วันนี้ขออนุญาติมาบอกเล่าเรื่องสำคัญมากอีกหนึ่งเกี่ยวกับการเทรด การทำธุรกิจทุกชนิดเราจำเป็นต้องมีแผนธุรกิจ แม้จะเป็นธุรกิจเล็ก ๆ เราก็จำเป็นต้องมีแม้บางครั้งไม่ได้ทำออกมาแบบจริงจังมากนักแต่ก็มีอยู่ในหัว แต่! ทำไมเทรดเดอร์เมืองไทยถึงไม่มีใครทำ Trade Plan แปลกมั๊ยครับ ผมอยู่ใน Pantip แห่งนี้มาเกิน 10 ปี เข้าออกห้องหุ้นบ่อย ๆ แต่ 10 ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นใครโพสต์เรื่องเกี่ยวกับ Trade Plan เลย แม้แต่สถาบันที่สอนการเทรดก็ไม่เคยเห็นใครสอนหรือทำออกมาน่าแปลกมั๊ยครับ
สำหรับผมมันแปลกมาก หรือว่าการเทรดไม่ใช่ธุรกิจ หรือว่าเป็นธุรกิจแต่มันง่ายซะจนไม่จำเป็นต้องทำ Trade Plan คำตอบคือเปล่าเลย ในโลกของการลงทุนโดยเฉพาะในโลกของ Financial Market แล้วมันไม่ได้ง่ายเลยคุณ ๆ ก็รู้กันดีอยู่ มันมีความซับซ้อนกว่าการที่จะมานั่งเปิด Chart อ่าน Indicator แล้วจบ มันห่างไกลกว่านั้นเยอะถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้จริง ๆ ละก็
เมื่อผมถามหา Trade Plan กับเทรดเดอร์เมืองไทยส่วนใหญ่ คำตอบที่ได้รับคือ ? (เครื่องหมายคำถาม) ประมาณว่า งง ๆ ว่า Trade Plan คืออะไร ทำเหมือนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน เหมือนกับมันไม่มีตัวตนมาก่อน นี่คือความจริงที่น่าเศร้ามากกก คุณทำธุรกิจคุณไม่มีแผนการทำธุรกิจได้อย่างไร?
ทีนี้คำตอบของคำถามที่ว่าทำไม เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักการทำ Trade Plan นั้น ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ ก็เพราะเค้าไม่รู้ว่าการเทรดคืออะไรไง เค้าก็เลยไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไร ฟัง ๆ ดูก็เหมือนใช่ เพราะสถิติที่สะท้อนออกมา แล้วก็ยังไม่เคยเปลี่ยนคือเทรดเดอร์รายย่อยส่วนใหญ่ 90% ไม่สามารถทำกำไรจากตลาดได้ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าทำไมเค้าทำ Trade Plan กันไม่ได้ นั่นก็คือเพราะส่วนใหญ่แค่เปิด chart ขึ้นมาแล้วก็นั่งดู Indicator ว่ามันบอกอะไรเราอยู่ตอนนี้ ตาก็จับจ้องอยู่แต่กับ indicator พอมันบอกให้เข้า ก็เข้า มันบอกว่าลงไปที่ Support แล้วนะก็ซื้อ มันชึ้นไปที่ Resistance แล้วนะก็ขาย นี่มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอการเทรด
เมื่อพูดขึ้นมาแล้วผมก็ขอแชร์ Trade Plan ของผมแล้วกันครับเป็นตัวอย่าง ในฐานะ day trader คนนึงผมมีหน้าที่ต้องทำ trade plan ทุกวัน และเมื่อพูดถึงเรื่องการเทรดแล้วละก็ การทำ Trade Plan นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้สมองมากที่สุดกระบวนการนึงเลยด้วยซ้ำ เพราะ Trade Plan มันเป็นแผนแม่บทในการ Execution (การเข้าเทรด) เริ่มจากภาพรวมก่อนดังนี้
จากนั้นจะขอแบ่งเป็น Part ออกมาว่ามันคืออะไร
1. Previous Day Summery (ศัพท์บางคำอย่างเช่น VPOC คุณอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ถ้าคุณไม่ได้ใช้วิธีเทรดเดียวกับผมก็อย่าได้แปลกใจครับ)
- High คือราคาสูงสุดของเมื่อวานคือเท่าไหร่ ทำไมต้องรู้ ที่ต้องรู้เพราะมันเป็นแนวต้านทาง Economic ถ้าคุณเป็นคนขับรถคงไม่แปลกใจว่า ทำไมคุณต้องรู้ว่าราคาน้ำมันเมื่อวานอ่ะเท่าไหร่ เหตุผลก็อย่างที่ทราบ ๆ กันดีอยู่
- Low: เหตุผลก็เหมือนกัน
- Close: ราคาปิด อยากรู้มั๊ยว่า ฝ่ายไหน control market ลองดูสิว่าราคาปิดที่ไหน ครึ่งบนหรือครึ่งล่างระหว่าง high และ low
- VPOC: Volume point of control ข้อนี้ไม่ขออธิบายเพราะเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักการใช้ Market Profile พูดแล้วเดี๋ยวจะยาวมากกกกกกก
- Volume: อยากรู้มั๊ยว่าเมื่อวาน มีนักลงทุนเข้ามาเทรดมากน้อยแค่ไหน ถ้าเทียบกับวันก่อนหน้า และวันที่กำลังจะเทรดต่อไป ถ้า volume เยอะลองไปเปิดดู chart ซิครับ ว่าวันนั้นราคามัน move มากน้อยแค่ไหน
2. Directional Bias สำหรับข้อนี้ ผมต้องการข้อสรุปในเรื่อง contextual ของตลาด หรือบรรยากาศของตลาดใน 3 ระยะว่าเป็นอย่างไร เพราะมันมีผลอย่างยิ่งกับการเทรดในวันนี้
- Overnight: pre-market ฝ่ายไหน control market บรรยากาศคือ Bullish, Bearish หรือว่า Neutral นี่เป็นข้อมูลล่าสุดก่อนตลาดจะเปิด
- Short-term: time-frame ระยะสั้นสำหรับผมแล้วคือผมดูประมาณ 3 - 5 วันย้อนหลังว่า ตอนนี้ราคาเทรดอยู่ตรงไหน และใคร control market
- Larger time-frame: ส่วนตัวผมดู daily time frame 1 ปี ว่าขณะนี้ daily time-frame เป็น Bullish, Bearish หรือว่า Neutral ตัวอย่างในการรู้ larger time-frame bias ก็คือ ถ้า larger time-frame เป็น bullish มีโอกาสไม่น้อยนะที่การ break down จะมีสิทธิ์กลายเป็น fail break down
3. Economic Report: เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่า ตัวเลขในการประกาศออกมาจะบวกหรือลบ ดีหรือร้าย ขอแค่รู้เวลาก็พอว่าเมื่อไหร่ จะได้ระวัง หรืออาจจะ ไม่เทรดตอนนั้น เพราะมีโอกาสสูงว่า ถ้ามีข่าวสำคัญตลาดจะเหวี่ยงมากกว่าปกติ จะโดน stop เอาง่าย ๆ บางคนเป็นเทรดเดอร์สายข่าว หารู้ไม่ว่านักลงทุนสถาบันน่ะ เค้ามีทีม research เพื่อประเมินตัวเลขเอาไว้อยู่แล้ว ถ้าประเมินออกมาว่า บวก เค้าก็จะซื้อก่อนล่วงหน้าที่ข่าวจะออกแล้วจ้า พอตัวเลขออกมาเป็นบวกจริงราคาเหวี่ยงขึ้นเค้าก็ขายจ้าาา ยกเว้นว่าตัวเลขมันดีกว่าประเมินเค้าก็อาจจะซื้อเพิ่มหรือถือไว้ยังไม่ขายตอนตลาดเหวี่ยงขึ้น
4. Key Zones: สืบเนื่องจากกลยุทธ์ในการเทรดของผม เวลาที่ใช้ในการทำ trade plan ส่วนใหญ่คือการหา Support และ Resistance แต่ไม่ใช่เป็น point แบบเป๊ะ ๆ นะ ในโลกของการเทรด ไม่มีคำว่าเป๊ะ ๆ 100% นะครับ คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่ที่ Note เอาไว้ มันเป็นเหตุผลทาง Economic ทั้งสิ้น ไม่มีค่าของ Indicator มาเกี่ยวข้อง เพราะผมไม่ได้ใช้ Indicator นั่นเอง ผมเชื่อว่าอะไรที่ซื้อขายได้ มันต้องอยู่บนกฏของ supply/demand เสมอ และ zone หรือ level ต่าง ๆ มีความสำคัญลดหลั่นกันไปไม่เท่ากัน
5. 10-Day Range Analysis: ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ เทรดเดอร์ระยะสั้นส่วนใหญ่มองข้าม แต่หารู้ไม่ว่ามันสำคัญมากเพราะ มันมีผลโดยตรงกับกำไรของเรา และมีผลโดยตรงกับ real-time volume ในตลาด ในวันที่ volume ปกติ range จะใกล้เคียงกับค่า average นั่นแปลว่าถ้าคุณเปิด chart ขึ้นมาแล้วราคาวิ่งไปกว่า 80% ของ range แล้วมันเป็นไปได้ยากมากนะที่ range มันจะ expand ขึ้นไปอีก ถ้าคุณซื้อคุณอาจติดดอยแล้วโดน revese กลับเป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือคำจำกัดความคร่าว ๆ ของแต่ละหัวข้อ แต่ความสำคัญที่แท้จริงก็คือ Trade plan เราทำขึ้นมาเพื่อเป็นแผนในการเทรด เมื่อถึงจุดที่เราต้องตัดสินใจ เราจะต้องตัดสินใจตาม Trade plan เท่านั้น ถึงเวลาเทรดจริงเราก็แค่ Execution ตาม Trade Plan เท่านั้น อย่าคิดมาก เพราะเราคิดมาแล้วไงครับ
บางคนอาจจะทำ Trade Plan ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปทำ นั่นแสดงว่าวิธีเทรดที่คุณใช้อยู่ยังห่างไกลจากคำว่า professional มากมายนัก เพราะแม้แต่แม่ค้าอาหารตามสั่ง เค้ายังต้องจดรายการของที่ต้องซื้อในทุก ๆ วันเลย เค้ายังต้องประเมินเลยว่าลูกค้าประมาณเท่าไหร่ จะซื้อของมากน้อยแค่ไหน แต่นี่คุณกำลังอยู่ในโลก Financial market ซึ่งมันมีความซับซ้อนกว่าการขายอาหารตามสั่งมากมายนัก คุณจะไม่วางแผนซักหน่อยหรือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้My Trade Journal
www.facebook.com/daytradeboss
Trade Plan นั้นสำคัญไฉน มันสำคัญกว่าที่คิดเยอะครับ
สำหรับผมมันแปลกมาก หรือว่าการเทรดไม่ใช่ธุรกิจ หรือว่าเป็นธุรกิจแต่มันง่ายซะจนไม่จำเป็นต้องทำ Trade Plan คำตอบคือเปล่าเลย ในโลกของการลงทุนโดยเฉพาะในโลกของ Financial Market แล้วมันไม่ได้ง่ายเลยคุณ ๆ ก็รู้กันดีอยู่ มันมีความซับซ้อนกว่าการที่จะมานั่งเปิด Chart อ่าน Indicator แล้วจบ มันห่างไกลกว่านั้นเยอะถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้จริง ๆ ละก็
เมื่อผมถามหา Trade Plan กับเทรดเดอร์เมืองไทยส่วนใหญ่ คำตอบที่ได้รับคือ ? (เครื่องหมายคำถาม) ประมาณว่า งง ๆ ว่า Trade Plan คืออะไร ทำเหมือนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน เหมือนกับมันไม่มีตัวตนมาก่อน นี่คือความจริงที่น่าเศร้ามากกก คุณทำธุรกิจคุณไม่มีแผนการทำธุรกิจได้อย่างไร?
ทีนี้คำตอบของคำถามที่ว่าทำไม เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักการทำ Trade Plan นั้น ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ ก็เพราะเค้าไม่รู้ว่าการเทรดคืออะไรไง เค้าก็เลยไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไร ฟัง ๆ ดูก็เหมือนใช่ เพราะสถิติที่สะท้อนออกมา แล้วก็ยังไม่เคยเปลี่ยนคือเทรดเดอร์รายย่อยส่วนใหญ่ 90% ไม่สามารถทำกำไรจากตลาดได้ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าทำไมเค้าทำ Trade Plan กันไม่ได้ นั่นก็คือเพราะส่วนใหญ่แค่เปิด chart ขึ้นมาแล้วก็นั่งดู Indicator ว่ามันบอกอะไรเราอยู่ตอนนี้ ตาก็จับจ้องอยู่แต่กับ indicator พอมันบอกให้เข้า ก็เข้า มันบอกว่าลงไปที่ Support แล้วนะก็ซื้อ มันชึ้นไปที่ Resistance แล้วนะก็ขาย นี่มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอการเทรด
เมื่อพูดขึ้นมาแล้วผมก็ขอแชร์ Trade Plan ของผมแล้วกันครับเป็นตัวอย่าง ในฐานะ day trader คนนึงผมมีหน้าที่ต้องทำ trade plan ทุกวัน และเมื่อพูดถึงเรื่องการเทรดแล้วละก็ การทำ Trade Plan นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้สมองมากที่สุดกระบวนการนึงเลยด้วยซ้ำ เพราะ Trade Plan มันเป็นแผนแม่บทในการ Execution (การเข้าเทรด) เริ่มจากภาพรวมก่อนดังนี้
จากนั้นจะขอแบ่งเป็น Part ออกมาว่ามันคืออะไร
1. Previous Day Summery (ศัพท์บางคำอย่างเช่น VPOC คุณอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ถ้าคุณไม่ได้ใช้วิธีเทรดเดียวกับผมก็อย่าได้แปลกใจครับ)
- High คือราคาสูงสุดของเมื่อวานคือเท่าไหร่ ทำไมต้องรู้ ที่ต้องรู้เพราะมันเป็นแนวต้านทาง Economic ถ้าคุณเป็นคนขับรถคงไม่แปลกใจว่า ทำไมคุณต้องรู้ว่าราคาน้ำมันเมื่อวานอ่ะเท่าไหร่ เหตุผลก็อย่างที่ทราบ ๆ กันดีอยู่
- Low: เหตุผลก็เหมือนกัน
- Close: ราคาปิด อยากรู้มั๊ยว่า ฝ่ายไหน control market ลองดูสิว่าราคาปิดที่ไหน ครึ่งบนหรือครึ่งล่างระหว่าง high และ low
- VPOC: Volume point of control ข้อนี้ไม่ขออธิบายเพราะเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักการใช้ Market Profile พูดแล้วเดี๋ยวจะยาวมากกกกกกก
- Volume: อยากรู้มั๊ยว่าเมื่อวาน มีนักลงทุนเข้ามาเทรดมากน้อยแค่ไหน ถ้าเทียบกับวันก่อนหน้า และวันที่กำลังจะเทรดต่อไป ถ้า volume เยอะลองไปเปิดดู chart ซิครับ ว่าวันนั้นราคามัน move มากน้อยแค่ไหน
2. Directional Bias สำหรับข้อนี้ ผมต้องการข้อสรุปในเรื่อง contextual ของตลาด หรือบรรยากาศของตลาดใน 3 ระยะว่าเป็นอย่างไร เพราะมันมีผลอย่างยิ่งกับการเทรดในวันนี้
- Overnight: pre-market ฝ่ายไหน control market บรรยากาศคือ Bullish, Bearish หรือว่า Neutral นี่เป็นข้อมูลล่าสุดก่อนตลาดจะเปิด
- Short-term: time-frame ระยะสั้นสำหรับผมแล้วคือผมดูประมาณ 3 - 5 วันย้อนหลังว่า ตอนนี้ราคาเทรดอยู่ตรงไหน และใคร control market
- Larger time-frame: ส่วนตัวผมดู daily time frame 1 ปี ว่าขณะนี้ daily time-frame เป็น Bullish, Bearish หรือว่า Neutral ตัวอย่างในการรู้ larger time-frame bias ก็คือ ถ้า larger time-frame เป็น bullish มีโอกาสไม่น้อยนะที่การ break down จะมีสิทธิ์กลายเป็น fail break down
3. Economic Report: เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่า ตัวเลขในการประกาศออกมาจะบวกหรือลบ ดีหรือร้าย ขอแค่รู้เวลาก็พอว่าเมื่อไหร่ จะได้ระวัง หรืออาจจะ ไม่เทรดตอนนั้น เพราะมีโอกาสสูงว่า ถ้ามีข่าวสำคัญตลาดจะเหวี่ยงมากกว่าปกติ จะโดน stop เอาง่าย ๆ บางคนเป็นเทรดเดอร์สายข่าว หารู้ไม่ว่านักลงทุนสถาบันน่ะ เค้ามีทีม research เพื่อประเมินตัวเลขเอาไว้อยู่แล้ว ถ้าประเมินออกมาว่า บวก เค้าก็จะซื้อก่อนล่วงหน้าที่ข่าวจะออกแล้วจ้า พอตัวเลขออกมาเป็นบวกจริงราคาเหวี่ยงขึ้นเค้าก็ขายจ้าาา ยกเว้นว่าตัวเลขมันดีกว่าประเมินเค้าก็อาจจะซื้อเพิ่มหรือถือไว้ยังไม่ขายตอนตลาดเหวี่ยงขึ้น
4. Key Zones: สืบเนื่องจากกลยุทธ์ในการเทรดของผม เวลาที่ใช้ในการทำ trade plan ส่วนใหญ่คือการหา Support และ Resistance แต่ไม่ใช่เป็น point แบบเป๊ะ ๆ นะ ในโลกของการเทรด ไม่มีคำว่าเป๊ะ ๆ 100% นะครับ คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่ที่ Note เอาไว้ มันเป็นเหตุผลทาง Economic ทั้งสิ้น ไม่มีค่าของ Indicator มาเกี่ยวข้อง เพราะผมไม่ได้ใช้ Indicator นั่นเอง ผมเชื่อว่าอะไรที่ซื้อขายได้ มันต้องอยู่บนกฏของ supply/demand เสมอ และ zone หรือ level ต่าง ๆ มีความสำคัญลดหลั่นกันไปไม่เท่ากัน
5. 10-Day Range Analysis: ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ เทรดเดอร์ระยะสั้นส่วนใหญ่มองข้าม แต่หารู้ไม่ว่ามันสำคัญมากเพราะ มันมีผลโดยตรงกับกำไรของเรา และมีผลโดยตรงกับ real-time volume ในตลาด ในวันที่ volume ปกติ range จะใกล้เคียงกับค่า average นั่นแปลว่าถ้าคุณเปิด chart ขึ้นมาแล้วราคาวิ่งไปกว่า 80% ของ range แล้วมันเป็นไปได้ยากมากนะที่ range มันจะ expand ขึ้นไปอีก ถ้าคุณซื้อคุณอาจติดดอยแล้วโดน revese กลับเป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือคำจำกัดความคร่าว ๆ ของแต่ละหัวข้อ แต่ความสำคัญที่แท้จริงก็คือ Trade plan เราทำขึ้นมาเพื่อเป็นแผนในการเทรด เมื่อถึงจุดที่เราต้องตัดสินใจ เราจะต้องตัดสินใจตาม Trade plan เท่านั้น ถึงเวลาเทรดจริงเราก็แค่ Execution ตาม Trade Plan เท่านั้น อย่าคิดมาก เพราะเราคิดมาแล้วไงครับ
บางคนอาจจะทำ Trade Plan ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปทำ นั่นแสดงว่าวิธีเทรดที่คุณใช้อยู่ยังห่างไกลจากคำว่า professional มากมายนัก เพราะแม้แต่แม่ค้าอาหารตามสั่ง เค้ายังต้องจดรายการของที่ต้องซื้อในทุก ๆ วันเลย เค้ายังต้องประเมินเลยว่าลูกค้าประมาณเท่าไหร่ จะซื้อของมากน้อยแค่ไหน แต่นี่คุณกำลังอยู่ในโลก Financial market ซึ่งมันมีความซับซ้อนกว่าการขายอาหารตามสั่งมากมายนัก คุณจะไม่วางแผนซักหน่อยหรือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้