอธิบายสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเขียนหรือพูด หรือแม้แต่คิดวิเคราะห์แจกแจงในหัวตัวเอง จากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตนี้ ตอบออกมาให้ได้ ให้ดูน่าเชื่อถือ" --- ให้ดูน่าเชื่อถืออาจจะยาก ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าของผมเองจะน่าเชื่อถือมั้ย 555
ในที่นี้ผมเชื่อว่า อากาศหนาวเผาผลาญดีกว่าครับ เพราะเป็นไปได้ถ้ามีผลวิจัยออกมาผมก็น่าจะเชื่อผลวิจัยมากกว่า อย่าถามว่าผมเอาผลวิจัยมาจากไหน เพราะตาม Google มีเต็มไปหมดเรื่องนี้ ลองไปหาอ่านดู มันก็โยงกับเรื่องการดื่มน้ำเย็นทำให้อ้วนด้วยเหมือนกัน งั้นเราไปอ่านกันเลยดีกว่าว่าทำไมผมถึงตอบซะยาวเหยียดขนาดนี้ แล้วมันจะโยงกับเรื่องอะไรได้บ้าง ลุยๆๆ
ขอพื้นที่นี้อธิบายเหตุผลของการแท๊ก
1.ปัญหาสังคม เนื่องจากว่าบทความนี้ผมเห็นว่าน่าจะสามารถตอบปัญหาบางอย่าง หรืออย่างน้อย ๆ ก็พูดถึงในมุมมองของผมที่ตระหนักได้
2.ปัญหาชีวิต แน่นอนว่าพูดถึงปัญหาสังคม มันก็โยงเข้าปัญหาชีวิตได้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นเส้นตรงแต่เป็นเส้นความสัมพันธ์โยงเข้าหากัน
3.นักเขียน เพราะสิ่งนี้เป็นความคิดเห็นหนึ่ง ก็ไม่น่าจะพ้นนักเขียนที่อาจจะเป็นนักอ่านด้วยในตัวด้วย ก็มาช่วยวิจารณ์กันได้นะครับ
4.โภชนาการ พอดีพูดถึงเรื่อง FastFood และสารคดีชุดหนึ่งด้วย (ชวนดูสารคดีเรื่องนี้ด้วยนะ 555)
5.สุขภาพ แน่นอนที่สุด 555
อย่าลืมไปอ่านความคิดเห็นอื่น ๆ ในอีกกระทู้ที่ผมกล่าวไปด้วยนะครับ เผื่อจะได้อะไรจากที่ผมพูดถึงด้วย
อะนี่ลิงค์เผื่อขี้เกียจ
https://ppantip.com/topic/31507249
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กระทู้นี้นานแล้ว แต่ขอเพิ่มบางอย่างเข้าไปหน่อยนะครับ ตอนแรกผมก็เข้าใจเหมือนกันว่อากาศร้อนจะเผาผลาญพลังงานมากกว่าเหมือนที่หลายๆ คนยืนยันว่าหลังจากไปเมืองหนาวมาก็อ้วน พอมาเมืองไทยนี่ผอมลง
แต่ ผมว่าตอนนี้ผมเชื่องานวิจัยดีกว่าครับ 555 งงเด้ๆ
คืองี้...จากความคิดเห็นของคุณ Single Twice Triple (ความคิดเห็นที่ 4) มันทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจเรื่องอากาศหนาวเผาผลาญดีกว่า บวกกับหลายความคิดเห็นบอกว่า ไป "อเมริกา" ซึ่ง ถ้าใครเคยดูสารคดีเรื่อง SuperSize me จะพบว่าอเมริกาเป็น 1 ในประเทศที่คนอ้วนมากที่สุด เพราะคนที่นั่นนิยมทานอาหาร Fast Food ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารครบก็จริง แต่ก็ไม่สมส่วนกับโภชนาการ
นั่นแปลว่าการที่ไปอยู่อเมริกาแล้วอ้วนขึ้นก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการกิน ดังนั้นอากาศหนาวช่วยเบิร์นแล้ว แต่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ดันกิน FastFood เข้าไปเยอะกว่าตอนอยู่เมืองไทย
เสริม...สำหรับคนที่ไม่ค่อยกิน FastFood อย่าลืมว่าอาหารทั่วไปของที่อเมริกา หรืออาจเป็นประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศซึ่งพัฒนาแล้ว เต็มไปด้วยธุรกิจแบบทุนนิยม บลาๆๆ ซึ่งอาหารอย่างอื่นก็น่าจะใส่อะไรมาเยอะพอควร กล่าวคือ คนที่นั่นก็มีทรัพยากรข้างในประเทศเขาที่ปลูก เลี้ยงเองแล้วก็กินเอง ก็อาจใส่เสริมเพิ่มเข้าไป บวกกับประเทศพวกนี้จะมีนิสัยบริโภคเนื้อสัตว์มากกว่า ซึ่งมีไขมันสูง ไม่น่าแปลกที่จะอ้วนเอาๆ
ทีนี้เราโทษอาหารกันมามากพอแล้ว เรามาโทษตัวเองกันดีกว่า ว่าทำไมไปอยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะตามความคิดเห็นของหลายคนที่บอกว่าไป "อเมริกา" แล้วอ้วน
มันอยู่ที่นิสัยของเราเองด้วยที่อาจเป็นคนไม่ออกกำลังกาย (รวมถึงนิสัยการกินด้วย) อันนี้ไปสังเกตุกันเอง
อ๊ะ! ยังไม่จบนะ นอกจากเรื่องนิสัยของตัวเองแล้วก็ยังมีเรื่องโอกาสในการเข้าถึงสถานที่ออกกำลังกาย หรืออาจจะเข้าถึงแหล่งอาหารดีต่อสุขภาพด้วย เพราะอย่าลืมว่าต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว พื้นที่ก็ถูกเอาไปทำอะไรต่อมิอะไร ดังนั้นสถานที่ออกกำลังกายจะออกมาในรูปของ ฟิตเนส มากกว่าสวนสาธารณะ หรือวิทยาลัยที่มีสนามกีฬา (อิทธิพลของค่านิยมเข้าฟิตเนสก็มีส่วนด้วย) ก็ทำให้ธุรกิจฟิตเนสมากขึ้น และก็ย้อนกลับไปทำให้คนอยากเข้าฟิตเนสมากขึ้น
แล้ว...คนไทยอย่างเราไปที่นั่น เราไปใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เหมือนเมืองไทยได้ซะที่ไหนล่ะ หลายคนก็ไปทำธุระแปปๆ ก็ไม่ได้มีเวลาออกกำลังกายหรอก บางคนไปยาวก็ไม่ได้แปลว่าจะมีเงินทุ่มให้กับธุรกิจฟิตเนส ที่เหลือก็จะเป็นคนที่พร้อมจริงๆ มีทุนจริงๆ ไม่ว่าจะทำงานหรือรวยอยู่แล้ว ถึงจะได้มีโอกาสได้ออกกำลังกาย
แล้วถ้าพูดถึงโอกาสในการเข้าถึงแหล่งอาหารดี แน่นอนว่าอะไรที่อยู่เอเชียจะแพง เอาใหม่ๆ พืชพรรณดีๆส่วนใหญ่ขึ้นในอากาศร้อน นั่นหมายถึงแถบเอเชีย ไม่แปลกที่ผักผลไม้ที่นั่นจะแพงมาก แต่ก็ยังมีทางเลือกคือกินของท้องถิ่นมี่นั่นซะเลยจะถูกกว่า
ปล. อย่าลืมว่านิสัยในการรับประทาน FastFood ธุรกิจ FastFood ที่เพิ่มขึ้นก็มีผลต่อกัน ช่วยกันสร้างลักษณะค่านิยมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (เรื่องนี้ถ้าอธิบายจะยาวมาก เพราะมันรวมเรื่องของสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน เอาเป็นว่ารู้แค่นี้พอเนาะ ข้ามๆ 555)
เอาล่ะ เดินทางกับเรื่องเล่ามาพอสมควรแล้ว ทีนี้ผมอยากให้เรามาสังเกตุที่ประเทศเรา กับการเข้ามาของวัฒนธรรมต่างชาติ และเน้นเรื่องอิทธิพลของมหาอำนาจ กับอุตสาหกรรม เราจะพบว่าเราก็เริ่มไม่ได้ต่างอะไรจากประเทศเหล่านั้นแล้ว (ไม่ได้ชาตินิยมนะที่ว่าประเทศเราดี - ดักจ่ะ อิอิ) คือ เราก็เริ่มมี FastFood ระบบอุตสาหกรรม มากขึ้น ซึ่งเรื่องอุตสาหกรรม ค่อนข้างยาวถ้าจะอธิบายในมุมของผม เพราะมันจะรวมเอาเรื่องเสรีนิยม ทุนนิยม ชาติมหาอำนาจ บลาๆๆ เยอะมาก เอาเป็นว่าข้าม แต่จะทิ้งไว้ตรงนี้ว่า ระบบอุตสาหกรรม กับเสรีนิยมทุนนิยม มันไม่ได้ดีสวยงามเหใือนที่เคลมกันไว้หรอก มันเป็น สารเคมีอันตราย ทั้งความหมายโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งถ้าจะให้ไม่เอาเลยก็ไม่ได้อีก ทำยากมาก (นี่จะปาเข้าเรื่องระบบการเกษตรไปด้วยเดี๋ยวเยอะ) ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียนั่นแหละครับ แต่ด้วยความโลภของมนุษย์ เราก็เลยทำร้ายคนอื่นแบบ ตายผ่อนส่ง ไป คือค่อยๆตายทีละนิด เลยไม่แปลกว่าเราจะมี มะเร็ง เป็นเพื่อนรักเรากันทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งเรื่องแบบนี้มันคือทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องอาหารที่จะทำให้เราตายผ่อนส่งหรอก
ลองกลับมาคิดดูกันนะครับว่าตอนนี้เมืองไทยเราได้รับอิทธิพลอะไรมาบ้าง อยู่เมืองไทยตอนนี้ต่อไปจนในอนาคต ก็คงไม่ผอมลง ถ้าเราซึมซับอิทธิพลคุณลักษณะบางอย่างที่เป็นผลเสียต่อตัวเองมาใช้ แน่นอนว่าเราไม่ได้เกิดมามีความคิดนิสัยได้ด้วยตัวเอง เราต่างถูกหล่อหลอมมาสังคมรอบตัว ดังนั้นบทความคิดเห็นนี้ จะขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ และหล่อหลอมวิธีคิดเสียใหม่ เช่นว่าตอนเราไม่รู้ความคิดใหม่นี้เราไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเรารู้แล้ว เราจะเลือกทำมันรึเปล่า ค่านิยมนิสัยเก่ามันเปลี่ยนยาก แต่มันจะต้องแพ้ค่านิยมใหม่ในสักวัน เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ในทันที่ ยกตัวอย่างเช่น ประเพณีการรับน้อง ซึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนกันได้ปุบปับว่าไม่เอารับน้องแบบรุนแรง แต่มันค่อยๆเปลี่ยน และไม่แน่ว่าในอนาคตรูปแบบของการรับน้องอาจตะสร้างสรรค์ขึ้น อย่างน้อยก็ตัวผมคนหนึ่งที่เห็นแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ดังนั้นตัวคุณก็เหมือนกัน คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองทันทีไม่ได้ เหมือนคนที่อกหักแล้วจะให้มาร้องเพลงลั้นลาก็คงทำไม่ได้
เก็บบทความิดเห็นนี้ไว้ในใจคุณ แล้วมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวคุณ ซึ่งมันเริ่มตั้งแต่คุณอ่านบทความนี้จบ แต่จะมีผลมากกว่าเมื่อคุณตระหนักรู้ตัวว่าบทความคิดเห็นนี้เปิดมุมมองและความคิดของคุณในอีกด้านได้
บ๊ายบาย555
---------------------------------------------------------------------------------------
อ่านเสร็จแล้วมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างมาตอบกันได้นะ แต่ขออย่างเดี๋ยว อย่าด่าแล้วจากไป มันสะเทือนใจ T_T บอกเหตุผลหน่อยก็ดีเนาะ เหมือนผมกลายเป็นเด็กที่โดนผู้ใหญ่ด่า ผู้ใหญ่สั่งสอน บอกทำนู่นทำนี่ แต่ไม่เคยมีเหตุผลประกอบเลย ไอตัวผมเป็นเด็กก็งงเด้ ๆ (FC จิงโจ้ครัช 555) ดังนั้น.......อย่าตอบ What อย่างเดียว ตอบ How ด้วยเซ่ (อัญชุลี วันทา อภิวาท)(3)
อากาศหนาว หรืออากาศร้อนกันแน่ที่เผาผลาญได้ดีกว่ากัน?
ของสมาชิกหมายเลข 975226 ซึ่งเอาไปเอามาก็รวมเอาหลาย ๆ อย่างที่ผมพอจะรู้มาเขียนในนี้ ดังนั้นในบทความนี้ก็เป็นเหมือนการท้าทาย เอาสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้มาทุกอย่าง เขียนออกมาตอบคำถามสักคำถามหนึ่งให้ได้ 555 ถือว่าเป็น Challenge ละกันเนาะ ส่งต่อให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านเลยว่า
"ให้ลองอธิบายสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเขียนหรือพูด หรือแม้แต่คิดวิเคราะห์แจกแจงในหัวตัวเอง จากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตนี้ ตอบออกมาให้ได้ ให้ดูน่าเชื่อถือ" --- ให้ดูน่าเชื่อถืออาจจะยาก ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าของผมเองจะน่าเชื่อถือมั้ย 555
ในที่นี้ผมเชื่อว่า อากาศหนาวเผาผลาญดีกว่าครับ เพราะเป็นไปได้ถ้ามีผลวิจัยออกมาผมก็น่าจะเชื่อผลวิจัยมากกว่า อย่าถามว่าผมเอาผลวิจัยมาจากไหน เพราะตาม Google มีเต็มไปหมดเรื่องนี้ ลองไปหาอ่านดู มันก็โยงกับเรื่องการดื่มน้ำเย็นทำให้อ้วนด้วยเหมือนกัน งั้นเราไปอ่านกันเลยดีกว่าว่าทำไมผมถึงตอบซะยาวเหยียดขนาดนี้ แล้วมันจะโยงกับเรื่องอะไรได้บ้าง ลุยๆๆ
ขอพื้นที่นี้อธิบายเหตุผลของการแท๊ก
1.ปัญหาสังคม เนื่องจากว่าบทความนี้ผมเห็นว่าน่าจะสามารถตอบปัญหาบางอย่าง หรืออย่างน้อย ๆ ก็พูดถึงในมุมมองของผมที่ตระหนักได้
2.ปัญหาชีวิต แน่นอนว่าพูดถึงปัญหาสังคม มันก็โยงเข้าปัญหาชีวิตได้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นเส้นตรงแต่เป็นเส้นความสัมพันธ์โยงเข้าหากัน
3.นักเขียน เพราะสิ่งนี้เป็นความคิดเห็นหนึ่ง ก็ไม่น่าจะพ้นนักเขียนที่อาจจะเป็นนักอ่านด้วยในตัวด้วย ก็มาช่วยวิจารณ์กันได้นะครับ
4.โภชนาการ พอดีพูดถึงเรื่อง FastFood และสารคดีชุดหนึ่งด้วย (ชวนดูสารคดีเรื่องนี้ด้วยนะ 555)
5.สุขภาพ แน่นอนที่สุด 555
อย่าลืมไปอ่านความคิดเห็นอื่น ๆ ในอีกกระทู้ที่ผมกล่าวไปด้วยนะครับ เผื่อจะได้อะไรจากที่ผมพูดถึงด้วย
อะนี่ลิงค์เผื่อขี้เกียจ https://ppantip.com/topic/31507249
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กระทู้นี้นานแล้ว แต่ขอเพิ่มบางอย่างเข้าไปหน่อยนะครับ ตอนแรกผมก็เข้าใจเหมือนกันว่อากาศร้อนจะเผาผลาญพลังงานมากกว่าเหมือนที่หลายๆ คนยืนยันว่าหลังจากไปเมืองหนาวมาก็อ้วน พอมาเมืองไทยนี่ผอมลง
แต่ ผมว่าตอนนี้ผมเชื่องานวิจัยดีกว่าครับ 555 งงเด้ๆ
คืองี้...จากความคิดเห็นของคุณ Single Twice Triple (ความคิดเห็นที่ 4) มันทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจเรื่องอากาศหนาวเผาผลาญดีกว่า บวกกับหลายความคิดเห็นบอกว่า ไป "อเมริกา" ซึ่ง ถ้าใครเคยดูสารคดีเรื่อง SuperSize me จะพบว่าอเมริกาเป็น 1 ในประเทศที่คนอ้วนมากที่สุด เพราะคนที่นั่นนิยมทานอาหาร Fast Food ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารครบก็จริง แต่ก็ไม่สมส่วนกับโภชนาการ
นั่นแปลว่าการที่ไปอยู่อเมริกาแล้วอ้วนขึ้นก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการกิน ดังนั้นอากาศหนาวช่วยเบิร์นแล้ว แต่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ดันกิน FastFood เข้าไปเยอะกว่าตอนอยู่เมืองไทย
เสริม...สำหรับคนที่ไม่ค่อยกิน FastFood อย่าลืมว่าอาหารทั่วไปของที่อเมริกา หรืออาจเป็นประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศซึ่งพัฒนาแล้ว เต็มไปด้วยธุรกิจแบบทุนนิยม บลาๆๆ ซึ่งอาหารอย่างอื่นก็น่าจะใส่อะไรมาเยอะพอควร กล่าวคือ คนที่นั่นก็มีทรัพยากรข้างในประเทศเขาที่ปลูก เลี้ยงเองแล้วก็กินเอง ก็อาจใส่เสริมเพิ่มเข้าไป บวกกับประเทศพวกนี้จะมีนิสัยบริโภคเนื้อสัตว์มากกว่า ซึ่งมีไขมันสูง ไม่น่าแปลกที่จะอ้วนเอาๆ
ทีนี้เราโทษอาหารกันมามากพอแล้ว เรามาโทษตัวเองกันดีกว่า ว่าทำไมไปอยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะตามความคิดเห็นของหลายคนที่บอกว่าไป "อเมริกา" แล้วอ้วน
มันอยู่ที่นิสัยของเราเองด้วยที่อาจเป็นคนไม่ออกกำลังกาย (รวมถึงนิสัยการกินด้วย) อันนี้ไปสังเกตุกันเอง
อ๊ะ! ยังไม่จบนะ นอกจากเรื่องนิสัยของตัวเองแล้วก็ยังมีเรื่องโอกาสในการเข้าถึงสถานที่ออกกำลังกาย หรืออาจจะเข้าถึงแหล่งอาหารดีต่อสุขภาพด้วย เพราะอย่าลืมว่าต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว พื้นที่ก็ถูกเอาไปทำอะไรต่อมิอะไร ดังนั้นสถานที่ออกกำลังกายจะออกมาในรูปของ ฟิตเนส มากกว่าสวนสาธารณะ หรือวิทยาลัยที่มีสนามกีฬา (อิทธิพลของค่านิยมเข้าฟิตเนสก็มีส่วนด้วย) ก็ทำให้ธุรกิจฟิตเนสมากขึ้น และก็ย้อนกลับไปทำให้คนอยากเข้าฟิตเนสมากขึ้น
แล้ว...คนไทยอย่างเราไปที่นั่น เราไปใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เหมือนเมืองไทยได้ซะที่ไหนล่ะ หลายคนก็ไปทำธุระแปปๆ ก็ไม่ได้มีเวลาออกกำลังกายหรอก บางคนไปยาวก็ไม่ได้แปลว่าจะมีเงินทุ่มให้กับธุรกิจฟิตเนส ที่เหลือก็จะเป็นคนที่พร้อมจริงๆ มีทุนจริงๆ ไม่ว่าจะทำงานหรือรวยอยู่แล้ว ถึงจะได้มีโอกาสได้ออกกำลังกาย
แล้วถ้าพูดถึงโอกาสในการเข้าถึงแหล่งอาหารดี แน่นอนว่าอะไรที่อยู่เอเชียจะแพง เอาใหม่ๆ พืชพรรณดีๆส่วนใหญ่ขึ้นในอากาศร้อน นั่นหมายถึงแถบเอเชีย ไม่แปลกที่ผักผลไม้ที่นั่นจะแพงมาก แต่ก็ยังมีทางเลือกคือกินของท้องถิ่นมี่นั่นซะเลยจะถูกกว่า
ปล. อย่าลืมว่านิสัยในการรับประทาน FastFood ธุรกิจ FastFood ที่เพิ่มขึ้นก็มีผลต่อกัน ช่วยกันสร้างลักษณะค่านิยมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (เรื่องนี้ถ้าอธิบายจะยาวมาก เพราะมันรวมเรื่องของสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน เอาเป็นว่ารู้แค่นี้พอเนาะ ข้ามๆ 555)
เอาล่ะ เดินทางกับเรื่องเล่ามาพอสมควรแล้ว ทีนี้ผมอยากให้เรามาสังเกตุที่ประเทศเรา กับการเข้ามาของวัฒนธรรมต่างชาติ และเน้นเรื่องอิทธิพลของมหาอำนาจ กับอุตสาหกรรม เราจะพบว่าเราก็เริ่มไม่ได้ต่างอะไรจากประเทศเหล่านั้นแล้ว (ไม่ได้ชาตินิยมนะที่ว่าประเทศเราดี - ดักจ่ะ อิอิ) คือ เราก็เริ่มมี FastFood ระบบอุตสาหกรรม มากขึ้น ซึ่งเรื่องอุตสาหกรรม ค่อนข้างยาวถ้าจะอธิบายในมุมของผม เพราะมันจะรวมเอาเรื่องเสรีนิยม ทุนนิยม ชาติมหาอำนาจ บลาๆๆ เยอะมาก เอาเป็นว่าข้าม แต่จะทิ้งไว้ตรงนี้ว่า ระบบอุตสาหกรรม กับเสรีนิยมทุนนิยม มันไม่ได้ดีสวยงามเหใือนที่เคลมกันไว้หรอก มันเป็น สารเคมีอันตราย ทั้งความหมายโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งถ้าจะให้ไม่เอาเลยก็ไม่ได้อีก ทำยากมาก (นี่จะปาเข้าเรื่องระบบการเกษตรไปด้วยเดี๋ยวเยอะ) ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียนั่นแหละครับ แต่ด้วยความโลภของมนุษย์ เราก็เลยทำร้ายคนอื่นแบบ ตายผ่อนส่ง ไป คือค่อยๆตายทีละนิด เลยไม่แปลกว่าเราจะมี มะเร็ง เป็นเพื่อนรักเรากันทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งเรื่องแบบนี้มันคือทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องอาหารที่จะทำให้เราตายผ่อนส่งหรอก
ลองกลับมาคิดดูกันนะครับว่าตอนนี้เมืองไทยเราได้รับอิทธิพลอะไรมาบ้าง อยู่เมืองไทยตอนนี้ต่อไปจนในอนาคต ก็คงไม่ผอมลง ถ้าเราซึมซับอิทธิพลคุณลักษณะบางอย่างที่เป็นผลเสียต่อตัวเองมาใช้ แน่นอนว่าเราไม่ได้เกิดมามีความคิดนิสัยได้ด้วยตัวเอง เราต่างถูกหล่อหลอมมาสังคมรอบตัว ดังนั้นบทความคิดเห็นนี้ จะขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ และหล่อหลอมวิธีคิดเสียใหม่ เช่นว่าตอนเราไม่รู้ความคิดใหม่นี้เราไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเรารู้แล้ว เราจะเลือกทำมันรึเปล่า ค่านิยมนิสัยเก่ามันเปลี่ยนยาก แต่มันจะต้องแพ้ค่านิยมใหม่ในสักวัน เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ในทันที่ ยกตัวอย่างเช่น ประเพณีการรับน้อง ซึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนกันได้ปุบปับว่าไม่เอารับน้องแบบรุนแรง แต่มันค่อยๆเปลี่ยน และไม่แน่ว่าในอนาคตรูปแบบของการรับน้องอาจตะสร้างสรรค์ขึ้น อย่างน้อยก็ตัวผมคนหนึ่งที่เห็นแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ดังนั้นตัวคุณก็เหมือนกัน คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองทันทีไม่ได้ เหมือนคนที่อกหักแล้วจะให้มาร้องเพลงลั้นลาก็คงทำไม่ได้
เก็บบทความิดเห็นนี้ไว้ในใจคุณ แล้วมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวคุณ ซึ่งมันเริ่มตั้งแต่คุณอ่านบทความนี้จบ แต่จะมีผลมากกว่าเมื่อคุณตระหนักรู้ตัวว่าบทความคิดเห็นนี้เปิดมุมมองและความคิดของคุณในอีกด้านได้
บ๊ายบาย555
---------------------------------------------------------------------------------------
อ่านเสร็จแล้วมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างมาตอบกันได้นะ แต่ขออย่างเดี๋ยว อย่าด่าแล้วจากไป มันสะเทือนใจ T_T บอกเหตุผลหน่อยก็ดีเนาะ เหมือนผมกลายเป็นเด็กที่โดนผู้ใหญ่ด่า ผู้ใหญ่สั่งสอน บอกทำนู่นทำนี่ แต่ไม่เคยมีเหตุผลประกอบเลย ไอตัวผมเป็นเด็กก็งงเด้ ๆ (FC จิงโจ้ครัช 555) ดังนั้น.......อย่าตอบ What อย่างเดียว ตอบ How ด้วยเซ่ (อัญชุลี วันทา อภิวาท)(3)